ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6807
ตอบกลับ: 26
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ พระครูวิมลญาณวิจิตร(หลวงปู่บุญ ชินวํโส) วัดป่าศรีสว่างแดนดิน ~

[คัดลอกลิงก์]


ประวัติและปฏิปทา
พระครูวิมลญาณวิจิตร
(หลวงปู่บุญ ชินวํโส)


วัดป่าศรีสว่างแดนดิน
ต.สว่างแดนดิน อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร



๏ บรรพบุรุษ

เดิมปู่ย่าของท่านเป็นคนท้องถิ่นในอำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี (จังหวัดหนองบัวลำภู ในปัจจุบัน) แล้วได้อพยพย้ายถิ่นฐานจากอำเภอหนองบัวลำภู มาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนใหม่อยู่ที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ปู่ย่าของท่านได้เสียชีวิตลงที่นี่ จากนั้นไม่นานนัก บุตรชายของปู่ก็ได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวอำเภอเขื่องใน แล้วช่วยกันทำมาหากินประกอบอาชีพชาวไร่ชาวนาตลอดมา

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ชาติภูมิ

ท่านหลวงปู่ ชินวํโส (นามเดิมของท่าน บุญตา) เกิดในตระกูลสายกัณณ์ ที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๕ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๗ เป็นบุตรของนายวงศ์สา และนางใคร่ สายกัณณ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๔ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ มีชื่อตามลำดับดังนี้

(๑) นายพิมพา สายกัณณ์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
(๒) นายสุดชา สายกัณณ์ (พระอาจารย์พร สุมโน มรณภาพแล้ว)
(๓) นายจันทา สายกัณณ์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
(๔) นายบุญตา สายกัณณ์ (หลวงปู่บุญ ชินวํโส มรณภาพแล้ว)

ก่อนที่เด็กชายบุญตาจะถือกำเนิดมานั้น มีเรื่องเล่าว่า โยมมารดาของท่านไปทำนา ซึ่งตอนนั้นกำลังท้องแก่จวนจะคลอดแล้ว พอขึ้นจากดำนากินข้าวเสร็จ โยมมารดาของท่านก็รู้สึกปวดท้อง จึงได้บอกกับโยมบิดาของท่านว่าจะกลับบ้านก่อน โยมมารดาของท่านได้เดินกลับบ้านเพียงลำพัง พอไปถึงระหว่างทางได้หยุดพักที่เนินต้นตาล รู้สึกปวดท้อง จึงเดินไปหาหนองน้ำในบริเวณนั้น เอาน้ำมาลูบท้อง โยมมารดาของท่านจึงได้คลอดท่านที่หนองน้ำแห่งนั้นด้วยความง่ายดาย ไม่เจ็บปวดทรมานแต่อย่างใด แล้วโยมมารดาของท่านจึงได้เอาผ้าห่อท่านใส่ตะกร้ากลับบ้าน แล้วท่านก็ก่อไฟผิง ต่อมาไม่นานนัก โยมบิดาของท่านก็ได้กลับมาบ้านแล้วตัดสายรกให้ท่าน ตอนคลอดนั้นตัวของท่านเล็กมาก ตัวแดงๆ เหมือนกับพริก โยมบิดามารดาเลยตั้งชื่อให้ท่านว่า บุญตา

ท่านหลวงปู่บุญเป็นน้องคนสุดท้อง รูปร่างเล็ก ว่องไว ใจเร็ว และขยันหมั่นเพียร เป็นนิสัยมาตั้งแต่เด็ก พออายุครบที่จะเข้าโรงเรียนได้แล้ว โยมบิดาของท่านก็เอาไปฝากเข้าโรงเรียนประถม ที่บ้านเขื่องใน จนจบ ป.๔ พออ่านออกเขียนได้

ครั้นเด็กชายบุญตาย่างเข้า ๑๑ ปี โยมมารดาก็เสียชีวิต เด็กชายบุญตาก็ได้อยู่กับโยมบิดาเรื่อยมา พี่ชายคนที่ชื่อพิมพา ได้แต่งงานเอาเมียมาเลี้ยงบิดาได้ไม่นานนัก พี่ชายที่ชื่อพิมพาก็เสียชีวิตลง พี่ชายที่ชื่อสุดชาก็บวช ส่วนพี่ชายที่ชื่อจันทาก็บวช ได้ไม่นานก็สึก

เมื่อท่านอายุย่างเข้า ๑๓-๑๔ ปี พระอาจารย์พร สุมโน ซึ่งเป็นพี่ชายได้บวชเป็นพระ แล้วได้กลับมาเยี่ยมบ้านและพักอยู่ที่บ้านเขื่องใน ได้ถามความประสงค์ของน้องชายว่า อยากบวชไหม เด็กชายบุญตาจึงตอบพระพี่ชายว่า ถ้าบิดาให้บวชก็บวช ท่านอาจารย์พรจึงได้ไปขออนุญาตจากโยมบิดาว่าจะเอาน้องคนเล็กไปบวช โยมบิดาบอกให้ไปถามน้องก่อน ถ้าเขาอยากบวชก็ไม่ขัดข้อง เป็นอันว่าเด็กชายบุญตาไม่มีอะไรขัดข้อง
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ชีวิตผ้าขาว

เมื่อได้รับอนุญาตโยมบิดาแล้ว เด็กชายบุญตาก็ได้ติดตามท่านอาจารย์พรไปเพื่อหวังจะได้บรรพชา อุปสมบท ท่านอาจารย์พรก็ให้บวชเป็นผ้าขาว ถือศีล ๘ ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติในเพศผ้าขาวไปก่อน ประมาณ ๑๐ เดือนที่อยู่ในเพศผ้าขาวนั้น ท่านอาจารย์พรได้พาไปฝึกภาวนาในสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นที่เปลี่ยวไกลจากหมู่บ้าน สมัยนั้นสัตว์ป่ามีมาก ท่านอาจารย์พรได้พาไปพักอยู่ตามถ้ำต่างๆ ตามเงื้อมผา ป่าช้าป่าชัฏ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผู้คนเกรงขาม เพื่อเป็นการทดสอบดูว่าผ้าขาวบุญตานี้จะอยู่ได้สมกับที่อยากบวชหรือไม่ ท่านอาจารย์พรให้เหตุผลกับผ้าขาวบุญตาว่า ธรรมดาสิ่งทั้งปวงที่จะเป็นประโยชน์ และคงทนถาวรได้นานต้องมีการทุบตีหล่อหลอมเสียก่อน จึงจะรู้ว่าจะเป็นของดีหรือของเก๊ เมื่อเป็นของดีก็จะทนอยู่ได้ เมื่อเป็นของเก๊ก็กลับบ้านเสีย ไม่หาญไปกับเราได้ แต่ผ้าขาวบุญตาก็ทนอยู่ได้ ถึงจะเกิดความกลัวจนตัวสั่นก็ไม่คิดจะกลับไปในเพศผ้าขาว ท่านได้ประคับประคองตัวเองให้มีความอดทนอดกลั้นในการฝึกหัดภาวนา ตลอดทั้งข้อวัตรปฏิบัติทุกกรณีที่เป็นหน้าที่ของผ้าขาวจะพึงกระทำ ท่านก็ได้ทำอย่างสมบูรณ์ไม่บกพร่อง


หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต


หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ภายใต้ร่มกาสาวพัตร์

หลังจากที่ออกจากบ้านได้บวชเป็นผ้าขาว และติดตามท่านอาจารย์พรไปตามสถานที่ต่างๆ ราว ๑๐เดือน ผ้าขาวบุญตาจึงได้พากลับมาบ้านที่อำเภอเขื่องใน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน พักอยู่ที่วัดป่าศิลาลักษณ์ โยมบิดาตลอดทั้งญาติๆ พอพากันทราบข่าว ก็ได้พร้อมใจกันมาหาและอยากจะให้ท่านบวชเป็นพระ แต่อายุท่านยังไม่ครบ ๒๐ ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรในปี พ.ศ.๒๔๗๔ ต่อมาในวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๕ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดบูรพาราม ซึ่งสมัยนั้นอยู่ในเขตอำเภอวารินชำราบ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี) โดยมี พระศาสนดิลก เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระเพ็ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ในพรรษาแรก ท่านได้จำพรรษาที่วัดบูรพาราม พอออกพรรษาแล้วได้เที่ยววิเวกไปกับท่านอาจารย์พรทางจังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ ข้ามไปประเทศเขมร พอใกล้เข้าพรรษาที่ ๒ ก็กลับมาทางจังหวัดอุบลราชธานี จำพรรษาที่วัดเลียบ ครั้นออกพรรษาก็ได้เที่ยววิเวกไปทางอำเภออำนาจเจริญ อำเภอมุกดาหาร เที่ยววนเวียนอยู่ตามป่าเขาแถบนั้น พอใกล้เข้าพรรษาก็กลับมาวัดเลียบอีก ออกพรรษาแล้วก็เที่ยววิเวกไปทางสกลนคร อุดรธานี แล้วกลับไปจำพรรษาที่วัดบ้านบ่อเสนง อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี

ในปี พ.ศ.๒๔๗๘ พรรษานี้ ท่านบอกว่าประกอบความเพียรอย่างหนัก ตลอดไตรมาสสามเดือนอยู่ด้วยอริยบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง ออกพรรษาแล้วก็เที่ยววิเวกกลับไปยังอำเภอเขื่องใน พักอยู่ที่วัดป่าศิลาลักษณ์ ๓ เดือน พอถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๑ ก็เข้าไปอยู่กับ ท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ที่วัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานี จนถึงปี พ.ศ.๒๔๘๕ ได้ติดตามปฏิบัติถือนิสัยอยู่กับท่านหลวงปู่เสาร์ตลอดมาจนกระทั่งท่านมรณภาพ

หลังจากเสร็จงานฌาปนกิจศพท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ที่วัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานี แล้วท่านก็เที่ยววิเวกขึ้นไปทางจังหวัดอุดรธานี เข้าไปปฏิบัติถือนิสัยอยู่กับ ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ขณะนั้นท่านพักอยู่โนนนิเวศน์ พอใกล้เข้าพรรษา ญาติโยมทางบ้านหนองหลวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ไปขอพระนักปฏิบัติจากท่านหลวงปู่มั่น ท่านหลวงปู่มั่นจึงสั่งให้ไปอยู่กับ ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่วัดป่าประชานิยม บ้านหนองหลวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จากนั้นท่านได้จำพรรษาในที่ต่างๆ อีกหลายแห่ง จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๑๔ ท่านได้มาจำพรรษาที่วัดศรีสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ต่อมาภายหลังท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสว่างแดนดินเรื่อยมาจนกระทั่งมรณภาพ
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


๏ ปฏิปทาและประสบการณ์


เมื่อท่านหลวงปู่บุญ ชินวํโส อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ได้เข้าไปปฏิบัติถือนิสัยอยู่กับท่านอาจารย์พร สุมโน นานพอสมควร จากนั้นท่านก็ได้ติดตามศึกษาปฏิบัติอยู่กับท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล อีกเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งท่านหลวงปู่เสาร์ได้มรณภาพ ท่านหลวงปู่บุญได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ท่านได้รับความองอาจกล้าหาญในปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์ดำเนินมาตั้งแต่พรรษาที่ ๔ เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย หายสงสัยในคุณพระรัตนตรัย ปฏิปทาที่ได้จากครูบาอาจารย์นั้น ท่านก็ได้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด

ท่านกล่าวว่า ครั้งแรกที่ได้เข้าไปศึกษาอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านได้ศึกษาปฏิบัติจริงๆ จนได้รับความร่มเย็นในจิตใจ ท่านมิได้ประมาทนิ่งนอนใจ ขยันหมั่นเพียรในทุกกรณีที่เป็นหน้าที่ของพระที่พึงกระทำ ท่านได้บำเพ็ญความเพียรจนเต็มสติกำลังความสามารถของท่าน จนท่านรู้วิถีแห่งการปฏิบัติทั้งภายในและภายนอกที่ครูบาอาจารย์ได้พาดำเนินมาแล้ว เมื่อท่านได้ปฏิบัติบำเพ็ญอยู่เพียงรูปเดียวซึ่งห่างไกลจากครูบาอาจารย์ ก็ได้รับความองอาจกล้าหาญมากขึ้นเป็นทวี

ฉะนั้น การเที่ยวบำเพ็ญธรรมของท่านหลวงปู่บุญ ชินวํโส ตามสถานที่ต่างๆ ที่เป็นป่าเขาก็เพื่อสะดวกแก่การภาวนา นอกจากเขตไทยแล้วท่านยังได้ข้ามไปเสาะแสวงหาสถานที่บำเพ็ญทางจิตทั้งในเขมรและลาว บางครั้งท่านก็ไปกับครูบาอาจารย์ บางครั้งก็ไปกับหมู่คณะ บางครั้งก็ไปเฉพาะท่านเพียงรูปเดียว

ในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๐ ซึ่งเป็นพรรษาที่ ๖ ท่านได้ปลีกจากครูบาอาจารย์และหมู่คณะ ข้ามไปภาวนาอยู่ตามป่าเขาในประเทศลาวเพียงรูปเดียว ได้เที่ยวจาริกบำเพ็ญอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ที่ไหนสะดวกแก่การบำเพ็ญจิต สมาธิเจริญขึ้นก็พักอยู่ที่นั้นนานๆ การเที่ยวภาวนาอยู่ตามป่าเขานี้ ท่านบอกว่าไม่ได้สนใจกับภัยที่จะเกิดขึ้นกับตนเองเท่าไร สนใจแต่ธรรมที่กำลังปฏิบัติอยู่ อีกอย่างหนึ่งท่านเชื่อมั่นในปฏิปทาของตัวเองที่ได้มาจากครูบาอาจารย์ ท่านคิดว่าถ้าหากเสือจะกินก็คงจะกินครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาก่อนเรา แต่ไม่เคยได้ยินข่าวว่า ท่านองค์นั้นองค์นี้เข้าป่าไปภาวนาแล้วถูกเสือกัดตาย นับประสาอะไรกับเราซึ่งเป็นผู้เกิดมาทีหลังครูบาอาจารย์จะมากลัวแม้กระทั่งเสียงสัตว์ร้อง อย่างนี้จะไม่เสียเพศซึ่งหมายถึงเพศแห่งการเสียสละชีวิตเพื่อธรรมหรือ เพราะความคิดของท่านอย่างนี้ ท่านจึงไม่ท้อถอยแม้ได้ยินเสียงเสือร้องกระหึ่มเข้ามาใกล้ๆ ขณะเดินทางขึ้นไปบนภูเขาควายเพียงรูปเดียว ยังไม่ทันถึงตะวันก็ตกดินเสียก่อน มีเสียงเสือร้องออกมาต้อนรับตามเส้นทางที่เดินไป
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ บำเพ็ญธรรมบนภูเขาควาย

ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับมาเมืองไทย ท่านได้ไปเที่ยวทางอำเภอบ้านอ้น บุกขึ้นไปบนภูเขาควาย พักภาวนาอยู่ที่นั้นนานกว่าทุกแห่ง การเดินทางไปบ้านลาวพวนบนภูเขาควายเป็นการเสี่ยงสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยไป เพราะจะต้องเดินข้ามภูเขาหลายลูกจึงจะถึงหมู่บ้านลาวพวน เมื่อท่านได้ถามถึงเส้นทางกับคนที่เคยไป เขาก็บอกว่าเป็นการเสี่ยงนะท่าน ท่านก็คิดในใจว่า เคยเสี่ยงมาแล้ว จึงไม่คิดหนักใจเท่าไร

วันนั้นท่านเดินทางตลอดทั้งวัน จนกระทั่งตะวันลับยอดไม้ก็ยังไม่พบร่องรอยว่าจะเห็นหมู่บ้านลาวพวนบนภูเขาควายเลย ท่านบอกว่า พอตะวันลับยอดไม้แล้วความมืดก็เริ่มปกคลุมเข้ามา เสียงเสือร้องคำรามเข้ามาทั้งข้างหน้าและข้างหลัง จิตใจที่คิดไว้แต่ก่อนว่าจะยอมสละไม่กลัวตาย แต่พอเข้าตาจนจริงๆ จิตใจที่มีกิเลสแทรกสิงอยู่ภายใน มันไม่ทำตามความคิดแต่แรกก่อนที่เสือจะมา ความจริงแล้ว เสือไม่ได้มาหาท่านเลย มันร้องอยู่ตามป่าตามประสาของมัน เพราะป่าที่ท่านเดินไปนั้นเป็นทำเลของมัน สำหรับความกลัวนั้น ท่านบอกว่ากลัวมากจนเดินไปไม่ได้ คิดจะพักอยู่กลางป่าก็กลัวเหมือนกัน จึงได้แข็งใจเดินต่อไป จิตใจถึงจะภาวนาอยู่ก็เกิดความลังเลขึ้นมาว่า ทางที่เราเดินนี้จะผิดหรือถูกกันแน่ ถ้าถูก ทำไมไม่เห็นหมู่บ้านสักที

ขณะที่ท่านคิดปรับทุกข์อยู่กับตัวเองนั้น กลัวก็กลัว เสือก็ร้องทั้งใกล้และไกล ถ้าจะเดินต่อไปก็จะไปเจอเสือ ถ้าจะหยุดพักก็กลัวเสือกลัวช้างจะมาพบท่าน กำลังคิดวุ่นวายอยู่อย่างนี้ พลันก็ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นข้างหน้า เมื่อเข้ามาใกล้ก็เป็นคนจริงๆ และขอรับบริขารของท่านไปช่วยถือให้ ทีแรกท่านไม่ยอมเพราะคิดว่าเป็นผีป่าเทวดาหรือโจรผู้ร้ายมากกว่าจะเป็นคนที่จะมารับท่าน เขาบอกกับท่านว่า เขามารับท่าน กลัวท่านจะไปไม่ถึงหมู่บ้าน เพราะดงนี้มีสัตว์ร้ายชุกชุมมาก “โยมรู้ได้อย่างไรว่าอาตมาจะไปหมู่บ้านนี้”

โยมทั้งสองคนบอกว่า เขามองเห็นท่านเดินข้ามเขาลูกที่ผ่านมานั้นตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน และรู้ว่าท่านจะต้องเดินทางมามืดอยู่ในดงนี้ พอพ้นดงนี้ขึ้นเขาไปก็จะถึงหมู่บ้าน เมื่อท่านได้ถามดูแล้วเชื่อว่าเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่โจรหรือผีป่ามาหลอก จึงยอมให้เขารับบริขารไป โยมคนหนึ่งเดินนำหน้า อีกคนหนึ่งเดินตามหลัง ระหว่างที่เดินไปโยมบอกว่า ที่โนนสาวเอ้ (หมายถึงสถานที่แห่งหนึ่งบนภูเขาควาย) มีพระมาพักอยู่ก่อนแล้วรูปหนึ่ง ชื่อ ท่านอาจารย์บุญมี ปัจจุบันท่านพักอยู่ที่วัดทุ่งสว่าง จังหวัดหนองคาย เดินไปได้เป็นเวลานานพอดู โยมจึงได้พาท่านแวะไปพักอยู่ที่บ้านร้างหลังหนึ่ง ไม่มีที่มุงที่บัง มีแต่พื้นเพื่อหลบเสือ เขาบอกกับท่านว่า คืนนี้ให้ท่านพักที่นี่ พรุ่งนี้จะมารับ ก่อนที่โยมทั้งสองจะจากไปเขาห้ามไม่ให้ท่านลงมาข้างล่างเพราะมีสัตว์ร้าย พอโยมทั้งสองกลับไปแล้วท่านก็ทำกิจวัตรประจำวันของท่าน ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนาพอสมควรแล้วก็จำวัด เมื่อรุ่งแจ้งของวันใหม่ก็มีโยมมารับและนิมนต์ท่านไปบิณฑบาต ท่านได้พบกับท่านอาจารย์บุญมีซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ต่างคนต่างไป และท่านก็ไม่เคยคิดว่าจะได้พบกับเพื่อนสหธรรมิกผู้แสวงหาโมกขธรรมอย่างท่านในป่าแถบนี้

ท่านได้พักบำเพ็ญธรรมอยู่กับท่านอาจารย์บุญมีบนภูเขาควาย สัตว์ป่าสมัยนั้นมีมาก เช่น อีเก้งเป็นฝูงๆ ไม่มีท่าทีว่าจะกลัวท่านเลย ขณะบิณฑบาตผ่านไป มันก็ยืนมองดูเฉยๆ แล้วก็หากินต่อไป กลางคืนมีสิ่งมากระตุ้นเตือนจิตใจไม่ให้ประมาท ก็คือ เสือและผีกองกอย ถ้าเป็นวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ผีกองกอยจะเข้ามาเยี่ยมท่าน มาร้องวนเวียนอยู่ที่ที่พักของท่าน จึงเป็นเหตุให้ท่านนั่งตัวตรงแข็งทื่ออยู่ตลอดทั้งคืน การประกอบความเพียรของท่านในระยะนั้น ท่านได้ทำความเพียรอย่างยิ่งยวดถึงขั้นแตกหัก ถ้ากิเลสภายในหัวใจไม่ตาย ตัวเองก็จะขอตายก่อนกิเลส เพราะการประกอบความเพียรเพื่อขับไล่กิเลสนั้น ถ้าตัวเองไม่ตายก็ขอให้กิเลสมันตายไปจากหัวใจ จะได้ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงขึ้นมาให้ลำบากอีกต่อไป เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ท่านจึงได้ทุ่มเทในการทำความเพียรอย่างหนักทุกอิริยบถ ยืน เดิน นั่ง นอน เต็มไปด้วยความพากเพียรเพื่อจะถอดถอนกิเลส

เมื่อทำความเพียรอยู่อย่างนี้ จิตใจจึงได้รู้ได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์เกิดขึ้นในเวลาจิตรวมสงบลงเป็นขั้นๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็รู้ ทั้งเรื่องภายนอกภายใน ความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจก็ล้วนแต่เป็นเรื่องความดีทั้งสิ้น ความคิดความหวังที่ตัวเองจะได้ครองธรรมบริสุทธิ์ก็อยู่คาเอื้อม ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยบถใด สติปัญญาจะพิจารณาถอดถอนกิเลสอยู่ทั้งวันทั้งคืน จิตที่มีสติเป็นพี่เลี้ยงติดตาม ไม่ว่าจะพิจารณาธาตุขันธ์หรืออาการใดอาการหนึ่ง ย่อมได้รับความรู้ความเห็นในสิ่งนั้นๆ อย่างเด่นชัด
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ผจญผีกองกอยบนภูเขาควาย

ระยะที่ท่านพักภาวนาอยู่บนภูเขาควายนั้น มีหมอยาสมุนไพรทางฝั่งไทย ๓ คนบอกกับท่านว่า พวกเขาอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ขึ้นไปเก็บยาบนภูเขาควาย เมื่อได้ยาแล้วก็มาพักอยู่ที่ลานหินใกล้ที่พักของท่านและได้ก่อกองไฟกองใหญ่ขึ้นแล้วพากันนอนล้อมกองไฟ พอตกกลางคืน คนหนึ่งในสามได้ถูกผีกองกอยทำร้ายเอา นอนตายอยู่ข้างกองไฟ แต่เพื่อนที่มาด้วยกันไม่รู้ พอรุ่งแจ้งสว่างขึ้นเห็นนอนไม่ตื่น เพื่อนจึงปลุกเพื่อให้ตื่น เพิ่งมารู้ตอนนี้เองว่าเพื่อนคนนั้นได้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ตอนกลางคืน หมอยาที่เหลืออีกสองคนบอกกับท่านว่า เมื่อคืนนี้ผีกองกอยมาร้องวนเวียนตลอดคืน เสียงร้องของมันดังผิดปรกติต่างจากที่เคยได้ยินมา บางครั้งเหมือนกับมันมานั่งร้องอยู่ข้างกองไฟ แต่ไม่เห็นตัวมัน ได้ยินแต่เสียงมันร้อง หมอนี่มันทำผิดป่าเขา ไปเอาฝืนมาก่อไฟตอนเย็นเมื่อวานนี้มันดึงลากฝืนมา มันไม่แบกมาจึงผิดป่าแถบนี้ ผีกองกอยมันจึงทำร้ายเอา เขาพูดปรารภปรับทุกข์กับท่าน เมื่อท่านได้พบเห็นกับตาตัวเองอย่างนี้แล้วยิ่งมีความกลัวเกรงในสถานที่มากขึ้น จิตใจไม่มีความชินชากับสถานที่อยู่เลย ถึงจะอยู่นานก็ยังระวังตลอดเวลา เพราะเสือกับผีกองกอยมันมาเยี่ยมและร้องบอกทุกคืนว่าไม่ให้ประมาท ให้รีบเร่งประกอบความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสออกจากจิตใจให้หมดสิ้นโดยเร็ว

ทุกวันนี้ท่านยังพูดถึงเรื่องที่ท่านไปภาวนาอยู่บนภูเขาควายให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังอยู่เสมอว่า สมัยท่านเป็นพระหนุ่มได้เสาะแสวงหาที่ภาวนาตามป่าเขาลำเนาไพร ความเกียจคร้าน ท้อแท้ อ่อนแอ ไม่มีเลย เพราะสิ่งแวดล้อมมันผลักดันให้ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่ตลอดเวลา
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ผจญเสือ

ท่านได้พักปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่บนภูเขาควายประมาณ ๔ เดือน ก็กลับลงมาหาครูบาอาจารย์และหมู่คณะทางฝั่งไทย พร้อมกับได้ข่าวว่าโยมบิดาของท่านป่วย จึงได้เดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานี การเดินทางไปจังหวัดอุบลฯ ในสมัยนั้นต้องเดินไป รถราไม่ค่อยจะมี เวลาเดินไปก็ภาวนาไปด้วย แล้วก็แวะตามสถานที่ต่างๆ เมื่อถึงเมืองอุบลก็ได้ไปเยี่ยมโยมบิดา ครั้นอาการของโยมบิดาดีขึ้น ท่านจึงได้ออกเที่ยววิเวกต่อไปทางอำเภอคำชะอี มุกดาหาร ได้แวะพักตามป่าเขาในแถบนั้น ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๗ มีบางคนที่ไม่รู้ความจริงของท่าน ได้พูดว่า เสือกินท่านอาจารย์บุญเสียแล้ว คนทั้งหลายพอได้ยินข่าวนี้ก็ลือกันใหญ่ว่าเสือได้กินท่านจริงๆ พอท่านกลับมา ทั้งพระทั้งโยมได้ถามท่านว่า ไหนเขาลือว่าท่านถูกเสือกินตายแล้ว ทำไมท่านยังอยู่

เรื่องจริงมีอยู่ว่า พระธุดงค์กรรมฐานในสมัยท่านหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พอออกพรรษาแล้วก็ต้องเที่ยววิเวกไปตามป่าเขาพักรุกขมูลต่างๆ เช่น ร่มไม้ ถ้ำ เงื้อมผา ต้องเปลี่ยนสถานที่ภาวนาไปเรื่อยๆ ท่านหลวงปู่บุญได้ไปพักอยู่ที่ด่านเม็ง ใกล้บ้านยิ้ว อำเภอคำชะอี พอท่านไปพักที่นั่นยังไม่ถึงคืน ก็มีชาวบ้านยิ้วพร้อมกันมานิมนต์ท่านให้ย้ายไปพักที่อื่น แล้วชาวบ้านก็พูดเป็นการข่มขวัญท่านทันทีว่า

“ท่านอัญญาธรรมจะพักอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นอันขาด (ท่านอัญญาธรรมเป็นศัพท์ที่ชาวบ้านยิ้วเรียกพระธุดงค์สมัยนั้น) ที่ท่านพักอยู่เดี๋ยวนี้เป็นทางผ่านของเสือโคร่งตัวใหญ่ ดุร้ายมาก เคยกัดกินคนมาแล้ว”

ขณะท่านฟังชาวบ้านพูดว่า “เสือจะมากัดกินท่าน ถ้าท่านพักอยู่ที่นี่” ท่านก็นึกขำในใจว่า ชาวบ้านอาจจะมาขู่ท่าน ลองดูว่าท่านจะเป็นพระป่าประเภทขี้ขลาดหรือกล้าตาย และท่านก็คิดได้ว่า ถ้าหนีออกไปจากที่นี่ตามคำนิมนต์ของชาวบ้านแล้ว เราก็จะเป็นพระธุดงค์ประเภทขี้ขลาด

ท่านจึงบอกชาวบ้านว่า “เสือมันไม่กล้าทำร้ายพระ เพราะพระมีเมตตาธรรม ไม่เบียดเบียนสัตว์ เสือไม่มาเบียดเบียนพระหรอกโยม มันจะเบียดเบียนแต่คนไม่มีศีลมีธรรมนั่นแหละ”

ถึงชาวบ้านจะอ้อนวอนให้ท่านย้ายไปพักที่อื่นอย่างไร ท่านก็ไม่ไป ท่านยังได้พูดทีเล่นทีจริงกับชาวบ้านว่า “ถ้าเสือมาหาอาตมาจริงๆ ก็ดีแล้ว อาตมาจะได้เห็นตัวมัน เสือที่กินคนมาแล้วนี้จะตัวใหญ่ขนาดไหน วันนี้อาตมาจะยังไม่ไปไหน ถ้าจะย้ายไปที่อื่นก็คงอีกหลายวันข้างหน้า”

ชาวบ้านทั้งหลายที่มานิมนต์ ดูท่าทางท่านแล้วเป็นห่วงท่านจริงๆ เขายังพูดอย่างระล่ำระลักว่า “ท่านจะมาภาวนานั้น ท่านไม่ได้ภาวนาดอก เสือตัวนี้จะรบกวนท่านจริงๆ ถ้าท่านไม่รีบหนีจะถูกมันกัดกินก็ได้ ขอให้ฟังพวกข้าน้อยเถิด อย่าอยู่เลย”

ขณะที่ชาวบ้านกำลังนิมนต์จะให้ท่านหนีให้ได้ ในจิตใจของท่านก็เท่ากับว่าเขานิมนต์ให้อยู่ที่นี่ อย่าหนีไปไหน ให้ตั้งใจภาวนา ท่านนึกอย่างนี้ ชาวบ้านยังเล่าให้ท่านฟังอีกว่า บางคืนเสือตัวนี้เข้าไปในหมู่บ้านจับเอาวัวควายของชาวบ้านกิน ไม่มีใครกล้าทำอะไรมัน เพราะเขาเชื่อว่าเสือตัวนี้ต้องเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าป่าเจ้าเขาซึ่งเป็นอารักษ์ของหมู่บ้านยิ้ว ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนเพราะสัตว์ร้ายเข้าหมู่บ้านรบกวน ชาวบ้านจะไปพูดกับอารักษ์ผีบ้านว่า ขอให้เจ้าป่าตาอารักษ์บ้านปกป้องคุ้มครองอย่าให้สัตว์ร้ายไปรบกวนนัก เพราะชาวบ้านป่าขาดที่พึ่งทางจิตใจมาก พวกเขาจึงได้ยึดเอาผีสางเทวดาเป็นที่พึ่ง บางหมู่บ้านพอเห็นพระธุดงค์กรรมฐานจะเข้าไปอยู่ดอนผีปู่ตาบ้าน ต้องวิ่งออกมาดักนิมนต์ให้ไปพักที่อื่น
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อชาวบ้านที่มานิมนต์ท่านกลับไปแล้ว ท่านก็คิดอยู่ในใจว่า เรามาที่นี่เพื่อภาวนา ถึงจะถูกเสือมารบกวนจริงตามคำของชาวบ้าน เราก็จะทนอยู่ไปก่อน เพราะได้ฝืนคำของชาวบ้านไปแล้ว ถึงเสือจะกัดกินก็เป็นกรรมของเราต่างหาก ท่านพักอยู่ที่นั่นได้ ๓-๔ คืน กำลังเตรียมรับมือกับเสือตัวที่ว่านั้นอยู่อย่างไม่ได้หลับไม่ได้นอน ก็ไม่เห็นเสือมาตามชาวบ้านพูด ได้ยินแต่เสียงร้องอยู่ไกลๆ

พอถึงวันที่ ๗ ใกล้ค่ำวันนั้น ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักมาเป็นระยะ พร้อมกับเห็นไก่ป่าตัวหนึ่งบินมาทางท่านแล้วร้องกะต๊าก ท่านมองดูไก่ตัวนี้จะต้องกลัวอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นแน่ ท่านคิดในใจ หรือเสียงกิ่งไม้หักนั้นจะเป็นสัตว์ร้าย แล้วเสียงกิ่งไม้หักก็ดังใกล้เข้ามา ท่านเดินจงกรมอยู่ก็ลังเลใจ ระลึกถึงคำครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า “เสียงกระโดดสูง เสียงกิ่งไม้หักห่างๆ นั้นเป็นเสียงสัตว์ร้าย จะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน ให้ระวัง”

พอท่านนึกถึงคำนี้ ท่านก็เดินออกจากทางจงกรมเข้าไปอยู่ในมุ้งกลด ซึ่งแขวนอยู่ใต้ร่มไม้ริมทางจงกรม แล้วหันไปดูทิศทางที่มาของเสียง ก็เห็นเสือโคร่งตัวใหญ่ยืนอยู่บนทางเดินจงกรมของท่าน มองดูท่านด้วยสายตาอันคม ท่านเกิดความกลัวจนตัวสั่นแทบจะตั้งสติไม่ได้ เพราะระลึกถึงคำชาวบ้านที่ว่า เสือตัวนี้เคยกัดกินคนมาแล้ว

ขณะที่มันยืนเพ่งดูท่านซึ่งนั่งอยู่ในมุ้งกลด ท่านก็ได้ตั้งสติรีบนั่งขัดสมาธิภาวนา หันหน้าเข้าหามัน แต่ตาท่านหลับ ไม่ได้มองดูเสือด้วยความกลัวจนตัวสั่นเหมือนครั้งแรก พอท่านนั่งไม่กระดุกกระดิก ท่านว่าเหมือนกับเสือมันรู้ว่าท่านเตรียมรับมือมันแล้ว มันก็เดินเข้ามาหาท่าน ตาก็จับอยู่ที่ตัวท่าน พอใกล้จะถึงมุ้งกลดของท่าน มันก็หมอบลงกับพื้น ตีหางของมันกับพื้นดิน ทุกอวัยวะของมันเหมือนจะกระโดดเข้าตะครุบท่าน แต่มันก็ทำอยู่อย่างนั้น แล้วลุกขึ้นเดินไปเดินมา วนเวียนอยู่รอบๆ มุ้งกลดของท่านเป็นเวลานาน ไม่ยอมหนีไปไหน ท่านดูอาการของมันแล้ว เหมือนกับมันบอกให้ท่านทราบว่า มันจะคอยให้ตะวันตกดินเสียก่อนจึงค่อยเข้าตะครุบท่าน ขณะที่มันทำท่าจะตะครุบท่านนั้น ท่านก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จิตใจก็กลัวแทบจะตั้งสติไม่ได้ ก็ระลึกถึงคำของชาวบ้านที่มาขู่เอาไว้ทุกวันว่า ถ้าท่านไม่หนีไปจากที่นี่ ไม่วันใดก็วันหนึ่งเสือจะมากัดกินท่าน

ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา มันมีอาการจะเอาตัวท่านให้ได้จริงๆ ท่านก็เลยกำหนดจิตอธิษฐานว่า “ถ้าเสือตัวนี้กับข้าพเจ้าซึ่งเป็นนักบวชเคยเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่อดีต ข้าพเจ้าเคยสร้างเวรกรรมไว้แล้วกับเสือตัวนี้ ขอให้เสือตัวนี้ตะครุบข้าพเจ้าไปกินเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เคยสร้างเวรกรรมกันมาก่อน ขอให้เสือตัวนี้จงรีบหนีไปโดยเร็วไว”

พอท่านอธิษฐานจิตเสร็จ จิตใจก็เกิดความกล้าหาญ ยอมสละชีวิตให้กรรมเก่า แล้วท่านก็จับมุ้งกลดรื้อขึ้น จะออกไปใช้หนี้ให้แก่เสือ ยอมให้เสือกิน จะได้สิ้นเวรสิ้นกรรมกันต่อไป พอมือท่านไปถูกมุ้งกลด มุ้งก็ไหว พอเสือเห็นมุ้งกลดไหว มันก็กระโดดเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่วันนั้นมา เสือไม่เคยมาหาท่านอีกเลย บางวันท่านยังนึกสนุกอยากให้มันมาทำท่าตะครุบเหยื่อของมันให้ดูอีก สำหรับเสือตัวนั้นพอไปจากท่าน มันก็เข้าไปในหมู่บ้านยิ้ว จับเอาควายของชาวบ้านไปกิน ท่านพักอยู่ที่นั่นประมาณหนึ่งเดือนก็ย้ายไปที่อื่น

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้