ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 5071
ตอบกลับ: 17
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

**** การให้ ****

[คัดลอกลิงก์]
**** การให้ ****
การให้เป็นการดำรงชีวิตในระดับสูงสุด  ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของชนทั้งหลาย





การให้ทานที่ถูกต้อง  หรือการให้ทานด้วยความบริสุทธิ์ใจ  คือการให้ทานโดยไม่หวังผลใดๆ




สิ่งที่เราให้ออกไปคือสิ่งที่เราได้กลับมา  ถ้าคุณให้สิ่งที่ดี  คุณก็จะได้รับสิ่งที่ดีกลับคืนมา  ยิ่งคุณให้มาก  คุณก็ยิ่งได้รับมากหรือได้กลับคืนมาเป็นสิบเท่า



การให้ทานแก่ผู้อื่นควรทำแบบปิดทองหลังพระ  เมื่อเราให้โดยไม่หวังผลใดๆ เลย  เราจะรู้สึกปลอดโปร่งและมีความสบายใจ  



จงให้ทานหรือสื่งที่มีค่าแก่ผู้ที่รู้จักคุณค่าหรือผู้ที่สมควรได้รับ




การให้ทานแบ่งออกเป็นสามอย่างได้แก่  


1. ให้ทานเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค  ทรัพย์และสิ่งของต่างๆ


2. ให้ความรู้เป็นทาน


3. ให้อภัยในความผิดของผู้อื่นที่กระทำต่อเราหรือ "อภัยทาน"



การให้อย่างแรก คือการให้สิ่งของเป็นทาน  เป็นการให้ที่ง่ายที่สุด  แลสะดวกที่สุดเพราะเราเพียงแค่มีสิ่งของและมีผู้รับทาน  เราก็สำเร็จประโยชน์ได้ด้วยความเอื้อเฟื้อ  เสียสละ  แบ่งปัน  ช่วยเหลือ  สงเคราะห์ด้วยตัวเราเอง  



การให้อย่างที่สอง  คือการให้ความรู้หรือวิทยาทานหรือให้ศิลปะวิทยาการแก่ผู้ขาดความรู้  การให้ในข้อนี้ถือการให้ ธรรมทาน  เป็นการให้ที่เหนือกว่าการให้ทานทั้งปวงและเป็นการให้ที่ได้บุญกุศลสูงสุด



การให้อย่างที่สาม  คือ อภัยทาน  มีบุคคลอยู่สามประเภทที่คุณต้องให้อภัยได้แก่  บิดามารดา  คนอื่นๆ ทั้งหมด  และตัวคุณเอง



***  บิดามารดาของคุณเป็นบุคคลประเภทแรกที่คุณต้องให้อภัย  ไม่ว่าบิดามารดาหรือคนใดคนหนึ่งจะเคยทำร้ายคุณขนาดไหน  ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางจิตใจหรือทั้งสองอย่าง  คุณก็ต้องให้อภัยแก่ท่านโดยยอมรับว่าท่านทำดีที่สุดแล้วจากสิ่งที่ท่านเป็น  ในหลายๆ กรณี ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าได้ทำอะไรลงไปจึงทำให้คุณไม่ชอบใจอยู่จนทุกวันนี้



***  บุคคลประเภทที่สองที่คุณต้องให้อภัยคือคนอื่นๆ ทั้งหมด  คุณต้องให้อภัยได้อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ แก่คนทุกคนที่ล่วงเกินคุณโดยไม่มีข้อยกเว้น  นี่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณชอบคนๆ นั้น  สิ่งที่ต้องทำคือเพียงแค่ให้อภัย  การให้อภัยเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวเป็นที่สุดเพราะว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนๆ นั้นเลย  แต่ทว่ามันเกี่ยวข้องกับความสงบสุขทางใจและความสุขของตัวคุณเอง



***  บุคคลที่สามที่คุณต้องให้อภัยก็คือตัวคุณเอง  คุณต้องให้อภัยตัวเองสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณผิดพลาด  ซึ่งคุณเคยพูดเคยทำ  ชายและหญิงที่มีปัญญาและเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวล้วนแต่เคยทำผิดด้วยกันทั้งนั้น  เพราะด้วยความผิดพลาดนั้นเองที่ทำให้พวกเขาได้กลายเป็นคนที่ฉลาดและเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวมากขึ้น  ดังนั้นคุณต้องให้อภัยตังเองสำหรับทุกสิ่งที่คุณได้กระทำลงไป



>>>  จงให้อภัยไม่ว่าคนที่คุณเกลียดชัง  คนที่คุณอาฆาตพยาบาทจะเป็นใคร  คนที่แบกภาระแห่งอารมณ์ลบไว้ในใจจะพูดเหมือนกันว่า  พวกเขาไม่อาจลืมความเจ็บช้ำน้ำใจ  ความขมขื่น  ความชอกช้ำระกำใจที่คนอื่นทำไว้กับพวกเขาได้  พวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  การที่พวกเขายังไม่ให้อภัยคู่กรณีเพราะบุคคลนั้นไม่มีความสำนึกเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป  ไม่แม้แต่จะยอมรับหรือทำความเข้าใจว่าได้ทำสิ่งที่แสนเลวร้าย  หลายคนพูดถึงคนที่เขาไม่ให้อภัยว่า  "ผมให้อภัยเขาไม่ได้เพราะเขาไม่ได้สำนึกหรือเสียใจแม้แต่น้อย  คนพวกนี้จึงไม่สมควรจะได้รับการให้อภัยจากผม"  ถ้านั่นคือหลักการของการให้อภัยแล้วล่ะก็  แน่นอนว่ามีหลายคนในโลกนี้ไม่มีสิทธิ์ได้รับการให้อภัย  



มีหลายคนที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นเสียหายแบบถาวรโดยขาดความสำนึกผิด  มีหลายคนที่ไม่สนแม้แต่นิดเดียวว่าได้ทำร้ายจิตใจใครบ้าง  อย่าว่าแต่ทำให้ชีวิตและจิตใจผู้อื่นพังทลายเลย



ขอให้คุณเข้าใจดังนี้  ถ้าคุณยอมให้ผู้ใดทำให้คุณเกลียดชัง  เคียดแค้น  ชิงชัง  อาฆาตพยาบาทเขาได้  เขาคนนั้นคือผู้ชนะ  ส่วนคุณคือผู้แพ้  จงอย่ายอมให้คุณเป็นผู้แพ้อีกแม้แต่วันเดียว



คุณมีความสามารถที่ให้อภัยได้  ไม่ใช่เพื่อเป็นของขวัญสำหรับพวกเขาแต่เพื่อเป็นของขวัญสำหรับตัวคุณเอง  



หากการให้อภัยของคุณจะทำให้เกิดผลพลอยได้ใดๆ แก่บุคคลนั้น  ก็ช่างมันเถอะ  คนที่คุณช่วยไว้คือตัวคุณเอง  คุณคือผู้ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการทางอารมณ์นั้น



ตามที่กล่าวมานี้  ถ้าคุณยังให้อภัยแก่ใครไม่ได้  คุณลองสดับคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อไปนี้ดู  เผื่อว่าอาจจะช่วยดับความอาฆาตพยบาทลงได้  พระธรรมนี้ว่าด้วยธรรมะดับความอาฆาตห้าประการ  คือ



ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด    พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น


ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด    พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น


ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด    พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น


ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด    พึงนึกถึงการไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น


ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด    พึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตนให้มั่นในบุคคลนั้นว่า  ท่านผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน  เป็นทายาทแห่งกรรม  มีกรรมเป็นกำเนิด  มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่ง  จักทำกรรมใดดีชั่วก็ตาม  จักเป็นทายาท(ผู้รับผล)ของกรรมนั้น


พึงระงับความอาฆาตในบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้




จงจำไว้ว่า  การให้ทานอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างหรือทั้งสามอย่างที่ประกอบด้วยเมตตา  เป็นการจรรโลงความรักให้เกิดขึ้น



จงจำไว้อีกว่า  ไม่มีใครได้รับเกียรติจากการเป็นผู้รับ

เกียรตินั้นเป็นรางวัลสำหรับผู้ให้  และมือที่ให้ย่อมจะได้รับด้วย  ความจริงอย่างหนึ่งที่สำคัญเพื่อให้มีชีวิตอย่างมีความสุข คือ  คุณต้องให้เพื่อจะได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิตนี้



จงจำให้ขึ้นใจว่า  จงให้ก่อนที่จะรับ  ถ้าคุณให้อยู่เรื่อยๆ คุณก็จะมีเรื่อยๆ ไป  ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ  และหนึ่งในกฎของการมีชีวิตที่ประสบความ���ำเร็จก็คือ  การที่คุณให้โดยปราศจากความเห็นแก่ตัวแล้วคุณก็จะได้รับผลตอบแทนที่แท้จริง  จงคิดถึงเรื่องการให้แทนที่จะคิดแต่เรื่องการรับ  จงให้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณไม่อาจทนที่จะไม่แบ่งปันได้เลย



จงจำไว้เสมอว่า  ทานที่ให้อย่างเปิดเผยจะให้การตอบแทนอย่างเร้นลับ  การทำทานไม่เคยเป็นสิ่งที่พอเพียง  ถ้าคุณคิดว่า  คุณให้มากพอแล้ว  จงคิดอีกครั้ง  คุณสามารถให้ได้มากกว่านั้นและมีคนที่คุณสามารถให้ได้เสมอ



ที่มา http://www.gotoknow.org/posts/215961

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-9 08:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การให้ทาน คือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนโดยหมายให้ผู้ได้รับได้พ้นจากทุกข์ แบ่งออกเป็น ๓ อย่างได้แก่
๑.อามิสทาน คือการให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินเป็นทาน
๒.ธรรมทาน คือการสอนให้ธรรมะเป็นความรู้เป็นทาน
๓.อภัยทาน คือการให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวร หรือพยาบาทกัน


การให้ทานที่ถือว่าเป็นความดี และได้บุญมากนั้นจะประกอบด้วยปัจจัย ๓ ประการอันได้แก่
๑.วัตถุบริสุทธิ์ คือเป็นของที่ได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ไปยักยอกมา โกงมา หรือได้มาด้วยวิธีแยบยล
๒.เจตนาบริสุทธิ์ คือมีจิตยินดี ผ่องใสเบิกบาน ไม่รู้สึกเสียดายสิ่งที่ให้ ตั้งแต่ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้
๓.บุคคลบริสุทธิ์ คือให้กับผู้รับที่มีศีลธรรม ตัวผู้ให้เองก็ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์


การให้ทานที่ถือว่าไม่ดี และยังอาจเป็นบาปกรรมถึงเราทางอ้อมอีกด้วยได้แก่
๑.ให้สุรา ยาเสพย์ติด เป็นต้น (ถ้าเขาเมาแล้วขับรถชนตาย เราก็มีส่วนบาปด้วย)
๒.ให้อาวุธ (ถ้าอาวุธนั้นถูกเอาไปใช้ประหัตประหาร บาปก็มาถึงเราด้วย)
๓.ให้มหรสพ คือการบันเทิงทุกรูปแบบ
๔.ให้สัตว์เพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธุ์ อันนี้รวมถึงการจัดหาสาวๆ ไปบำเรอผู้มีอำนาจหรือผู้น้อยด้วยเป็นต้น
๕.ให้ภาพลามก หรือสิ่งพิมพ์ลามก เพราะทำให้เกิดความกำหนัด เกิดกามกำเริบ (เมื่อดูแล้วเกิดไปฉุดคร่า ข่มขืนใคร บาปก็ตกทอดมาถึงเราด้วย)

ที่มาhttp://www.dhammathai.org/treatment/poem/poem15.php
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-9 08:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่กับอาจารย์ ก็มีแต่ให้ ให้ลูกศิษย์ได้สมหวัง

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-10 00:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทำตากลมๆๆ ผมไปต่อไม่เป็นเลย
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-10 00:19
ทำตากลมๆๆ ผมไปต่อไม่เป็นเลย

โบราณท่านว่า..

บรรดาช้างสารงูเห่า อีกทั้งข้าเก่าเมียรัก

ท่านเปรียบไว้นัก อย่าได้วางใจ



7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-10 15:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-12-10 08:18
โบราณท่านว่า..

บรรดาช้างสารงูเห่า อีกทั้งข้าเก่าเม ...

ภูมิบา่ถึงยากยั่งรู้
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-10 15:38
ภูมิบา่ถึงยากยั่งรู้

ตีปริศนาธรรม ไม่ออกแสดงว่า ภูมิทำ ยังไม่สูงพอ
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-12-10 23:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-12-10 21:34
ตีปริศนาธรรม ไม่ออกแสดงว่า ภูมิทำ ยังไม่สูงพอ ...

คงต้องหาที่รำเรียนฝึกภูมิทำซ่ะแล้ว
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-10 23:59
คงต้องหาที่รำเรียนฝึกภูมิทำซ่ะแล้ว ...

แล้วเสี่ยเมธ ให้อะไรเป็นทานบางขอรับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้