ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2813
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

รักกันด้วยบุญเก่า หรือบุญใหม่

[คัดลอกลิงก์]
โดย ดังตฤณ

ถาม - ทราบมาว่าคู่ครองจะอยู่ด้วยกันดีต้องมีบุญหนุนนำ แต่สงสัยว่าคู่ที่อยู่กันด้วยบุญนั้น หมายถึงบุญที่ทำร่วมกันในชาติที่แล้วหรือในชาตินี้คะ?


การที่มีอัตภาพได้มาเจอกันแล้วรู้สึกดี
ก็ถือว่าเป็นบุญเก่าที่ให้ผลเป็นกุศลวิบากอยู่แล้ว
นั่นเป็นของในอดีตล้วนๆ
นับแต่วินาทีแรกที่พบกัน
แม้ว่าวิบากเก่าอาจจะยังให้ผลไม่หมดสิ้น
มีแรงหนุนให้อยากคบหา
หรือมีความหนุนเนื่องให้เกิดเหตุการณ์ดีๆ ปัจจัยประกอบดีๆ
ก็ต้องถือว่าทั้งสองต้องเลือกเอาเอง กำหนดเอาเอง
ว่าจะทำปัจจุบันให้เป็นอย่างไร
ถางทางอนาคตให้ดีร้ายแค่ไหน

จะเลี้ยงความรู้สึกดีต่อกันไว้ได้นั้น
บุญเก่าอาจมีส่วนในแง่ของการเอื้อปัจจัย
แต่ไม่ได้เป็นประกันชัดเจนเหมือนบุญใหม่แน่นอน

ทำนองเดียวกันกับที่เราอาจใช้ชีวิตตอนต้นเร่งสร้างเงินทอง
เมื่อมีฝากธนาคารหลายๆล้านแล้ว
ก็เรียกว่าเป็นปัจจัยหนุนเนื่องที่ดี ที่จะสร้างความสุขสมบูรณ์ให้ชีวิต
แต่ใครจะรู้ คนบางคนพอมีเงินมาก แทนที่จะใช้ในทางดี
กลับเอาไปเล่นพนัน ลงขวดเหล้า ลงอ่างน้ำ
เป็นพิษสุราเรื้อรังก็ได้ เป็นเอดส์ก็มี
หรือแย่น้อยกว่านั้นหน่อยก็อาจเอาแต่กินๆนอนๆ
เงินทองไม่สั่งสมเพิ่มขณะที่ต้องจ่ายมากตามฐานะที่รวยมาก
ในที่สุดก็หมดแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเมื่อเวลาผ่านไป

ทำนองเดียวกัน สมมุติว่าสองคนสร้างบุญมาด้วยกัน
ชาติใกล้ชักชวนกันทำทานเป็นงานอดิเรก
ต่างฝ่ายต่างก็ได้แดนเกิดร่ำรวยไม่ขัดสน
พอมาเจอกัน คบกัน อยู่ด้วยกันไม่ทันไร
อยากทำธุรกิจค้าขาย ก็อาจรวยไม่รู้เรื่อง

ชาติใกล้เตือนกันและกันตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์
ต่างฝ่ายต่างมีรูปร่างหน้าตาต้องใจเพศตรงข้าม
พอมาเจอกัน ก็เอ็นดูเสน่หา หลงใหลในกันและกันรุนแรง
ชนิดที่ใครอื่นหมื่นแสนก็ทำให้หลงไม่ได้เท่า

ชาติใกล้อาจจูงมือกันเข้าวัดเข้าวา
ฝึกภาวนาให้เกิดความตั้งมั่นทางจิตใจ
เจริญปัญญาให้แก่กล้าหวังความหลุดพ้นในที่สุดด้วยกัน
ตั้งความปรารถนาว่าจะพบเพื่อเกื้อกูลกันให้ถึงที่สุดทุกข์
ไม่ขวางกันและกันในเส้นทางมรรคผล
พอมาเจอกัน ก็เกิดความผ่องใส เย็นรื่น
แค่อยู่ด้วยกันเฉยๆก็อาจเป็นแรงสะกิดอีกฝ่ายให้สงบลงจากทุกข์
และโน้มน้าวกันให้ใฝ่แต่เรื่องแสนดี งดงาม ไม่เป็นที่ระคายต่อกัน
เจอพระสงฆ์องค์เจ้าก็แต่ที่ดีๆ
ไม่ลุ่มหลงประเภทพาญาติโยมลงเหว เป็นต้น

หน้าที่ของวิบากฝ่ายกุศลเป็นอย่างนั้น ให้ผลตามเหตุปัจจัยเป็นเรื่องๆ
ผมเคยพบคู่ตัวอย่างที่วิบากเก่าให้ผลดีรุนแรงพรั่งพร้อมมาบ้าง
ในลานธรรมนี่ก็มีอยู่สองสามคู่
(อยู่ในสังคมพุทธขนาดใหญ่ก็ดีหน่อย ตรงที่มีตัวอย่างให้ดูทุกชนิด)
ประเภทนี้จะได้เปรียบตรงที่เจอกันปุ๊บจะรู้สึกว่าเข้ากันได้ปั๊บ
และเกิดแรงบันดาลใจจะทำกุศลชนิดล้นๆร่วมกันแต่แรก

อย่างไรก็ตาม มีอีกมากนัก ที่ทำบุญมาด้วยกันแค่ระดับทาน
อาจรวยร่วมกัน เจอกันยิ่งรวยมหารวยเป็นบ้าเป็นหลัง
แต่ปัญญาที่จะประคองรักร่วมกันอาจขาดไป
ได้กันแล้วก็เบื่อกัน ไม่ต่างกับเสพสมบัติชนิดอื่นๆ
ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงอาจมักมากในกามจนต้องออกไปเลอะเทอะข้างนอก
และคนมีเงินนั้น ผิดศีลได้มากข้อนัก คงไม่ต้องขยายความ

มีอีกมากนัก ที่ชวนกันรักษาศีลมาก่อน
จะโกหกนั้นไม่เอา บี้มดตบยุงก็ไม่ยอม
แต่ขาดทานบารมีร่วมกันมา ชวนกันอดออม ชวนกันตระหนี่เสียมาก
เพราะไม่รู้ค่าของทาน ไม่เชื่อผลของทาน
เกิดมาเจอกันอาจจะรักกันดูดดื่มปานจะกลืน
เพราะรูปสวยด้วยกันทั้งคู่ แต่ขอโทษ ต้องกัดก้อนเกลือกินจนตาย
ถึงสัญญาเก่าที่เจือด้วยความบริสุทธิ์ของศีลจะดึงรั้งไม่ให้นอกใจกัน
ก็อยู่ร่วมกันอย่างอัตคัดขัดสน ผอมแห้งแรงน้อย เจ็บออดๆแอดๆ
ก็เป็นเหตุให้เกิดความเบื่อหน่ายกันและกันอันเนื่องจากความเป็นอยู่ได้อีก

โดยความไม่สมบูรณ์ของ ทาน ศีล ภาวนา ที่บำเพ็ญมาร่วมกัน
คู่รักที่เป็นปุถุชนทั่วไปจึงมักขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายสิ่ง
ที่จะเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงตามวิถีทางธรรมชาติ ให้มั่นคงในรักต่อกัน
หรือให้มีความสุขสดชื่นบำรุงจิตใจกันและกัน
ฉะนั้นถ้าหากอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีปัจจัยปรุงแต่งชนิดที่เป็นกุศล
หล่อเลี้ยงให้เกิดความชุ่มชื่นใหม่ๆ ทวีขึ้นทุกๆวัน
ก็เป็นธรรมดาที่ความรักจะโรยราลงตามธรรมชาติใจ
ที่เบื่อหน่ายของเก่าซ้ำซากจำเจ

เท่าที่เคยเห็นคู่ที่ติดใจกันและกันโดยเนื้อหนัง
เวลาเบื่อจะหน่ายยิ่งกว่าเห็นปลาทูเค็ม
เล็บยังไม่อยากจะแตะ เงาก็ไม่อยากจะเห็น
นี่คือธรรมชาติเสื่อมโทรมทางความรู้สึกในกาม

เท่าที่เห็นคู่ที่ทำบุญร่วมกันทุกวัน
(ครั้งที่ผมบวชเมื่อครบอายุ จะมีโอกาสเห็นตัวอย่างมากรายในละแวกวัด)
จะสัมผัสได้ถึงกระแสชนิดหนึ่ง เยือกเย็น อ่อนโยนเป็นธรรมชาติ
กระแสชนิดนี้เหนี่ยวรั้งจิตวิญญาณทั้งฝ่ายชายและหญิง
ให้เกิดความรู้สึกด้านดีต่อกัน
แม้เบื่อกันทางเนื้อหนังแล้ว ก็ยังน่าจะอุ่นใจ เย็นกาย
ไม่รู้สึกรังเกียจอีกฝ่ายเลย เหมือนแต่ละฝ่ายเป็นส่วนเติมความเย็นให้แก่กัน
เข้าใกล้กันแล้วไม่ร้อน อยู่ร่วมกันนานแล้วไม่จืด
เพราะคอยเติมความเย็นให้ทวีขึ้นเรื่อยๆ
(ต้องดูปัจจัยภายในเช่นเจตนาและความใจบุญแท้จริงด้วยนะครับ
หลายคนเลย ชาวพุทธเรา ที่ทำบุญแบบส่งๆ
หรือทำสักแต่หวังแลกความรักแบบง่ายๆ อันนั้นก็ทำบุญแบบไม่ฉลาดนัก)


และเท่าที่มีโอกาสสัมผัสจริง
คู่ที่หมั่นชวนกันภาวนาร่วมกัน ตะลอนๆหาวัดด้วยกัน
จะมีสายสัมพันธ์อีกลักษณะหนึ่งให้สัมผัสรู้สึก
มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งยิ่งกว่าคู่รักประเภทที่กล่าวมาข้างต้นมาก
คือนอกจากกระแสความเยือกเย็นที่สื่อเป็นสายสัมพันธ์เหนียวแน่นแล้ว
ยังมีความอบอุ่นมั่นคงอีกชนิดหนึ่ง ให้ความรู้สึกโปร่งเบา ปลอดภัย
และมีความแน่นอนกว่ากันมาก
อยู่ร่วมกันนานๆแล้วเมื่อกระแสจิตจูนตรงกัน
ทั้งในระดับของการมีใจเปิดเป็นทาน
ช่างให้ทั้งทรัพยทาน อภัยทาน วิทยทาน ธรรมทาน
ทั้งในระดับของการมีใจสะอาดเป็นศีล
บริสุทธิ์สว่าง ห่างจากการคลุกกิเลสหยาบหนา
ทั้งในระดับของการมีใจตั้งมั่นเป็นสมาธิ
มีความมั่นคงแน่วแน่ในภายใน เป็นที่พึ่งให้แก่กันและกัน รวมทั้งตัวเองได้
ทั้งในระดับของการมีใจปล่อยวางอย่างเป็นพุทธิปัญญา
ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ในกันและกันรุนแรง
แบบนี้นะครับ ไปไหนก็เป็นความชุ่มฉ่ำ สุกสว่างให้กับทุกที่ ทุกคนที่ใกล้ชิด

พูดแล้วเหมือนนิยาย ;-) แต่ก็คือความจริง
มีจริง เป็นไปได้จริง ขอให้มีพื้นฐานธรรมะอยู่ในใจของทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิง
เมื่อมาพบกัน รู้จักกัน ก็เกิดเรื่องจริงที่เหมือนอิงนิยายได้ทั้งนั้น
เผลอๆนักประพันธ์จะคาดไม่ถึง จินตนาการไปไม่เจอด้วยซ้ำ
เนื่องจากนักประพันธ์ส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจที่แท้จริง
ว่าคู่อุดมคติตามแนวพุทธแท้ๆนั้น มีองค์ประกอบ มีปัจจัยอุดหนุนมาอย่างไร



ที่มา. เวปรวมสารพันคำตอบเรื่องความรัก
http://www.star4life.com/forum/index.php?topic=522.0
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-18 13:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความรักกับกาม และ ความรักอย่างพรหมวิหาร


ประเด็นที่จะหลีกเลี่ยง ไม่พูดถึงไม่ได้ในเรื่องของความรักในภพภูมิมนุษย์ คือเรื่องกาม เพราะความรักแบบที่เรารู้จักเกี่ยวข้องกับเรื่องกามราคะ ไม่ว่าจะการได้ยินเสียงที่ชอบ ได้เห็นรูปที่พอใจ และอื่นๆ ในชีวิตคนเราก็เกี่ยวข้องกับเรื่องกามราคะทั้งวัน เช่น กินอาหารที่อร่อย นอนที่นอนนุ่มสบาย

กามนั้นทำให้คนมีความสุขจริง แต่สุขนั้นเป็นสุขที่เกิดจากเหยื่อล่อ เมื่อเข้าไปเสพแล้วเราก็กลายเป็นเหยื่อ โทษของกามคือทำให้ติด ได้แล้วไม่อิ่มเต็ม จะมีสักกี่คนที่เห็นโทษของกามที่จะเกิดตามมา  เพราะกามทำให้เกิด ความยินดีพอใจที่จะเกิดมาเสพ การเกิดทำให้ต้องมาประสบความทุกข์




จากการพลัดพราก ความหึงหวงก็มีที่มาจากความพอใจใจกาม กามราคะจึงเป็นสุขแบบที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ในภายหลัง

สุขเล็กน้อยแลกกับทุกข์ และภาระต่างๆ ให้ต้องมาเกิด และรับทุกข์จากการ เจ็บป่วย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เวียนวนซ้ำๆกับทุกข์เดิมๆในสังสารวัฏที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ที่คนติดกามกันนักเพราะไม่พิจารณา แท้จริงแล้วการเสพกาม ไม่ว่าจะโดยรูปแบบใดก็เหมือนกันคือ รู้สึกว่าได้กระทบผัสสะ เมื่อกระทบผัสสะที่ชอบ ก็ทำให้รู้สึกถึงความมี มีตัวมีตน พอมีตัวตนที่เป็นสุข ก็มีตัวตนที่เป็นทุกข์ มีตัวตนที่สร้างเหตุ ก็มีตัวตนที่จะต้องไปรับผล มีความสุขของฉัน มีคนรักฉัน มีคนรักของฉัน มีลูกฉัน มีรถฉัน มีความสบายของฉัน เพื่อแก้ความไม่เต็มในใจ ความขาด ความเหงา เหงามากก็ต้องการได้รับการสัมผัสที่รุนแรง มีคนเอาอกเอาใจอย่างมาก เหงาน้อยได้รับผัสสะเบาๆก็พออยู่ได้ ได้กินอาหารอร่อยๆก็มีความสุขแล้ว แต่ไม่ว่าจะได้เสพสิ่งต่างๆมากหรือน้อยแล้วทำให้มีความสุข ได้เสพอะไรเพื่อสนองก็ตาม รากของมันเหมือนกัน และไม่ได้ให้ผลอะไรต่างกันเลย จะฟังเพลงหรือแคะขี้มูกผลก็คือความสุขเหมือนกัน เพียงแต่ความไม่รู้ ทำให้เรารู้สึกว่าต้องมีความสุขที่หลากหลาย เมื่อไม่ได้พิจาณา ใครว่าอย่างไรดีก็ขวนขวายแสวงหา เชื่อตามว่าสิ่งนั้นคือความสุข ทำทุกอย่างให้ได้มา โดยที่ไม่เห็นความทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า และที่จะเกิดต่อไปอีกยืดยาว

รักอย่างกามจึงเป็นรักแท้ไม่ได้ เพราะมีความแปรเปลี่ยนขึ้นลง ไม่สิ้นสุด มีสุขแล้วก็ทุกข์ รักแท้อย่างพุทธเป็นรักที่ไม่เจือด้วยกิเลส จึงมีความสงบเย็น มีความเต็ม ไม่ขาด
รักแท้อย่างพุทธคือรักที่เป็นพรหมวิหารธรรม คือมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา  ซึ่งความสุขชนิดนี้เป็นความสุขที่เรายังไม่รู้จัก เพราะยังไม่เคยเข้าถึง เมื่อยังไม่เคยเข้าถึงก็เลยไม่เข้าใจว่าเป็นสุขอย่างไร จึงยังวนเวียนอยู่กับความรักที่ประกอบด้วยกาม เห็นว่าทุกข์คือสุข เมื่อไม่เห็นโทษจึงปล่อยวางไม่ได้

จิตที่เข้าถึงรักแท้อย่างพรหมเป็นความสุขแบบสงบระงับ ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกได้เหมือนอยู่ใต้ร่มไม้ท่ามกลางแดดร้อน เพราะรักอย่างพรหมไม่เจือด้วยกิเลสจึงไม่เร่าร้อน ไม่เบียดเบียน
การจะเข้าถึงพรหมวิหารธรรม การจะรู้จักความรักขั้นสูง ต้องพัฒนาใจให้สูงตาม ไม่สามารถทำได้ด้วยการคิด หรือด้วยความอยากไม่อยาก เพราะหัวใจของพรหมวิหารคืออุเบกขา จึงเข้าถึงได้ด้วยการภาวนาเจริญมรรคเท่านั้น การเจริญมรรคโดยย่อคือการเจริญศีล สมาธิ ปัญญา  สิ่งที่สำคัญคือการมีสติรู้อยู่ในปัจจุบัน ให้เห็นความจริงในปัจจุบัน โดยไม่หลงไหลไปตามสิ่งที่ถูกกระทบ ไม่โอนเอนเอียง คือความเป็นกลาง เมื่อสามารถเห็นความจริงด้วยความเป็นกลาง เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง แปรปรวน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ กิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ตัณหาความอยากเป็นเหตุแห่งทุกข์ จิตก็จะเกิดปัญญาและสามารถปล่อยวางความยึด ไม่ติดในกาม เป็นอิสระจากกาม เข้าถึงเป้าหมายสูงสุดของรักแท้ ที่ไม่พาให้ต้องเป็นทุกข์อีก
การสร้างบารมีทางจิตใจก็เพื่อให้เกิดปัญญาตัวนี้ การมีความรักเพื่อสุข ก็คือการรักเพื่อพัฒนาไปถึงจุดนี้

ที่มา www.sangtean.com

Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-11-18 13:02
ความรักกับกาม และ ความรักอย่างพรหมวิหาร

มีรูปวุ่นประกอบ...ทำให้เข้าใจง่ายขึ้นเยอะเลย
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-8-21 12:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้