|
ที่แสดงมายังบกพร่องอีกนิดหนึ่ง คือ..
ก่อนที่จะถึงโคตรภูนี้ ขันธ์ ๕ ของเรามันเริ่มดับแล้ว รูปดับ เวทนาดับ สัญญาดับ สังขารดับ วิญญาณดับ ดับหมด ดับให้เห็น...เมื่อขึ้นวูบๆๆ ให้เรายอมว่าตาย คือไม่กลัวตาย ให้เข้าใจไว้อย่างนี้ ถ้ากลัวตายข้ามไม่ได้ เพราะไปดิบๆ ไม่ได้พระนิพพานต้องตายไปถึงจะไปได้ คือขันธ์ ๕ ดับ เมื่อเรายอมว่าเราตายเท่านั้น ไอ้ที่มันหนักอยู่เหมือนกับทูนก้อนหินใหญ่ๆ ไว้บนหัวนั่นจะเลื่อนลงมาทางต้นคอสองข้าง ลงมาหนักอยู่ที่ก้นข้างบนโปร่งสบายแล้วก็จ้าแจ้งสว่างทั่วไปหมด เราก็รู้เองว่านี่พระนิพพาน แล้วก็การที่จะเป็นพระอรหันต์ได้นี่ต้องละสังโยชน์ได้ สังโยชน์มี ๑๐ แต่ก่อนที่จะละสังโยชน์จะต้องตรวจขันธ์ ๕ ก่อนว่าดับหรือยัง เมื่อตรวจขันธ์ ๕ ว่าดับแล้ว จึงตรวจอริยสัจ ๔ หลายๆ เที่ยว
การตรวจอริยสัจ ๔ ให้ตรวจไปตามลำดับ
คือ ทุกข์ -ความไม่สบายกายไม่สบายใจที่นั่งอยู่นี่มีหรือเปล่า ไม่มี กายสบาย ไม่มีทุกข์อะไร
แล้วในตอนนี้ ใจก็สบายรู้สึกปลอดโปร่ง...สมุทัย-เหตุให้ทุกข์เกิด คือ ตัณหา ๓ ได้แก่ กามตัณหา, ภวตัณหา, วิภวตัณหา, เรามีหรือไม่ เมื่อไม่มีแล้วที่ดับนี้คืออะไร ก็เพราะเราละมันดับหมด ที่เราทำวิปัสสนาละมันดับหมด ทุกข์กายทุกข์ใจละดับหมดแล้ว ที่เราพบจ้านี้คืออะไร คือ นิโรธ คือดับได้หมดแล้ว ดับทุกข์หรือดับกิเลสได้หมดแล้วก็เป็นนิโรธ ที่เราเข้าถึงนิโรธก็คือเข้าถึงนิพพานนั่นเอง นั่นมาจากอะไร มาจากเราเจริญ มรรค จึงทำให้เรารักษาศีลได้ดี เราทำสมาธิทำฌานได้ดี แล้วเรามีปัญญาละกิเลสได้ทั้งหมด เมื่อตรวจอริยสัจ ๔ แล้วเช่นนี้
ก็ตรวจสังโยชน์ ๑๐ ดูว่าเราละอะไรได้อีก
๑. ละสักกายทิฏฐิ...คือไม่ติดในตัวในตนแล้ว ไม่เสียดายแล้ว ซึ่งตัวตน ไม่เอาแล้ว
๒. ละวิจิกิจฉา...ไม่มีความสงสัยในศีลในธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
๓. ละสีลัพพตปรามาส...เราก็ไม่ได้เล่นลูบคลำอยู่กับศีลแล้ว ไม่ใช่วันหนึ่งต่อศีล ๒ หน วันหนึ่งแสดงอาบัติ ๓ หน
ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่มีแล้ว ไม่เป็นสีลัพพตะเมื่อนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วสิ่งอื่นเลิกไหว้กัน เลิกนับถือ
๔. ละราคะ...ละได้ไหม ราคะละได้หมด ไม่มีความรักความใคร่ใดๆ ทั้งสิ้น
๕. ละโทสะ...ตัวที่ ๕ ละได้ไหม ถ้าละได้ ๓ ตัวต้นคือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ได้ พระโสดา
ถ้าละได้ ๓ ตัวต้นนี้แล้วละราคะ ละโทสะได้อีกครึ่งหนึ่งก็ได้ พระสกทาคามี ถ้าละได้ ๕ ตัว คือ ละ ๓ ตัวต้น
และละราคะ ละโทสะ ได้เด็ดขาดก็ได้ พระอนาคามี ทีนี้ละสังโยชน์เบื้องปลายได้อีก ๕ ตัว ได้ไหม? ซึ่งมี
๖. ละรูปราคะ...คือรูปต่างๆ ที่สวยงามหรือไม่สวยตลอดถึงรูปฌานก็ต้องละได้ด้วย
๗. ละอรูปราคะ...คือสิ่งที่ไม่มีรูป เช่น กลิ่นนี่ไม่มีรูป เสียงนี่ไม่มีรูปเราละได้ไหม เสียงดีเสียงชั่วก็ละได้ทั้งสิ้น
กลิ่นดีกลิ่นชั่วละได้ทั้งสิ้น แล้วก็ละอรูปฌานได้ด้วย...ผู้ที่ทำอรูปฌานเป็น
๘. ละมานะ...มานะคือความถือตัวถือตน ถือชาติว่าเราเกิดในตระกูลผู้ดีไม่ใช่ตระกูลต่ำ เราไม่ถือว่าตระกูลไหน
เป็นมนุษย์เหมือนกันหมด นี่เป็นตัวมานะ ถือความรู้ว่ามีความรู้มาก มีความรู้สูงกว่าผู้อื่นนี่ก็เหมือนกัน
ถือชั้นวรรณะว่าเป็นกษัตริย์ ว่าเป็นแพศย์ ว่าเป็นศูทร อะไรก็ตามนี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่มียึดถืออะไรแล้วก็หมดตัวมานะ
๙. ละอุทธัจจะ...คือความฟุ้งซ่าน ตัวที่ ๙ มักฟุ้งซ่าน การฟุ้งซาน เช่น อยากพูด อยากสอน อยากทำอะไร
ไม่หยุดไม่นิ่ง เป็นคนหยุดนิ่งไม่ได้ พบใครก็อยากสอน ชอบตั้งตนเป็นศาสดา
เมื่อละได้ ๙ ตัวนี้ ตัวที่ ๑๐ คือ อวิชชา เป็นตัวไม่รู้ เมื่อละได้ ๙ ตัวมันรู้หมด ตัวอวิชชาไม่ต้องละอะไร มันดับตัวเอง
สังโยชน์มันจะขึ้นทั้ง ๑๐ ตัว เมื่อขึ้นทั้ง ๑๐ ตัวนี้แล้ว
ความเป็นพระอรหันต์ก็ได้กับผู้นั้น แต่จะเป็นสมุจเฉทหรือไม่
ต้องใช้เวลารักษาธรรมนั้นอยู่ให้ได้ ๔๙ วัน คือจิตไม่กลับไปกลับมา
จิตผ่องใสสะอาดอยู่เช่นนั้นตลอด ๔๙ วัน
เช่นเดียวกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว
พระองค์ได้เสวยวิมุตติสุขคือเสวยความหลุดพ้นของพระองค์ที่โคนต้นโพธิ์ ๗ วัน
ที่โคนหว้า โคนไทร โคนจิก และอื่นๆ อีก พักอยู่ที่ละ ๗ วัน รวม ๗ แห่ง ๔๙ วัน
จิตไม่คืนคลายแล้ว ละสังโยชน์นั้นคงอยู่ตามเดิม ข้างนอกละได้เข้าไปข้างในก็ยังละได้
เพราะสัจธรรมเป็นของจริง นี่คือความหมดกิเลสอันสิ้นเชิง ..
ผู้ใดถึงธรรมละสังโยชน์ ๑๐ ได้แล้ว การมาเวียนว่ายตายเกิดไม่มีอีก
ถ้าเราได้ในชาตินี้ชาติต่อไปเราก็ไม่มีอีก เรียกว่าถึงพระนิพพาน
|
|