ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2877
ตอบกลับ: 0
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

อาจาโร

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-12-18 09:21

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ. สกลนคร





เรานี้ก็มาหลงยึดถือหวงแหนท่อนกระดูกในตัวเองนี้ มากกว่าหมาที่

มันหวงกระดูกควายตายนี้เป็นไหน ๆ เสียอีก หมาที่มันแทะกระดูก

มันยังได้กลืนน้ำลายของมันที่ได้ประสมกับรส กลิ่นของกระดูกอยู่บ้าง

พอให้เกิดความชื่นใจ ส่วนเราได้อะไรบ้างจากโครงกระดูกที่เรา

หวงแหน แบกหามอยู่ตลอดเวลา นี่ชาติ นี่ชรา นี่พยาธิ นี่มรณะ เห็น

ไหม สิ่งเหล่านี้มีมาจากไหน อาศัยอะไรเป็นที่เกิด ไม่ใช่มันมาจาก

โครงกระดูกและมันอาศัยเกิดอยู่ที่โครงกระดูกนี้เองมิใช่หรือ ใจเราที่

ได้รับทุกข์ โทมนัส ฟุ้งซ่าน ไม่เป็นอันอยู่ อันกิน หลับนอน ที่เรา

กำลังได้รับอยู่ในเวลานี้ มันมาจากไหนเล่า ไม่ใช่มาจากชรา พยาธิ

มรณะที่มีอยู่เต็มทั่วไปในโครงกระดูกของร่างกายอันนี้ดอกหรือ หมา

มันหลงหวงกระดูกซากควายตายห่ามันก็ยังวางปล่อยทิ้งวิ่งหนีได้ แต่

เรานี่หนา ยิ่งโง่กว่าหมาเสียอีก หลงรักหลงหวงแหน หลงนอนกอด

นอนซมงมอยู่ตลอดเวลา นอกจากทุกข์แล้วเราไม่เห็นว่าเราได้อะไร

จากการแบกโครงร่างอันเป็นภาระอันหนักนี้เลย







เมื่อจิตสงบนิ่งแล้วเราอย่าไปหา




ไปหาแล้วมันเป็นตัณหา








การดูดวง ก็เหมือนกัน ดูเอาว่าดวงดี ดวงไม่ดี


ผูกดวง ผูกดาว คนโกหกหลอกลวงกันให้วุ่นวายเดือดร้อน

ในพระพุทธศาสนา ดวงดีดวงไม่ดีก็ให้ดูเอาซิ


ไม่ใช่มาจากฟ้าอากาศ ให้ดูดวงเดี๋ยวนี้ซิ ดวงดีเป็นยังไง

ดวงดี รวมมาสั้นๆแล้ว คือ ใจดี มีความสุขสบาย


เมื่อใจเราสุขสบาย แล้วทำอะไรก็สบาย

การงานก็สบาย ประเทศชาติก็สบาย นี่แหละ ดวงดี








ความที่พ้นทุกข์ ก็จะพ้นจากที่ไหนเล่า



คือใจเราไม่ทุกข์ แปลว่า พ้นทุกข์



เพราะฉะนั้น ได้ยินแล้วให้พากันน้อมเข้าภายใน








ศีลไม่ใช่อื่น คือตัวของเราเองเป็นศีล



สำรวมกาย วาจา ใจของเราให้เรียบร้อย



ศีลอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่อยู่ตรงอื่น



ไม่ใช่ศีลอยู่ที่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ศีลอยู่กับพระ








ศาสนาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่อื่น มันอยู่ที่กายที่ใจของเรา

เมื่อเราปฏิบัติอยู่ ศาสนามันก็เจริญอยู่

ถ้าเราทั้งหลายไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ประพฤติไม่ได้กระทำก็หมดศาสนา

ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา อะไรสักอย่าง

เราเพ่งดูซี่ มันไม่เป็นแก่นสารที่ไหนเลย

ถ้าเป็นแก่นสาร ทำไมเราล้มตายหายไป


เป็นแก่นเป็นสารเป็นตัวเป็น
ตนของเรา


ทำไมเป็นหวัด เป็นไอ เป็นไข้ ทำไมเป็นหนาวเป็นร้อน


เป็นทุกข์เป็นยาก เพราะเหตุนี้พึงเห็นว่ามันไ
ม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน






เดี๋ยวนี้น่ะพระเณรเดินขบวนก็มี ทำไปเหลวไหล

ฉันอาหารในเวลาวิกาลก็มี จับเงินจับทองก็มี ต่อของซื้อขายก็มี

พูดเกี้ยวสีกาก็มี เที่ยวเล่นตามถนนหนทางก็มี

พวกนี้น่ะสิ มาย่ำยีพระศาสนา ทำศาสนาให้เสื่อม

ไม่มีความสำรวมระวังศีลของตน ไม่ประพฤติปฏิบัติศีลของตน

อุบาสกอุบาสิกาก็ไม่มีความเคารพในทานศีลภาวนาของตน

นี่สิมันเสื่อม

หากภิกษุสามเณรบวชเข้ามาแล้วก็เล่าเรียนศึกษา


สำรวมสิกขาวินัยของตนเรียบร้อย

รู้จักแล้วศีลของเราก็ ๒๒๗ เณรก็ศีล ๑๐ ข้อ

งดเว้น เราสำรวจอย่างนี้ศาสนามันก็เจริญรุ่งเรืองนะ

เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นซี่ ศาสนามันเลยเสื่อมเสีย

คนทั้งหลายจึงดูหมิ่นศาสนาดูถูกศาสนา

เพราะเราไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา

มีแต่ศีรษะโล้นกับผ้าเหลืองว่าเป็นพระเท่านั้น

ข้อวัตรข้อปฏิบัติเป็นยังไง ดูซิ ท่านห้ามอะไร


เราทั้งหลายก็ได้บวชแล้วได้ศึกษามาแล้ว

พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง

ศีล ๒๒๗ ให้งดเว้นท่านสอนไว้ นุ่งห่มท่านก็สอน

นั่งนอน ท่านก็สอน เดินยืนท่านก็สอน

ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ บ้วนเขฬะท่านก็สอน

พระพุทธเจ้า จนคำข้าวท่านก็สอน เอาข้าวเข้าปากท่านก็สอน

นี่ความละเอียดของท่าน ต้องการความสวยความงาม

ความสำรวมระวัง นี่เป็นอย่างนี้






ผู้ใดตั้งใจและมีความปรารถนาความเพียรอย่างแรงกล้าเด็ดเดี่ยว

ให้เดินทางไปลำพังแต่เพียงผู้เดียวเดินทางเที่ยววิเวก

อย่าได้ใกล้ชิดคลุกคลีกับผู้ใด

หากแต่ให้มีความยินดีกับความสงบ


อย่าได้มีความอยากมักมาก หากแต่ให้มีความยินดีกับของๆเรา



มักน้อยถือสันโดษและยินดีในความสันโดษ


ให้มีความยินดีพอใจในปัจจัยสี่ เฉพาะแต่ของที่ตนเองมีอยู่แล้ว


และได้ครอบครองมาโดยชอบธรรม


นี่คือสิ่งที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา


และเป็นอริยประเพณี อริยปฏิปทาที่มีมาแต่กาลก่อน


และคงดำรงสืบต่อมาไม่ได้ขาดในหมู่วงศ์พระอริยะ


ตั้งแต่อดีตปัจจุบันและสืบต่อไปในอนาคตข้างหน้า







ถ้าอะไรเราไม่ได้ทำไว้ อยากได้ มันก็ไม่ได้

ถ้าได้ทำไว้แล้ว สร้างไว้แล้ว ไม่อยากได้ มันก็ได้







นี่แหละทานบารมี










เมื่อใจไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดี การงานก็ไม่ดี

ครอบครัวก็ไม่ดี ทำมาหากิน เล่าเรียนอะไร ก็ไม่ดี

ชาวบ้าน ร้านตลาด ประเทศชาติ ก็ไม่ดี

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่อื่น ไม่ใช่ ฟ้า อากาศ ไม่ดี

ใจเราไม่ดี








ทุกคนจะต้องเข้ามหายุทธสงครามสักวันหนึ่ง

คือการต่อสู้กับมัจจุราชเมื่อถึงเวลานั้นแต่ละคนจะต้องสู้เพื่อตนเอง

และต้องสู้โดยลำพัง

ผู้ที่สู้ได้ดีก็จะไปดีคือไปสู่สุคติ

ผู้ที่เพลี่ยงพล้ำก็จะไปร้าคือไปสู่ทุคติ

อาวุธที่ใช้ต่อสู้มีเพียงสิ่งเดียวคือ"สติ"

ซึ่งจะสร้างสมได้ด้วยการเจริญภาวนาเท่านั้น






ให้พากันเข้าวัดนะ วัดดูจิตใจของเรา ต้องวัดเสมอ


นั่งก็วัด นอนก็วัด เดินยืนก็วัด


วัดเพราะเหตุใด ให้มันรู้ไว้ว่าจิตเรามันดีหรือไม่


ไม่ดีจะได้แก้ไข ต้องวัดทุกวัน


ตัดเสื้อตัดผ้าก็ยังต้องวัดไม่ใช่เรอะ


ไม่วัดจะใช้ได้อะไรล่ะ








การดูดวงก็เหมือนกันดูเอาว่าดวงดีดวงไม่ดี


ผูกดวงผูกดาวคนโกหกหลอกลวงกันให้วุ่นวายเดือดร้อน

ในพระพุทธศาสนาดวงดีดวงไม่ดีก็ให้ดูเอาซิ


ไม่ใช่มาจากฟ้าจากอากาศให้ดูดวงดีเดี๋ยวนี้ซิ ดวงดีเป็นยังไง


ดวงดีรวมมาสั้นๆแล้วคือใจเราดี มีความสุขความสบาย

เมื่อใจเราสุขสบายแล้วทำอะไรก็สบาย

การงานก็สบายประเทศชาติก็สบายนี่แหละดวงดี





ถ้าอะไรเราไม่ได้ทำไว้อยากได้มันก็ไม่ได้

ถ้าได้ทำไว้แล้วสร้างไว้แล้วไม่อยากได้มันก็ได้

นีแหละ" "ทานบารมี






เมื่อใจไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดี

การงานก็ไม่ดีครอบครัวก็ไม่ดี

ทำมาหากิน เล่าเรียนอะไรก็ไม่ดี


ชาวบ้าน ร้านตลาด ประเทศชาติ ก็ไม่ดี

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่อื่น ไม่ใช่ ฟ้า อากาศ ไม่ดี


ใจเราไม่ดี




ใจความของ ปุจฉา-วิสัชนา ระหว่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

และหลวงปู่ฝั้น อาจาโรในคราวเสด็จพระราชทานผ้ากฐินส่วน

พระองค์ พ.ศ.๒๕๑๕


ปุจฉา : ทำอย่างไร ประเทศชาติ ประชาชน จะอยู่ดีกินดี มีความ

          สามัคคีปรองดองกัน

วิสัชนา : ให้เข้าหาพระศาสนา เพราะศาสนาสอนให้ละชั่ว กระทำ

            ความดี ทำใจให้ผ่องใส


ปุจฉา : คนส่วนมากทำดี คนส่วนน้อยทำชั่ว จะทำให้คนส่วนมาก

           เดือดร้อนไหม ทำอย่างไรจึงจะแก้ไขได้

วิสัชนา : ขอถวายพระพร ทุกวันนี้ คนไม่รู้ศาสนา จึงเบียดเบียนกัน

           ถ้าคนเรานึกถึงคนอื่นแล้ว ก็ไม่เบียดเบียนกัน คนทุกวันนี้

           เข้าใจว่าศาสนาอยู่กับวัด อยู่ในตู้ ในใบลาน จึงไม่สนใจ

           บ้านเมืองจึงเดือดร้อนวุ่นวาย มองหน้ากันไม่ได้ ถ้าคนเรา

           ถือกันเป็นบิดามารดา เป็นพี่เป็นน้องกันแล้ว ก็สบาย เพราะ

           ใจเราไม่มีเวร เวรก็ไม่มี เราไม่มีกรรม กรรมก็ไม่มี ฉะนั้น ให้มี

           พรหมวิหารธรรม อย่างมหาบพิตรเสด็จมานี้ ทุกอย่าง

           เรียบร้อยหมด

คัดจากหนังสือ ภาพชีวประวัติและปฏิปทาของ...ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร  หลวงปู่มหาปิ่น ปัญญาพโล
พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม)
ในหลวงท่านทรงเป็นแบบอย่างพุทธมามกะและพุทธศาสนิกชนที่ดี
ทรงกราบเคารพศพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นที่น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงหมอบกราบเคารพศพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร บนพระสุหนี่ปูลาดที่พื้นสนามหน้าจิตกาธาน

ชีวิตหลังความตายไม่มีการต่อรองได้


หากบุญมากก็ไปสวรรค์ในชั้น
ที่
เหมาะกับแรงกุศลของตนเท่า
นั้น



จะขอความเป็นทิพย์แห่ง
สวรรค์
ที่มากหรือน้อยกว่านั้นไม่
ได้



และหากแรงบาปมากก็ต้องไป
นรก
ขุมต่างๆ ตามแรงกรรมของตน



ซึ่งเต็มไปด้
วยทุกข์กับร้อน
เท่านั้น



จะขอต่อรองพักยกความทุกข์ร้
อนทรมาณ



เพียงช้างกระพือหู
งูแลบลิ้นไม่ได้เลย ต้องก้มหน้ารับกรรมไป



ต่อรองได้แต่ในชีวิตจริง
ในโ
ลกมนุษย์ขณะนี้เดี๋ยวนี้เท่านั้น



ที่่ทุกคน
มีสิทธิ์จะเลือกทำดีหรือชั่
บุญหรือบาป



ฉะนั้น ขอทุกคนจะเร่งทานเร่งศีลเร่งภาวนาของตน



แต่
บัดนี้เสี
ยจะได้ออกไปจากการซัดเหวี่ยง
ของสังสารวัฏนี้ได้







วัตถุมงคลก็เป็นเพียงวัตถุเท่านั้น

ของจริงก็คือพระสัจจธรรมทั้งปวง

มีวัตถุมงคลแล้วไม่ทำตัวให้ดีไม่ทำใจให้เป็นกุศล

ก็หวังอะไรไม่ได้
สักอย่าง


มีวัตถุมงคลแล้วต้องทำความดี
ด้วย


จึงจะเกิดผลต่างๆเป็น
นานาปร
ะการ


หากหวังพึ่งวัตถุมงคลอย่างเ
ดียว


โดยไม่สร้างบุญกุศล
ย่อม
ไม่ได้อะไรขึ้นมา








http://dhamatrail.blogspot.com
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้