ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ~

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อัฏฐบริขารหมดอายุ

ในพรรษาที่ ๙ นี้ ได้มาจำพรรษาอยู่กับท่านอาจารย์กินรีมาขอพึ่งบารมีปฏิบัติธรรมกับท่าน และได้รับความสงเคราะห์จากท่านอาจารย์เป็นอย่างดี ท่านอาจารย์เห็นไตรจีวรเก่าขาด จะใช้ ต่อไปไม่ได้ ท่านจึงได้กรุณาตัดผ้าฝ้ายพื้นเมืองให้จนครบไตรจีวร หลวงพ่อชาคิดว่า ผ้านี้จะมีเนื้อหยาบหรือละเอียดไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ใช้ได้ทนทานก็เป็นพอ ในพรรษานี้หลวงพ่อได้มีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติอย่างมากไม่มีความย่อท้อแต่ประการใด

คืนวันหนึ่ง หลังจากหลวงพ่อทำความเพียรแล้วคิดจะ พักผ่อนบนกุฏิเล็กๆ พอเอนกายลง ศีรษะถึงหมอนด้วยการกำหนด ติ พอเคลิ้มไปเกิดนิมิตขึ้นว่า ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้มาอยู่ใกล้ๆ นำลูกแก้วลูกหนึ่งมายื่นให้แล้วพูดว่า ชา...เราจะให้ลูกแก้วลูกนี้แก่ท่านมันมีรัศมีสว่างไสวมาก หลวงพ่อยื่นมือขวาไปรับลูกแก้วลูกนั้น รวบกับมือท่านพระอาจารย์มั่นแล้วลุกขึ้นนั่ง พอรู้สึกตัวก็เห็นตัวเองยังกำมือและอยู่ในท่านั่งตามปกติมีอาการคิดค้นธรรมะเพื่อความรู้เกี่ยวกับ
การปฏิบัติมีติปลื้มใจตลอดพรรษา

รบกับกิเลส

ในพรรษาที่อยู่กับพระอาจารย์กินรีนั้น ขณะที่มีความเพียรปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ในวาระหนึ่งได้เกิดการต่อสู้กับราคะธรรมอย่างแรง ไม่ว่าจะเดินจงกรมนั่งสมาธิหรืออยู่ในอิริยาบถใด ก็ตาม ปรากฏว่ามีโยนีของผู้หญิงชนิดต่างๆ ลอยปรากฏเต็มไปหมด เกิดราคะขึ้นจนทำความเพียรเกือบไม่ได้ ต้องทนต่อสู้กับความ รู้สึกและนิมิตเหล่านั้นอย่างลำบากยากเย็นจริงๆมีความรุนแรงพอๆกับความกลัวที่เกิดขึ้นในคราวที่
ไปอยู่ป่าช้านั่นแหละ เดิน จงกรมไม่ได้เพราะองค์กำเนิดถูกผ้าเข้าก็จะเกิดการไหวตัว ต้องให้ทำที่เดินจงกรมในป่าทึบและเดินได้เฉพาะในที่มืดๆ เวลาเดินต้องถลกบงขึ้นพันเอวไว้จึงจะเดินจงกรมต่อไปได้ การต่อสู้กับกิเลสเป็นไปอย่างทรหดอดทน ได้ทำความเพียรต่อสู้กันอยู่นานเป็นเวลา ๑๐ วัน ความรู้สึกและนิมิตเหล่านั้นจึงจะสงบลงและหายไป
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อถึงหน้าแล้ง (ปี ๒๔๙๐) หลวงพ่อจึงกราบลาท่านอาจารย์กินรี เพื่อแสวงหาวิเวกต่อไป ก่อนจากท่านอาจารย์กินรีได้ให้โอวาทว่า ท่านชา... อะไรๆก็พอสมควรแล้ว แต่ให้ท่านระวังการเทศน์นะ ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางไปเรื่อยๆ แสวงหาที่วิเวกบำเพ็ญสมณธรรมต่อไป จนเดินธุดงค์ไปถึงบ้านโคกยาว จังหวัดนครพนม ไปพักอยู่ในวัดร้างแห่งหนึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๑๐ เส้น ในระยะนี้จิตสงบและเบาใจ อาการมุ่งจะเทศน์ก็เริ่มปรากฏขึ้นมา

เหตุการณ์แปลกครั้งที่ ๓ เมื่อได้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดร้างแห่งนั้น วันหนึ่งเขามีงานในหมู่บ้านมีมหรสพ เปิดเครื่องขยายเสียงดังอื้ออึงมาก ขณะนั้นหลวงพ่อกำลังเดินจงกรมอยู่ เป็นเวลาประมาณ ๔ ทุ่มเดินได้นานพอสมควรจึงนั่งสมาธิบนกุฏิ ชั่วคราว ขณะที่นั่งอยู่นั้นจิตใจเข้าสู่ความสงบ จนมีความรู้สึกว่า เสียงเป็นเสียง จิตเป็นจิตไม่ปะปนกัน ไม่มีความกังวลอะไรทั้งสิ้น อาการเหล่านี้ปรากฏเป็นเวลานาน ถ้าจะอยู่ตลอดคืนก็ได้จนจิตเกิดความรู้สึกว่า เอาละพักผ่อนเสียที จึงมีการพักผ่อนตามภาพของสังขาร พอเอนกายลงศีรษะยังไม่ถึงหมอน ด้วยติเต็มเปี่ยม จิตมีการน้อมเข้าสู่มรณติเป็นครั้งแรก จนกระทั่งจิตดำเนินเข้าไปผ่านจุดอันหนึ่ง ได้ปรากฏว่าร่างกายระเบิดเป็นผุยผง อาการจิตนั้นทะลุเข้าสู่จุดแห่งความสงบใสสะอาดอีกต่อไป เมื่อเวลานาน พอสมควรแล้ว จึงมีอาการถอนออกมาเป็นปกติธรรมดาอีกพักหนึ่ง แล้วก็มีอาการดำเนินเข้าไปถึงจุดอย่างเก่า ร่างกายมีกำลังระเบิดรุนแรงละเอียดยิ่งกว่าครั้งแรกประมาณ ๓ เท่า แล้วก็ทะลุเข้าสู่จุดนานพอสมควร จึงมีอาการถอนออกมาถึงปกติจิตธรรมดา แล้วก็มีอาการน้อมเข้าไปผ่านจุดอย่างเก่ามีการระเบิดอย่างรุนแรงยิ่งกว่าครั้งที่สองตั้ง ๓ เท่า จนคล้ายๆกับโลกนี้แหลกละเอียดไม่มีอะไรเหลือ แล้วจึงทะลุเข้าสู่จุดมุ่งสงบใสสะอาด ทั้งละเอียดยิ่งขึ้นถึง ๓ เท่า แล้วมีการถอนออกมาอีกเช่นเคย จึงมีความวิตกเกิดขึ้นว่านี่คืออะไร? มีคำตอบเกิดขึ้นว่า สิ่งนี้ไม่ต้องสงสัย สิ่งนี้คือของเป็นเอง ต่อจากนั้นมาก็มีความเบาใจ...ยากแก่การที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ ลักษณะที่กล่าวมานี้เราไม่ต้อง ปรุงแต่งเป็นพลังจิตที่เป็นเองของมัน หลังจากนั้นการปฏิบัติมีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากทีเดียว เมื่อพัก

อยู่ที่วัดร้างบ้านโคกยาวได้ครบ ๑๙ วัน จึงเดินธุดงค์ไปตามบ้านเล็กบ้านน้อยเรื่อยไป การแสดงธรรมและการแก้ปัญหาของตนเองและผู้อื่น รู้สึกว่ามีความคล่องแคล่วมาก ไม่มีความสะทกสะท้านอะไรเลย
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชนะใจตนย่อมพ้นภัย

ในระยะเดินธุดงค์ระยะนี้ นอกจากมีพระเลื่อมเป็นเพื่อนแล้วก็ยังมีเด็กเป็นลูกศิษย์อีก ๒ คน เดินตามไปด้วยแต่เป็น เด็กพิการ...คนหนึ่งหูหนวก อีกคนหนึ่งขาเป๋เขายังอุตส่าห์ร่วมเดินทาง ด้วยและทำให้ได้ข้อคิดอันเป็นธรรมะสอนใจอยู่หลายอย่าง คนหนึ่งนั้นขาดี ตาดี แต่หูพิการ อีกคนหูดี ตาดี แต่ขาพิการ เวลา เดินทางคนขาเป๋เดินไปบางครั้งขาข้างที่เป๋ก็ไปเกี่ยวข้างที่ดีทำให้หกล้มหกลุกบ่อยๆ คนที่หูหนวกนั้นเล่า เวลาเราจะพูดด้วยต้องใช้มือใช้ไม้ประกอบแต่พอมันหันหลังให้ก็อย่าเรียกให้เมื่อยปากเลย เพราะเขาไม่ได้ยิน เมื่อมีความพอใจ...ความพิการนั้นไม่เป็นอุปสรรค ขัดขวางในการเดินทาง...ความพิการ แม้ตัวเขาเองก็ไม่ต้องการ พ่อแม่ของเขาก็คงจะไม่ปรารถนาอยากให้ลูกพิการอย่างนั้น แต่ก็หนีกฎของกรรมไม่พ้น จริงดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่าสัตว์ ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตนมีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นแดนเกิดฯลฯ เมื่อพิจารณาความพิการของเด็กที่เป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ยังกลับเอามาสอนตนเองว่า เด็กทั้งสองพิการกายเดินทางได้ จะเข้ารกเข้าป่าก็รู้ แต่เราพิการใจ (ใจมีกิเลส) จะพาเข้ารกเข้าป่าหรือเปล่า...คนพิการกายอย่างเด็กนี้มิได้เป็นพิษเป็นภัยแก่ใคร แต่ถ้าคนพิการใจมากๆ ย่อมสร้างความวุ่นวายยุ่งยากแก่มนุษย์และสัตว์ ให้ได้รับความเดือดร้อนมากทีเดียว

ครั้นวันหนึ่งเดินทางไปถึงป่าใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดนครพนม เป็นเวลาค่ำแล้ว และได้ตกลงจะพักในป่าแห่งนั้น และได้มองไปเห็นทางเก่าซึ่งคนไม่ค่อยใช้เดินเป็นทางผ่านดงใหญ่เป็นลำดับไปถึงภูเขา พลันก็นึกถึงคำสอนของคนโบราณว่า เข้าป่าอย่านอนขวางทางเก่า จึงเกิดความสงสัยอยากจะพิสูจน์ดูว่าทำไมเขาจึงห้าม...จึงตกลงกับท่านเลื่อมให้หลีกจากทางเข้าไปกาง กลดในป่าส่วนหลวงพ่อท่านก็กางกลดตรงทางเก่านั่นแหละ ให้เด็กสองคนอยู่ที่กึ่งกลางระหว่างกลดสองหลัง ครั้นเวลาจำวัตรหลังจากนั่งสมาธิพอสมควรแล้ว ต่างคนต่างก็พัก แต่ท่าน(หลวงพ่อชา) คิดว่า ถ้าเด็กมองมาไม่เห็นใครเขาอาจจะกลัวจึงเลิกผ้ามุ้งขึ้นพาดไว้ที่หลังกลดแล้วก็นอนตะแคงขวางทางอยู่ ใต้กลดนั่นเอง หันหลังไปทางป่าหันหน้ามาทางบ้าน แต่พอกำลังเตรียมตัวกำหนดลมหายใจเพื่อจะหลับ ทันทีนั้นหูก็แว่วได้ยินเสียงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบๆ ซึ่งเป็นอาการก้าวเดินอย่างช้าๆ เป็นจังหวะใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาจนได้ยินเสียงหายใจ และวาระจิตก็บอกตัวเองว่า เสือมาแล้ว จะเป็นสัตว์ อื่นไปไม่ได้ เพราะอาการ ก้าวเดินและเสียงหายใจมันบ่งอยู่ชัดๆ เมื่อรู้ว่าเสือเดินมา...เราก็คิดห่วงชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง และพลันจิตก็สอนตนเองว่า อย่าห่วงชีวิตเลย แม้เสือจะไม่ทำลาย เจ้าก็ต้องตายอยู่แล้ว การตายเพื่อรักษาสัจธรรมย่อมมีความหมายเราพร้อมแล้ว...ที่จะเป็นอาหารของมัน ถ้าหากเราเคยเป็นคู่กรรมคู่เวรกันมาก็จงได้ใช้หนี้กันเสีย แต่ถ้าหากเราไม่เคยเป็นคู่เวรกับมัน มันคงจะไม่ทำอะไรเราได้ พร้อมกับจิตน้อมระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เมื่อเรายอมและพร้อมแล้วที่จะตาย จิตใจก็รู้สึกสบาย ไม่มีกังวล และปรากฏว่าเสียงเดินของมันเงียบไป ได้ยินแต่เสียงหายใจ... กะประมาณอยู่ห่างจากท่าน ๖ เมตร ท่านนอนรอฟังอยู่สักครู่ เข้าใจว่ามันคงจะยืนพิจารณาอยู่ว่า ใครเล่า...มานอนขวางทางข้าฯ แต่แล้วมันคิดอย่างไรไม่ทราบมันจึงหันหลังเดินกลับไป เสียงกรอบแกรบของใบไม้แห้งดังห่างออกไปๆ จนกระทั่งเงียบหายไปในป่า...
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อเล่าว่าเมื่อเราทอดอาลัยในชีวิตวางมันเสีย ไม่เสียดาย ไม่กลัวตาย ก็ทำให้เราเกิดความสบายและเบาใจจริงๆ คืนนั้นก็ผ่านไปจนได้ เวลาตื่นขึ้นบำเพ็ญธรรม หลังจากบิณฑบาตมาฉันแล้วก็ออกเดินทางต่อไป...เพราะท่านได้รู้แล้วว่าทำไมคนโบราณจึงสอนไว้ว่า เข้าป่าอย่านอนขวางทางเก่า

หลวงพ่อและคณะได้ออกเดินทางไปถึงแม่น้ำสงคราม อ.ศรีสงคราม จ.นครพนมจนกระทั่งถึงแม่น้ำโขงข้ามไป นมัสการพระพุทธบาทพลสันติ์ ฝั่งลาว แล้วจึงข้ามกลับมา ย้อนกลับมาทางอำเภอศรีสงคราม

พักอยู่บ้านหนองกาในเวลานั้นบริขาร ไม่สมบูรณ์เนื่องจากห่างหมู่ญาติและขาดผู้มีศรัทธา บาตรที่ใช้อยู่นั้นรู้สึกว่าเล็กและมีรูรั่วหลายแห่ง เกือบใช้ไม่ได้ พระวัดหนองกาจึงถวายบาตรขนาดกลางมีช่องทะลุนิดหน่อย แต่ไม่มีฝาบาตร จะหาฝาที่ไหนก็ไม่ได้ ขณะเดินจงกรมอยู่ก็คิดได้ว่า จะเอาหวายถักเป็นฝาบาตร จึงให้โยมเขาไปหาหวายมาให้ เกิดกังวลในการหา บริขาร คืนวันหนึ่งขณะที่จุดไต้กำลังเอาหวายถักเป็นฝาบาตรอยู่ จนขี้ไต้หยดลงถูกแขนพองขึ้น รู้สึกเจ็บแสบ จึงเกิดความรู้สึก ขึ้นว่า เรามามัวกังวลในบริขารมากเกินไป จึงได้ปล่อยวางไว้ เริ่มทำกรรมฐานต่อไปได้เวลานานพอสมควรจึงหยุดเพื่อจะพักผ่อน แต่พอเคลิ้มไปจึงเกิดสุบินนิมิตว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาเตือนว่า พฺเพอิเมปริกฺขาราปญฺจกฺขนฺธานํ ปริวาราเยว บริขารทั้งปวงเป็นเพียงเครื่องประดับขันธ์ ๕ เท่านั้น พอจบพุทธภาษิตนี้เท่านั้นก็รู้สึกตัวพร้อมทั้งลุกขึ้นนั่ง ทันที เป็นเหตุให้พิจารณาได้ความว่า การไม่รู้จักประมาณในการ บริโภคบริขารมีความกังวลในการจัดหาย่อมเป็นการยุ่งยาก ขาดการปฏิบัติธรรมย่อมไม่ได้รับผลอันตนพึงปรารถนา

พ.ศ. ๒๔๙๑ (พรรษาที่๑๐) ในระยะต้นปีนี้เองหลวงพ่อ จึงย้ายจากบ้านหนองกา เดินทางไปได้ระยะไกลพอสมควร จึงได้ข้อคิดว่า การคลุกคลีอยู่ร่วมกับผู้มีปฏิปทาไม่เสมอกัน ทำให้เกิดความลำบาก จึงได้ตกลงแยกทางกันกับพระเลื่อม ต่างคนต่างไปตามชอบใจ ท่านเลื่อมนำเด็กสองคนนั้นไปส่งบ้านเขา ส่วนหลวงพ่อก็ออกเดินทางไปคนเดียว จนกระทั่งเดินมาถึงวัดร้างในป่าใกล้บ้านข่าน้อย ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอศรีสงคราม นั่นเอง เห็นว่าเป็นที่วิเวกเหมาะแก่การบำเพ็ญธรรมจึงได้พักอยู่ที่วัดร้างนั้น บำเพ็ญเพียรได้เต็มที่มีการสำรวมอย่างดีเพื่อให้เกิดความรู้ มิได้มองหน้าผู้ใส่บาตร และผู้ถวายอาหารเลย เพียงแต่รับทราบว่าเป็นชายหรือหญิงเท่านั้น เดินจงกรมอยู่จนเท้าเกิดบวมเดินต่อไปไม่ได้ จึงพักจากการเดิน ได้แต่นั่งสมาธิอย่างเดียว ใช้ตบะธรรมระงับ อาพาธเป็นเวลา ๓ วัน เท้าจึงหายเจ็บ การเทศน์ก็ดี การรับแขกก็ดี ท่านก็งดไว้เพราะต้องการความสงบ สระยะที่ปฏิบัติอยู่นั้น ทั้งๆ ที่ได้แยกทางกับเพื่อนมาเพราะไม่อยากคลุกคลีแต่ก็เกิดความอยากจะได้เพื่อนที่ดีๆ อีกสักคน จึงเกิดคำถามขึ้นว่า คนดีน่ะ อยู่ที่ไหน? ก็มีคำตอบเกิดขึ้นว่า คนดีอยู่ที่เรานี่แหละ ถ้าเราไม่ดีแล้วเราจะอยู่ที่ไหนกับใครมันก็ไม่ดีทั้งนั้น จึงได้ถือเป็นคติสอนตนเองมาจนกระทั่งทุกวันนี้... เมื่ออยู่ที่นั่นได้ครบ ๑๕ วันแล้วจึงออกเดินทางต่อไปผ่านบ้านข่าใหญ่มาถึงกลางป่า พักผ่อนอยู่เกิดกระหายน้ำมาก บ่อน้ำก็ไม่มี จึงเดินต่อไป พอจวนจะถึงแอ่งน้ำที่แห้งแล้ง เกิดฝนตกลงมาอย่างแรง น้ำฝนปนดินไหลลงรวมในแอ่ง ด้วยความกระหายจึงล้วงเอาหม้อกรองน้ำเดินลงไป เอาหม้อกรองจุ่มลงไปในน้ำ แต่เพราะน้ำขุ่นมากจึงไม่ไหลเข้าในหม้อกรองเลยไม่ได้ฉันน้ำจึงอดทนต่อความกระหายเดินทาง ต่อไป...
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้หมดความโกรธ

เมื่อหลวงพ่อเดินทางมาจนกระทั่งถึงวัดป่าซึ่งตั้งอยู่ในเขต ป่าช้า (เป็นที่พักสงฆ์) อยู่ในเขตจังหวัดนครพนม เป็นเวลาจวนจะเข้าพรรษาอยู่แล้วหลวงพ่อจึงขอพักกับหัวหน้าสงฆ์ มีนามว่า หลวงตาปุ้ม ได้สนทนาธรรมกันนานพอสมควร ได้ยินหลวงตา รูปนั้นพูดว่า ท่านหมดความโกรธแล้ว จึงเป็นเหตุให้หลวงพ่อนึกแปลกใจ เพราะคำพูดเช่นนี้ท่านไม่เคยได้ยินใครพูดมาก่อน จึงคิดว่าพระองค์นี้จะดีแต่พูด หรือว่าดีเหมือนพูด เราจะต้องพิสูจน์ให้รู้ จึงตัดสินใจขออยู่เพื่อการศึกษาธรรมะ แต่เนื่องจากหลวงพ่อไปรูปเดียว ทั้งอัฏฐบริขารก็เก่าเต็มที เขาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเพราะไม่มีใครรับรอง ถึงแม้จะขอจำพรรษาอยู่ด้วย ท่านเหล่านั้นก็ไม่ยอมเลยตกลงกันว่า จะให้ไปอยู่ที่ป่าช้าคนจีนซึ่งอยู่นอกเขตวัดไม่ไกลนัก หลวงพ่อก็ยินดีจะไปอยู่ที่นั่นแต่พอถึงวันเข้า พรรษาหลวงตาปุ้มและคณะจึงอนุญาตให้จำพรรษาในวัดได้

ตอนหลังๆ ได้ทราบว่าหลวงตาปุ้มเกิดความลังเลใจ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้จำพรรษาอยู่นอกวัดหรือในวัด จึงไปปรึกษาท่านอาจารย์บุญมา ได้ทราบว่าอาจารย์บุญมาได้แนะว่า พระที่มีอายุพรรษามาก มารูปเดียวอย่างนี้จะให้จำพรรษานอกวัดดูจะ ไม่เหมาะ บางทีท่านอาจจะมีดีของท่านอยู่ ควรให้จำพรรษาในวัดนั่นแหละ

ดังนั้นหลวงตาปุ้มและคณะจึงอนุญาตให้อยู่จำพรรษา ในวัดได้ แต่ต้องทำตามข้อกติกาดังนี้

๑.ไม่ให้รับประเคนของจากโยม เป็นแต่เพียงคอยรับจากพระรูปอื่นที่ส่งให้

๒.ไม่ให้ร่วมสังฆกรรม (อุโบสถ) เป็นแต่เพียงให้บอกบริสุทธิ์

๓.เวลาเข้าที่ฉันให้นั่งท้ายแถวของพระต่อกับสามเณร
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อยินดีทำตามทุกอย่าง แม้ท่านจะมีพรรษาได้ ๑๐ พรรษาก็ตาม ท่านกลับภูมิใจและเตือนตนเองว่า จะนั่งหัวแถวหรือหางแถวก็ไม่แปลก เหมือนเพชรนิลจินดา จะวางไว้ที่ไหนก็มีราคาเท่าเดิม และจะได้เป็นการลดทิฏฐิมานะให้น้อยลงด้วย เมื่อปลงตกเสียอย่างนี้ จึงอยู่ได้ด้วยความสงบสุข หลวงพ่อเล่าว่าเมื่อเราเป็นคนพูดน้อย คอยฟัง คนอื่นเขาพูดแล้วนำมาพิจารณาดู ไม่แสดงอาการที่ไม่เหมาะ ไม่ควร คอยสังเกตจริยาวัตรของท่านเหล่านั้นย่อมทำให้ได้ บทเรียนหลายๆอย่าง ภิกษุสามเณรเหล่านั้นก็คอยสังเกตความบกพร่องของหลวงพ่ออยู่ เขายังไม่ไว้ใจ เพราะเพิ่งมาอยู่ร่วมกันเป็นพรรษาแรก

เมื่อการอยู่จำพรรษาได้ผ่านไปประมาณครึ่งเดือน ทั้งๆ ที่ท่านทราบว่า ภิกษุสามเณรยังระแวงสงสัยในตัวท่านอยู่ แต่หลวงพ่อก็วางเฉยเสีย มุ่งหน้าต่อการปฏิบัติธรรม ท่านนึกเสียว่าเขาช่วยระวังรักษาความบกพร่องให้เรานั้นดีแล้ว เปรียบเหมือนมีคนมาช่วยรักษาความสกปรกมิให้แปดเปื้อนจึงเป็นการดีเสียอีก...

ตามปกติหลังจากฉันเช้าเสร็จแล้ว ท่านนำบริขารกลับกุฏิ เมื่อเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อมักจะหลบไปพักเพื่อพิจารณาค้นหาธรรมในเขตป่าช้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัด ตรงกลางป่าช้าเขาปลูกศาลาเล็กไว้หลังหนึ่ง เมื่อมองจากศาลาย่อมมองเห็นหลุมฝังศพและฝังเถ้าถ่านกระดูกของเพื่อนมนุษย์เป็นหย่อมๆ ทำให้นึกถึงข้อธรรมะที่เคยพิจารณาว่า อธุวัง เม ชีวิตัง ชีวิตของเราไม่ยั่งยืน, ธุวัง เมสมรณัง ความตายของเรายั่งยืน,สอนิยะตัง เม ชีวิตัง ชีวิตของเราไม่เที่ยง, นิยะตัง เมสมะระณัง ความตายของเราเที่ยง, สักวันหนึ่งเราก็จะต้องทับถมดินเหมือนคนเหล่านั้น เราเกิดมาเพื่อถมดินให้สูงขึ้นหรือ? หรือเกิดมาทำไม...
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อยู่ต่อมาวันหนึ่ง ขณะที่หลวงพ่อกำลังพิจารณาธรรมชาติของต้นไม้ใบไม้ เถาวัลย์ต่างๆ อยู่ที่ศาลาเล็กกำลังสบายอารมณ์ มีกาตัวหนึ่งบินมาจับกิ่งไม้ใกล้ๆศาลา ส่งเสียงร้อง กา...กา... ท่านไม่สนใจเพราะนึกว่าคงร้องไปตามประสาสัตว์ แต่ที่ไหนได้ พอมันรู้ว่าเราไม่สนใจมันจึงลื่นลงมาจับที่พื้นตรงหน้าเรา ห่างกันเพียงประมาณ ๒ เมตร ปากมันคาบหญ้าแห้งคาบแล้ววางๆ พลางร้องว่ากวาวๆ...เหมือนมันจะยื่นหญ้าแห้งให้พอเราสนใจมองดู และรับทราบในใจว่า อื้อ...เจ้ามาบอกอะไรเล่า...กาก็บินหนีไป อยู่ต่อมาประมาณ ๓ วันมีเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๑๓-๑๔ ปี ป่วยเป็นไข้และตายไป เขาจึงนำมาเผาในป่าช้าไม่ไกลจากศาลา และหลังจากเขาสวดมนต์ทำบุญแล้วได้ ๓-๔ วัน ขณะที่หลวงพ่อกำลังนั่งพิจารณาธรรมอยู่ก็มีกาบินมาจับกิ่งไม้ข้างศาลาอีก เมื่อเราไม่สนใจมันก็บินลงมาจับดินและแสดงอาการเหมือนครั้งแรก พอหลวงพ่อมองดูมันและรับทราบ กาตัวนั้นก็บินหนีไป...อยู่ต่อมาอีกประมาณ ๓ วัน พี่ชายของเด็กที่ตายไปแล้วนั้น ซึ่งมีอายุประมาณ ๑๕-๑๖ ปีเกิดป่วยเป็นไข้กะทันหันและก็ตายอีกพวกญาตินำมา เผาในป่าช้านั้นอีก หลังจากทำบุญตักบาตรแล้วประมาณ ๓-๔ วัน ขณะที่หลวงพ่อนั่งพักอยู่ในศาลากลางป่าช้า ก็มีกาบินมาเกาะ กิ่งไม้ ส่งเสียงร้องเหมือนเก่า เมื่อไม่สนใจมันก็บินลงมาจับพื้น คาบหญ้าแห้งเหมือนจะยื่นให้ คาบวางๆพอรับทราบว่า อะไร กันเล่าจะมาบอกอะไรอีก...กาตัวนั้นก็บินหนีไป หลวงพ่อจึงคิดว่า ๒ ครั้งก่อนมันทำอย่างนี้มีคนตาย ๒ คน แต่คราวนี้มันมาทำอีก ทำไมจะมีคนตายอีกหรือ อยู่ต่อมาอีก ๓-๔ วัน พี่สาวของเด็กพวกนั้นซึ่งมีอายุประมาณ ๑๘-๑๙ ปี ป่วยเป็นไข้และก็ได้ตาย ลงอีกและได้นำมาเผาที่ป่าช้านั้นอีก ความทุกข์เป็นอันมากดูเหมือน จะมารวมแผดเผาพ่อแม่และญาติของเด็กพวกนั้นให้เกรียมไหม้ร้องไห้จนแทบจะไม่มีน้ำตาออกชั่วระยะ
เพียงครึ่งเดือนเขาต้อง สูญเสียลูกไปตั้ง ๓ คน หลวงพ่อได้มาเห็นภาพของคนเหล่านั้นผู้ได้รับความทุกข์โศก ยิ่งทำให้เกิดธรรมะเตือนตนมิให้ประมาท ในการทำความเพียร ความทุกข์ความโศกย่อมเกิดจากของที่เรารักเราหวงแหน ซึ่งเป็นความจริงที่พระพุทธองค์ตรัสไว้นานแล้วและเป็นความจริงเสมอไป อาศัยศาลากลางป่าช้าและหลุมฝังศพเป็นที่มาแห่งธรรมะสอนใจมิให้ประมาทเป็นอย่างดี...

ในพรรษาที่อยู่วัดป่าแห่งนี้ จิตใจรู้สึกมีความหนักแน่นและเข้มแข็งพอสมควร การทำความเพียรก็เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ และการเคารพต่อกฎกติกาที่ตั้งไว้ก็มิได้บกพร่องมีความสำรวม สระวังอยู่มิได้ประมาท พระพุทธองค์ตรัสว่า ศีลจะรู้ได้เพราะ อยู่ร่วมกันนานๆ ดังนั้นของสิ่งใดที่เห็นว่าไม่ถูกต้องตามพระวินัย หรือรับประเคนแต่ไม่ได้องค์แห่งการประเคน หลวงพ่อก็ไม่ฉัน จะพิจารณาฉันเฉพาะสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องตามพระวินัยเท่านั้น
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในพรรษานั้นหลวงพ่อทำความเพียรหนักยิ่งขึ้น แม้ฝน จะตกก็ยังเดินจงกรมอยู่ เพื่อค้นหาทางพ้นทุกข์มีเวลาจำวัดน้อย ที่สุด วันหนึ่งเกิดสุบินนิมิตว่า ได้ออกไปในที่แห่งหนึ่ง ไปพบคนแก่และป่วย ร้องครวญครางมีคนพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่ง หลวงพ่อพิจารณาดูแล้วก็เดินผ่านไป จึงไปพบคนเจ็บหนักจวนจะตาย มีร่างกายซูบผอม จะหายใจแต่ละครั้งทำให้มองเห็นกระดูกซี่โครงไล่กันเป็นแถวๆ ทำให้เกิดความสังเวชจึงเดินเลยไป จึงไปพบ คนตายนอนหงายอ้าปากยิ่งทำให้เกิดความลดใจมาก เมื่อ รู้สึกตัวก็ยังจำภาพในฝันนั้นได้ดีอยู่ จึงคิดหาทางพ้นทุกข์ รู้สึกเบื่อหน่ายต่อชีวิตคิดอยากจะปลีกตัวขึ้นไปอยู่บนยอดเขาประมาณ ๗ วัน ๑๕ วัน จึงจะลงมาบิณฑบาต แต่มีปัญหาเรื่องน้ำดื่มจะต้อง ดื่มทุกวัน จึงนึกถึงกบในฤดูแล้งมันอยู่ในรูอาศัยน้ำเยี่ยวมันเองมันก็มีชีวิตอยู่ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงตกลงจะฉันน้ำปัสสาวะของ ตัวเอง จึงทำการทดลองดูก่อน วันนั้นหลังจากฉันอาหารแล้ว จึง ดื่มน้ำบริสุทธิ์จนอิ่ม อยู่ได้ประมาณ ๓ ชั่วโมง รู้สึกปวดปัสสาวะเวลาปัสสาวะออกมาจึงเอาแก้วมารอง ไว้เสร็จแล้วจึงเทหน้าฝาออก นิดหนึ่ง จึงยกขึ้นดื่มรู้สึกว่ามีรส เค็ม ทีนี้อยู่ได้ประมาณ ๒ ชั่วโมง ก็ปวดปัสสาวะอีก เวลาปัสสาวะออกก็เอาแก้วมารองเสร็จแล้วก็ดื่มเข้าไปอีก คราวนี้อยู่ได้ประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็ปวดปัสสาวะอีก เวลาถ่ายปัสสาวะก็เอาแก้วมารองไว้เสร็จแล้วก็ดื่มเข้าไปอีก ได้ประมาณ ๒๐ นาทีก็ปวดปัสสาวะ และก็ทำอย่างเก่า ดื่มเข้าไปอีก คราวนี้อยู่ได้ ๑๕ นาทีก็ปวดอีกถ่ายออกมาแล้วดื่มเข้าไปอีกและอยู่ได้ประมาณ ๕ นาที ปวดปัสสาวะ และถ่ายออกมาหาอะไรรองแล้วดื่มเข้าไปคราวนี้กะว่าพอตกถึงกระเพาะก็ไหลออกเป็นปัสสาวะ เลยมีสีขาวๆ จึงได้เกิดความรู้สึกว่า น้ำปัสสาวะเป็นเศษของน้ำแล้ว จะอาศัยดื่มอีกไม่ได้ จึงทอดอาลัยในการที่จะหาน้ำดื่มเช่นวิธีนั้น

นอกจากนั้นยังหัดปลงผมด้วยตนเอง เลยเป็นนิสัยมาจนทุกวันนี้ และเป็นแบบอย่างให้ศิษย์ทั้งหลายได้ทำตาม เมื่อคิดว่าไม่อาจไปอยู่บนยอดเขาได้ก็คิดหาวิธีใหม่ โดยทำการอดอาหารคือ ฉันวันเว้นวันลับกันไป ทำอยู่ประมาณ ๑๕ วัน และในระหว่างนี้ทำให้ร่างกายร้อนผิดปกติเหมือนถูกไฟเผามีอาการทุรนทุรายแทบจะทนไม่ไหว จิตใจก็ไม่สงบ จึงนึกได้ว่า มิใช่ทาง...ทำให้ นึกถึง อปัณณกปฏิปทา คือ ข้อปฏิบัติไม่ผิด ได้แก่ โภชะเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการฉันอาหารพอสมควร ไม่มาก ไม่น้อย สำรวม อินทรีย์ตื่นขึ้นทำความเพียรไม่เกียจคร้าน และเมื่อนึกได้ จึงหยุดวิธีทรมานนั้นเสีย กลับฉันอาหารเป็นปกติวันละครั้งดั่งเดิมบำเพ็ญสมณธรรมได้จิตใจก็

สงบดีเวลาเข้าสมาธิ สามารถถอดรูปร่างโดยมองเห็นรูปร่างของตนอีกร่างหนึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าด้วยความชัดเจน มิได้ง่วงนอนปราศจากนิวรณ์ทุกอย่าง รู้สึกว่าการปฏิบัติก็สะดวกดีจิตใจสงบเย็น...เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงตาปุ้มชวนข้ามไปตั้งสำนักกรรมฐานอยู่ทางฝั่งประเทศลาว หลวงพ่อไม่เห็นดีด้วย จึงไม่ยอมไป พอจวนจะสิ้นปีหลวงตาจึง พาลูกวัดย้ายหนีไปจากวัดนั้นได้ประมาณ ๗ วัน หลวงพ่อก็ได้ย้ายจากที่นั่นไปเช่นกัน
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พ.ศ.๒๔๙๒ (พรรษาท ี่๑๑) เมื่อออกจากวัดป่าอำเภอศรีสงครามแล้ว หลวงพ่อก็เดินทาง ขึ้นสู่ภูลังกาซึ่งอยู่ในเขต อ.บ้านแพงจ.นครพนมได้ไปพักสนทนาธรรมกับอาจารย์วัน เป็นเวลา ๓ วัน จึงได้เดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ นานพอสมควรจึงได้ลงจากภูลังกามากราบท่านอาจารย์กินรี วัดป่าหนองฮี อีกทีหนึ่ง ท่านอาจารย์กินรีได้เตือนติว่า ท่านชา...เอาล่ะการเที่ยวธุดงค์ก็พอสมควรแล้ว ควรจะหาที่อยู่เป็นหลักแหล่งที่ราบๆ หลวงพ่อจึงเรียนท่านว่า กระผมจะกลับบ้าน ท่านอาจารย์กินรีจึงพูดว่า จะกลับบ้าน คิดถึงใคร ถ้าคิดถึงผู้ใด ผู้นั้นจะให้โทษแก่เรานะ หลวงพ่อชาจึงได้กราบลาท่านอาจารย์กินรีเดินทางต่อมาเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งได้มาถึงบ้านป่าตาว ต.คำเตย อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร (แต่สมัยนั้นขึ้นกับ จ.อุบลฯ) ได้พักอยู่ที่ป่าไม่ไกลจากบ้านเท่าใดนัก ได้มีโอกาส เทศน์สั่งสอนประชาชนแนะแนวทางแห่งการปฏิบัติธรรมแก่คนในถิ่นนั้นจนเกิดความเลื่อมใสพอสมควร และได้พักอยู่เป็นเวลา ๒ เดือน จึงได้ลาญาติโยมเดินทางลงมาทางใต้ก่อนจะจากมาโยมได้มอบเด็กคนหนึ่งเป็นศิษย์ เมื่อเดินทางมาอำเภอวารินฯ แล้วหลวงพ่อจึงให้เด็กชายทองดีผู้เป็นศิษย์ บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดวารินทราราม เมื่อหลวงพ่อเดินทางมาถึงบ้านเกิดแล้ว จึงได้ไปพักอยู่ที่ป่าช้าบ้านก่อ เป็นเวลา ๗ วัน มีโอกาส ได้เทศน์ให้ญาติโยมฟังพอรู้แนวทางบ้างเป็นบางคนแล้ว หลวงพ่อจึงได้ออกเดินทางไป อ. กันทรลักษ์ จ. ศรีสะเกษและได้ พักอยู่ในป่าใกล้บ้านสวนกล้วยและในพรรษาที่ ๑๑ นี้ก็ได้จำพรรษา อยู่ที่บ้านสวนกล้วย (ปัจจุบันสถานที่นั้นเขาสร้างเป็นวัดแล้ว) และในพรรษานี้ได้เกิดเหตุการณ์อันเป็นบุรพนิมิตดังต่อไปนี้...

๑.คืนวันหนึ่งเมื่อหลวงพ่อเดินจงกรม นั่งสมาธิเป็นเวลา พอสมควรแล้วจึงพักผ่อนจำวัด ได้เกิดสุบินนิมิตไปว่า... มีคนเอาไข่มาถวายหนึ่งฟอง พอหลวงพ่อรับแล้วจึงโยนไปข้างหน้า ไข่ฟองนั้นแตกเกิดเป็นลูกไก่สองตัววิ่งเข้ามาหาจึงยื่นมือทั้งสอง ออกไปรับข้างละตัว พอถูกมือก็กลายเป็นเด็กชายสองคน พร้อมกับได้ยินเสียงบอกว่า คนอยู่ทางขวามือชื่อ บุญธรรม คนที่อยู่ทางซ้ายมือชื่อ บุญธง ปรากฏว่าหลวงพ่อได้เลี้ยงเด็กสองคนนั้นไว้กำลังเติบโตน่ารักวิ่งเล่นได้แล้ว ต่อมาเด็กชายบุญธงป่วยเป็นโรคบิด อย่างแรงพยายามรักษาจนสุดความสามารถ แต่ก็ไม่หายจนกระทั่ง เด็กนั้นได้ตายอยู่ในมือ และได้ยินเสียงบอกว่าบุญธงตายแล้ว เหลือแต่บุญธรรมคนเดียว จึงรู้สึกตัวตื่นขึ้น จึงเกิดคำถามว่า นี่คืออะไร? มีคำตอบปรากฏขึ้นว่า นี่คือสภาวธรรมที่เป็นเอง จึงได้หายความสงสัย
20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๒.ในคืนต่อมาก็มีอาการอย่างเดียวกัน พอเคลิ้มจะหลับไปก็เกิดสุบินว่า หลวงพ่อชาได้ตั้งครรภ์ รู้สึกว่าไปมาลำบากเหมือน คนมีครรภ์จริงๆแต่ก็มีความรู้สึกในสุบินนั้นว่าตัวเองก็ยังเป็นพระอยู่ เมื่อครรภ์แก่เต็มที่ครรภ์จะคลอดจึงมีคนมานิมนต์ไปบิณฑบาต พอไปถึงที่ที่เขานิมนต์มองไปรอบๆ บริเวณเห็นลำธาร กระท่อมไม้ไผ่ขัดแตะกลางทุ่งนาและเห็นพระอยู่บนเรือน ๓ รูป ไม่ทราบว่ามาจากไหน...โยมเขาพากันถวายอาหารบิณฑบาตพระ ๓ รูปนั้น ฉันอยู่ข้างบนแต่หลวงพ่อชาปรากฏว่าท้องแก่จวนจะคลอดเขาจึงให้ฉันอยู่ข้างล่างพอพวกพระฉันจังหัน
ท่านหลวงพ่อชาก็คลอดเด็กพอดีและเป็นเด็กชาย มีขนนุ่มนิ่มบนฝ่ามือและฝ่าเท้า มีอาการ ยิ้มแย้มแจ่มใส ท้องปรากฏว่าแฟบลง นึกว่าตัวเองคลอดจริงๆ จึง เอามือคลำดูแต่ก็ไม่มีสิ่งเปรอะเปื้อนใดๆ ทำให้นึกถึงพระพุทธองค์ ที่ทรงประสูติจากครรภ์พระมารดา คงจะไม่เปรอะเปื้อนมลทินใดๆ เช่นกัน และเวลาฉันจังหันพวกโยมพิจารณากันว่า ท่านคลอดบุตรใหม่จะเอาอะไรให้ฉัน เขาจึงเอาปลาหมอปิ้ง ๓ ตัวให้ฉัน รู้สึกว่าเหนื่อยอ่อนไม่อยากฉัน แต่ก็อดใจฉันไปเพื่อฉลองศรัทธา เขา เพราะมันไม่มีรส ชาติอะไร ก่อนจะฉันจึงส่งเด็กให้โยมอุ้มไว้ พอฉันเสร็จเขาจึงส่งเด็กคืนมาให้ พอถึงมือรับไว้เด็กพลัดตกหล่นจากมือแล้วจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้น เกิดคำถามว่า นี่คืออะไร? มีคำตอบว่า นี่คือภาวะที่เป็นเองทั้งนั้น เลยหมดความสงสัย

๓.คืนที่สามต่อมาก็อยู่ในอาการดังกล่าวนั่นแหละพอพักผ่อนเคลิ้มหลับไปก็เกิดสุบิน ว่าได้รับนิมนต์ให้ขึ้นไปยอดเขากับ สามเณรรูปหนึ่ง ทางขึ้นเขานั้นเป็นทางเวียนขึ้นไปเหมือนก้นหอย วันนั้นเป็นวันเพ็ญ และภูเขาก็สูงมากพอขึ้นไปถึงแล้วรู้สึกว่าเป็นที่ร่มรื่นดีมีม่านปูพื้นและกั้น
เพดานสวยงามมากจน
หาที่เปรียบไม่ได้ แต่เวลาจะฉันเขาก็นิมนต์ลงมาที่ถ้ำข้างภูเขามีโยมแม่
(แม่พิมโยมมารดา) และน้ามีพร้อมญาติโยมเป็นบริวารจำนวนมากไปถวาย อาหาร อาหารที่ถวายนั้นโยมแม่ได้แตงและผลไม้อื่นๆ ส่วนน้ามีได้ไก่ย่าง เป็ดย่างมาถวาย หลวงพ่อจึงทักขึ้นว่า โยมมีอยู่เห็นจะมีความสุขนะ ได้ไก่ย่างเป็ดย่างมาถวายพระ โยมมีก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้วได้เทศน์ให้เขาฟังนานพอสมควร เมื่อเทศน์จบจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้น

พ.ศ.๒๔๙๓ (พรรษาที่๑๒) ในระหว่างต้นปีได้รับจดหมายจากพระมหาบุญมี ซึ่งเคยเป็นเพื่อนปฏิบัติมาด้วยกัน แจ้งข่าวเรื่องการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญธนบุรี จึงได้เดินทางลงไป และได้พักอยู่กับพระมหาบุญมีที่วัดปากน้ำ ๗ วันได้มีโอกาส นมัสการหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้สังเกตและพิจารณา ดูแล้วเห็นว่าเป็นไปเพื่อรักษาโรคภัยบางอย่าง ยังไม่ถูกนิสัย จึงได้เดินทางออกไปพักอยู่ที่วัดใหญ่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้ปฏิบัติธรรมอยู่ร่วมกับพระอาจารย์ฉลวย และหลวงตาแปลก และที่บริเวณใกล้ๆวัดมีสถานที่ลำธารและกระท่อมไม้ไผ่และสิ่งอื่นๆ เหมือนดังภาพที่ปรากฏในคราวฝันเห็นอยู่ที่บ้านสวนกล้วยจริงๆ ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนั้น ๒ พรรษา การปฏิบัติธรรมร่วมกันนั้นเป็นไปโดยความสะดวกและสามัคคีเป็นอย่างดี
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้