ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม ~

[คัดลอกลิงก์]
81#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 18:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มาบัดนี้จึงได้เริ่มสร้างวัดอโศการาม เพื่อให้เป็นหลักแหล่งของกุลบุตรกุลธิดาสืบต่อไป ในระหว่างอยู่วัดอโศการาม เดือนธันวาคม ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในนาม “พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์” จึงได้ตั้งใจอยู่จำพรรษาในวัดนี้เรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ มาถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๒

ในพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๒ รู้สึกว่าอาการป่วยมารบกวน เริ่มป่วยตั้งแต่กลางพรรษา มานึกถึงการเจ็บป่วยของตัว บางวันบางเวลาก็เกิดความท้อถอยในการที่จะมีชีวิตอยู่คือไป บางวันก็รู้สึกว่าจิตใจขาดกระเด็นไปจากศิษย์ มุ่งไปแต่ลำพังตนคนเดียว มองเห็นที่วิเวกสงัดว่าเป็นบรมสุขอย่างเลิศในทางธรรมะ บางวัน บางเวลา อาการป่วยทุเลา บางวันก็ป่วยตลอดคืนแต่พอทนได้ มีอาการปวดเสียดในกระเพาะ มีอาการจับไข้วันหนึ่งเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง ฉะนั้นเมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้มาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า

ครั้งแรกได้มารักษาอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ จนถึงวันที่ ๕ เดือนเดียวกันก็กลับไปวัด เมื่อกลับไปวัดแล้ว อาการอาพาธชักกำเริบ พอถึงวันอังคารที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ก็ได้กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าอีกครั้งหนึ่ง อาการป่วยก็ค่อยทุเลาเบาบาง

อยู่มาวันหนึ่งมานอนนึกอยู่คนเดียวว่า เราเกิดมาก็ต้องการให้เป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่น แม้เราจะเกิดอยู่ในโลกที่มีการเจ็บป่วย ก็มุ่งทำประโยชน์ให้แก่โลกและพระศาสนาตลอดชาติ ทีนี้เราเจ็บป่วยเราก็อยากได้ประโยชน์อันเกิดจากการเจ็บป่วยในส่วนตนและคนอื่น ฉะนั้น จึงได้เขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งมีใจความดังต่อไปนี้คือ

ห้องพิเศษ โรงพยาบาลบุคคโล ทหารเรือ
(โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า)

เรื่องอาหารของท่านพ่อนั้น ใครๆ อย่าได้ห่วงอาลัย ทางโรงพยาบาลมีทุกอย่างว่าจะต้องการอะไร ฉะนั้น ถ้าใครๆ หวังดีมีศรัทธาแล้ว ให้คิดค่ารถที่นำไปนั้นเสีย คิดค่าอาหารที่พวกเราจ่ายไปนั้นเสีย เอาเงินจำนวนนั้นๆ ไปทำบุญในทางอื่นจะดีกว่า เช่น หลวงพ่อใช้ยาของโรงพยาบาลไปเท่าไร เหลือจากท่านพ่อแล้วยังเป็นประโยชน์กับคนอื่นที่อนาถาต่อไป ให้พากันคิดเช่นนั้นจะดีกว่ากระมัง และตึกที่ท่านพ่อพักอยู่นั้นเป็นตึกพิเศษ ยังมิได้เปิดรับคนป่วยเลย นายแพทย์ก็ให้เกียรติท่านพ่อเต็มที่ แม้มูลค่าบำรุง ๑ สตางค์ ไม่เคยพูดกันสักคำ

ฉะนั้น ผู้ใดหวังดีแก่ท่านพ่อ ควรนำไปคิดดูก็แล้วกัน ในที่สุดนี้ท่านพ่อจะสร้างเตียงไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย ใครมีศรัทธาติดต่อท่านพ่อได้ หรือผู้อำนวยการและผู้ช่วยอำนวยการที่โรงพยาบาลบุคคโล ทหารเรือ

(ลงนาม) พระอาจารย์ลี


(หมายเหตุ โรงพยาบาลบุคคโล ทหารเรือ ได้รับอนุญาตจากกระทรวงกลาโหมให้เปลี่ยนชื่อใหม่ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ เป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า หลังท่านพ่อเข้ามาพักรักษาตัว ๑ วัน ทั้งๆ ที่ทางโรงพยาบาลได้ขอเปลี่ยนชื่อนี้ไปเป็นเวลานานแล้ว)
82#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 19:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อได้เขียนหนังสือดังกล่าว ได้นึกอยู่ในใจว่า อย่างน้อยควรได้มูลค่าปัจจัยในการช่วยเหลือโรงพยาบาลครั้งนี้จำนวน ๓ หมื่นบาท จึงได้ออกประกาศแจ้งความจำนงแก่บรรดาสานุศิษย์ ต่างคนต่างมีศรัทธาบริจาคร่วมกันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ มีคนจังหวัดสมุทรปราการ มาเล่าให้ฟังที่โรงพยาบาล มีใจความ ๒ อย่างคือ

(๑) ได้เกิดมีรถยนต์ชนกัน มีคนตายอีกแถวโค้งมรณะบางปิ้ง
(๒) บางคนก็ว่ามีผีคอยหลอก แสดงให้ปรากฏต่างๆ นานา

เมื่อได้ทราบดังนี้ จึงได้คิดดำริทำบุญอุทิศกุศลให้คนตายด้วยอุปัทวเหตุทางรถยนต์บนถนนสายนี้ จึงได้ไปปรึกษาปลัดจังหวัดสมุทรปราการ และคณะศิษย์ ก็ตกลงกันว่าต้องทำบุญ ได้กำหนดการทำบุญกันขึ้น โดยเริ่มงานตั้งแต่วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๐๒ มีการสวดมนต์เย็นที่ปะรำข้างถนนสุขุมวิท ใกล้ที่ทำงานของตอนการทางสมุทรปราการ จัดการผ้าป่า ๕๐ กอง มีคณะศิษย์ไปร่วมอนุโมทนา คราวนี้ได้เงินสมทบทุนช่วยโรงพยาบาลจังหวัดสมุทรปราการทั้งสิ้น ๑๒,๖๐๐ บาทถ้วน (หนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยบาทถ้วน)

วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๐๒ ได้ถวายอาหารพระ ๕๐ รูป ทอดผ้าป่า ๕๐ กองเปลี่ยนชื่อโค้งใหม่ดังนี้

๑. ที่เรียกว่าโค้งโพธิ์แต่เดิมนั้น ให้ชื่อใหม่ว่า “โค้งโพธิ์สัตว์”
๒. ที่เรียกว่าโค้งมรณะแต่เดิมนั้น ให้ชื่อใหม่ว่า “โค้งปลอดภัย”
๓. ที่เรียกว่าโค้งมิได้แต่เดิมนั้น ให้ชื่อใหม่ว่า “โค้งชัยมงคล”

เมื่อสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้กลับมาโรงพยาบาลเมื่อตอนบ่ายของวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๐๒ ก็ได้พักรักษาตัวอยู่เป็นเวลาหลายวัน นายแพทย์และจ่าพยาบาลได้เอาใจใส่ศึกษาและให้ความสะดวกเป็นอย่างดี เช่น พลเรือจัตวาสนิท โปษกฤษณะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ได้เอาใจใส่มาก ทุกวันเวลาเช้ามืดได้นำอาหารมาถวายเป็นนิจ คอยปฏิบัติดูแลเหมือนกับลูกศิษย์


ครูบาศรีวิชัย
83#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 19:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เขียนหนังสือชื่อ “คู่มือบรรเทาทุกข์”

ในระหว่างนี้ก็ได้คิดเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่ง ชื่อว่า “คู่มือบรรเทาทุกข์” เพื่อแจกเป็นธรรมทาน ในการสร้างหนังสือนี้เราก็ไม่ได้รับความลำบาก มีลูกศิษย์รับจัดพิมพ์ช่วย ๒,๐๐๐ เล่ม คือ คุณนายละมัย อำนวยสงคราม ๑,๐๐๐ เล่ม และ ร.ท.อยุธ บุณยฤทธิรักษา ๑,๐๐๐ เล่ม รู้สึกว่าการคิดนึกของตนก็ได้เป็นไปตามสมควร เช่น ต้องการเงินบำรุงโรงพยาบาล มาถึงวันที่ได้ออกจากโรงพยาบาล คือ วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๓ รวมเวลาอยู่ในโรงพยาบาล ๔๕ วัน ก็มียอดเงินประมาณ ๓๑,๕๓๕ บาท แสดงว่าเราเจ็บเราก็ได้ทำประโยชน์ แม้จะตายไปจากโลกนี้ก็ยังคิดอยู่ว่าซากกเฬวรากที่เหลืออยู่ ก็อยากให้เกิดประโยชน์แก่คนที่ยังมีชีวิตอยู่

ตัวอย่างที่เคยเห็นมา เช่น ครูบาศรีวิชัย ซึ่งชาวเมืองเหนือเคารพนับถือมาก ท่านได้ดำริสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิง แต่ยังไม่สำเร็จก็ตายเสียก่อน ต่อจากนั้นได้มีคนเอาศพของท่านไปตั้งไว้ใกล้ๆ สะพาน ถ้าลูกศิษย์หรือพุทธบริษัทอื่นๆ ต้องการจะช่วยทำการฌาปนกิจศพท่าน ก็ขอให้ช่วยกันสร้างสะพานให้สำเร็จเสียก่อน ในที่สุดครูบาศรีวิชัยก็นอนเน่าทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนได้

ฉะนั้น ชีวิตความเป็นมาของตน ก็ได้คิดมุ่งอยู่อย่างนี้เรื่อยมา นับตั้งแต่ได้ออกปฏิบัติในทางวิปัสสนากรรมฐานมาแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๒ นี้ได้อบรมสั่งสอนหมู่คณะสานุศิษย์ในจังหวัดต่างๆ ได้สร้างสำนึกให้ความสะดวกแก่พุทธบริษัท เช่น จังหวัดจันทบุรี มี ๑๑ สำนัก การสร้างสำนักนี้มีอยู่ ๒ ทาง คือ

๑. เมื่อลูกศิษย์ได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ยังไม่สมบูรณ์ก็ช่วยเป็นกำลังสนับสนุน

๒. เมื่อเพื่อนฝูงได้ดำริสร้างขึ้นยังไม่สำเร็จ บางแห่งก็ขาดพระ ก็ได้ส่งพระที่เป็นศิษย์ไปอยู่ประจำต่อไปก็มี บางสำนักครูบาอาจารย์ได้ไปผ่านและสร้างขึ้นไว้แต่กาลก่อน ก็ได้เดินทางไปเยี่ยมและอบรมหมู่คณะเรื่อยมาจนบัดนี้ จังหวัดจันทบุรีมีสำนักปฏิบัติ ๑๑ แห่ง นครราชสีมามี ๒-๓ แห่ง ศรีสะเกษมี ๑ แห่ง สุรินทร์ก็มี เป็นเพื่อนกรรมฐานทั้งนั้น อุบลราชธานี มีหลายแห่ง นครพนม สกลนคร อุดรธานี ขอนแก่น เลย ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ ปราจีนบุรี ระยอง ตราด ลพบุรี ชัยนาท ตาก นครสวรรค์ พิษณุโลก เป็นวันที่ผ่านไปอบรมชั่วคราวไม่มีสำนัก สระบุรีมี ๑ แห่ง อุตรดิตถ์ก็เป็นจุดผ่าน ไปอบรมลำปาง เชียงราย เชียงใหม่ นครนายก นครปฐม ได้ผ่านไปอบรมชั่วคราว ยังไม่มีสานัก ราชบุรีได้ผ่านไปอบรม ยังไม่มีสำนัก เพชรบุรี มีพระเณรเพื่อนฝูงตั้งสานักไว้บ้าง ประจวบฯ ได้เริ่มสร้างสำนักที่อำเภอหัวหิน ชุมพร มีสำนักอยู่ ๒-๓ แห่ง สุราษฎร์ธานีผ่านไปอบรมชั่วคราว ไม่มีสำนัก นครศรีธรรมราชก็ผ่านไปอบรมมีสำนักขึ้นก็รกร้างไป พัทลุงมีศิษย์ผ่านไปอบรมยังไม่มีสำนัก สงขลามีสำนักที่วิเวกหลายแห่ง ยะลามีศิษย์ไปเริ่มอบรมไว้เป็นพื้นที่และได้เคยไปอบรม ๒ ครั้ง ระหว่างออกพรรษาได้สัญจรไปเยี่ยมศิษย์เก่าๆ ของครูบาอาจารย์ที่เคยไปพักผ่อนมาแล้ว ก็ได้ไปอยู่เสมอมิได้ขาด
84#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 19:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บางคราวก็ได้หลบหลีกไปบำเพ็ญประโยชน์ส่วนตัวบ้าง นับตั้งแต่ได้อุปสมบทมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๘ แต่มาสวดญัตติใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ จำเดิมแต่นั้นมา ปีแรกที่ได้สวดญัตติแล้ว ได้อยู่จำพรรษาที่จังหวัดอุบลราชธานี ๖ พรรษา มาจำพรรษาวัดสระปทุม พระนคร ๓ พรรษา ไปจำพรรษาอยู่ที่เชียงใหม่ ๒ พรรษา จำพรรษาที่จังหวัดนครราชสีมา ๒ พรรษา จังหวัดปราจีนบุรี ๑ พรรษา มาสร้างสำนักที่จันทบุรี จำพรรษาอยู่ ๑๔ พรรษา ต่อจากนั้นไปจำพรรษาที่ประเทศอินเคย ๑ พรรษา กลับจากประเทศอินเดียผ่านประเทศพม่า ไปจำพรรษาที่วัดควนมีด จังหวัดสงขลา ๑ พรรษา จากนั้นได้จำพรรษาที่วัดบรมนิวาส ๓ พรรษา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) มรณภาพ แล้วได้ออกไปจำพรรษาอยู่วัดอโศการาม ๔ พรรษา พรรษาที่ ๔ นี้ ตรงกับปี พ.ศ. ๒๕๐๒

เวลาที่ได้เขียนประวัติขึ้นนี้ กำลังนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล สมเด็จพระปิ่นเกล้าธนบุรี

วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔ เวลากลางคืน ท่านจึงได้ทิ้งขันธ์จากศิษยานุศิษย์ของท่านไป สิริอายุรวมได้ ๕๔ ปี ๓ เดือน


“พระธุตังคเจดีย์” เจดีย์แห่งพระอรหันต์ ในปัจจุบัน ณ วัดอโศการาม
เป็นเจดีย์หมู่รวม ๑๓ องค์ อันเป็นที่ระลึกถึงธุดงควัตร ๑๓ ประการ
ซึ่งเจดีย์แต่ละองค์ได้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้



รูปเหมือนท่านพ่อลี ธมฺมธโร ประดิษฐาน ณ พระธุตังคเจดีย์ วัดอโศการาม

รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::
(๑) หนังสือชีวประวัติพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร
โดยมี ดิเรก มณีรัตน์ เป็นผู้บันทึก
http://www.dharma-gateway.com/
(๒) หนังสือพระธุตังคเจดีย์ เจดีย์แห่งพระอรหันต์
วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21381
85#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 19:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ช้างช่วยท่านพ่อลี ธมฺมธโร

เล่าเรื่องโดย หลวงปู่ลี กุสลธโร
วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

จากหนังสือธรรมะทะลุโลกของท่านพ่อลี ธมฺมธโร
โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร
วัดป่าภูผาสูง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา


เรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับท่านผู้บำเพ็ญบารมีที่มีเรื่องสุดวิเศษอัศจรรย์เช่นนี้ อย่างเช่น

พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีพระวรกายเหมือนมนุษย์ แต่สามารถเสด็จไปจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

พระมาลัย สามารถท่องแดนนรกสวรรค์ได้ เหมือนเที่ยวไปในเมืองมนุษย์

สามเณรสังกิจจะ มารดาท่านตายในขณะที่ท่านยังอยู่ในท้อง เขานำศพมารดาท่านไปเผา ไฟเผาไหม้เพียงเนื้อหนังของมารดา แต่ตัวท่านปลอดภัยนอนอยู่ในกองเพลิงที่ลุกไหม้เหมือนนอนอยู่บนดอกบัว

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต สามารถเทศนาสั่งสอนสัตว์โลกในภพภูมิทั้งสาม

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน สามารถนำธรรมะออกเผยแผ่ทั่วประเทศไทย กู้ชาติบ้านเมืองให้พ้นวิกฤตเศรษฐกิจ และนำเงินและทองคำเข้าสู่คลังหลวงได้เป็นจำนวน ๑๑ ตันกว่า คิดเป็นเงินโดยรวมหลายหมื่นล้าน

นี่คือเรื่องจริงๆ!! ที่ปรากฏมีมาแล้ว

เรื่องจริงจึงเป็นสิ่งที่ชวนให้คิดถึงบาปบุญ คุณโทษ นรก สวรรค์ พรหมโลก และพระนิพพานของคนและสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสารมานานเนา

สมัยหนึ่ง ท่านพ่อลี ท่านท่องเที่ยวกรรมฐานทางภาคเหนือตอนล่าง ได้พลัดหลงป่าได้ช้างมาช่วยชีวิตไว้ แต่ก่อนอื่นขอนำเรื่องพระพุทธเจ้ากับช้างมาเล่าก่อน หลักฐานแห่งความเชื่อและความจริงจะได้ชัดเจนขึ้น ท่านผู้อ่านจะได้เรียงลำดับเรื่องถูก
86#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 19:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
...ในสมัยพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าทรงเบื่อหน่ายพระธรรมกถึกและพระวินัยธรที่ว่ายากสอนยาก ทะเลาะกันเรื่องพระวินัย ทรงสั่งสอนเท่าไรก็ไม่เชื่อฟัง พระองค์จึงเสด็จปลีกวิเวกไปอยู่เพียงลำพังองค์เดียวที่บ้านปาริเลยยกะ ราวป่ารักขิตะวัน ใต้ต้นสาละใหญ่

ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ตรัสภาษิตธรรมว่า

“...การอยู่คนเดียวประเสริฐที่สุด...ในหมู่ชนพาล ย่อมไม่มีเพื่อนแท้”

...ในป่านั้น พระยาช้างปาริเลยยกะได้ทำหน้าที่เป็นผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า มันใช้งวงหักกิ่งไม้ กวาดบริเวณที่พระพุทธองค์ประทับ เสร็จแล้วจับหม้อด้วยงวง ตักน้ำฉันน้ำใช้มาตั้งไว้ ต้มน้ำร้อนถวาย ด้วยการเอางวงสีไม้แห้งให้ไฟเกิด เมื่อน้ำร้อนเสร็จก็นิมนต์พระศาสดามาสรง

เมื่อพระบรมศาสดาเข้าไปบิณฑบาต พระยาช้างนั้นเอาบาตรและจีวรวางไว้บนตะพอง เดินตามหลังไปจนถึงแดนบ้าน “ปาริเลยยกะ เธอรออยู่ที่นี่ก่อน” พระศาสดาตรัสด้วยพระสุรเสียงอันนุ่มนวล

พระยาช้างรอจนกว่าพระศาสดาเสด็จกลับมาแล้วรับบาตรและจีวรกลับเข้าป่ารักขิตวันตามเดิม เมื่อถวายภัตตาหารแก่พระศาสดาแล้ว พระยาช้างได้นั่งถวายงานพัดด้วยกิ่งไม้

ภาพแห่งช้างถวายงานพัดนั้นคงจะน่ารักน่าชังมิใช่น้อย (ถ้าเป็นสมัยนี้มนุษย์คงแตกฮือตื่นกันทั้งโลก เพราะมนุษย์สมัยนี้ชอบตื่นตูม เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ยังตื่นข่าว) ส่วนในราตรีพระยาช้างได้ถือท่อนไม้ใหญ่ด้วยงวง เดินรอบบริเวณป่าที่พระศาสดาประทับอยู่ เพื่อรักษาความปลอดภัยจากเนื้อร้ายหรือจากอันตรายอื่นใด จนกว่าอรุณจะขึ้นมาใหม่ จึงถวายน้ำสรงพระพักตร์ ทำอย่างนี้เป็นกิจวัตร

ในป่านั้นมีลิงใหญ่ตัวหนึ่ง กระโดดร้องโก๊กๆ ไปมาตามกิ่งไม้ เห็นพระยาช้างทำวัตรปฏิบัติเป็นนั้นทุกๆ วัน เกิดความศรัทธาอยากทำอย่างนั้นบ้าง จึงไปหารวงผึ้งมาถวายพระศาสดาบ้าง พระศาสดารับแล้วแต่ไม่ทรงเสวย ลิงนั้นจึงเข้ามาจับรวงดูผึ้ง เห็นตัวอ่อนติดอยู่ จึงเขี่ยออกแล้วถวายใหม่ เมื่อเห็นพระศาสดาทรงเสวยแล้วจึงดีใจเลยเถิด ทั้งฟ้อน ทั้งรำ ทั้งร้อง ทั้งกระโดดโลดเต้นไปมา เหยียบกิ่งไม้แห้งหัก ร่างตกลงมาเสียบตอไม้ปลายแหลมตายคาที่ ได้ไปเกิดในสวรรค์มีวิมานทองสูง ๓๐ โยชน์ มีเทพอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวาร
87#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 19:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ครั้นพระอานนท์และภิกษุ ๕๐๐ รูปมาอาราธนานิมนต์ให้พระศาสดาเสด็จกลับ ช้างไม่ยอมให้กลับ

“ปาริเลยยกะ!” พระศาสดาตรัสเรียก

เราไปครั้งนี้จะไม่กลับมาอีก ฌาน วิปัสสนา มรรค และผล ยอมไม่มีแก่เจ้าในอัตภาพนี้ เจ้าจงหยุดเถิด”

พระยาช้างเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็เอางวงสอดเข้าปาก ร้องไห้เหมือนเด็กน้อยที่พ่อแม่ทิ้งไว้กลางป่า ร้องร่ำหาจนกระแสเสียงและสายน้ำตาเหือดแห้ง

เมื่อพระศาสดาเสด็จลับตาไป มันยกขาหน้าขึ้น ตาชะเง้อมองเท่าไหร่ไม่เห็นแม้แต่เงาพระพุทธองค์ ด้วยความเสียใจอาลัยสุดประมาณ หัวใจมันจึงแตกสลาย ล้มตายลงในทันที

ไปเกิดในสวรรค์มีวิมานทองสูง ๓๐ โยชน์ มีนางเทพอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวาร

..เรื่องพระพุทธเจ้ากับสัตว์ เราฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ได้เป็นไปแล้ว นี่คือ..อำนาจบุญ..

..บุญฤทธิ์เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์และคาดคิดไม่ถึงเสมอ!
88#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 19:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
...เรื่องที่จะเล่าต่อเป็นเรื่อง ท่านพ่อลีกับช้างใหญ่ ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปสนทนาธรรมกับ หลวงปู่ลี กุสลธโร พระอริยเจ้าแห่งวัดป่าภูผาแดง จังหวัดอุดรธานี ท่านได้เล่าเรื่องท่านพ่อลีกับช้างให้ฟังอย่างน่าตื่นเต้น ผู้เขียนเห็นว่าเป็นคติดี เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จึงนำมาเล่าให้ฟังว่า

สมัยหนึ่ง หลวงปู่ลี กุสลธโร ไปธุดงค์ทางอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ไปพบท่านพ่อลี ธมฺมธโร ซึ่งธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือตอนล่างเช่นกัน

เมื่อท่านเข้าไปคารวะท่านพ่อลีแล้ว ท่านจึงขอโอกาสนวดเส้นถวาย ในขณะที่นวดเส้นถวายนั้น ท่านพ่อลีได้เล่าเรื่องประสบการณ์ต่างๆ ที่ผจญมาจากที่ต่างๆ ให้ฟังไปเรื่อยๆ จนคนที่นวดถวายลืมเวล่ำเวลา ฟังแล้วหูตาแจ้ง ไม่ง่วงนอน เพลินใจ ตื่นเต้นสนุกสนานในธรรมลีลาของท่านอย่างบอกไม่ถูก

ท่านพ่อลีเล่าว่า.....

“...ขณะที่ท่านท่องเที่ยวธุดงค์เดินไปตามป่าเรื่อยๆ ค่ำที่ไหนก็อาศัยนอนในป่านั้น ไม่หวั่นต่อมรณภัยใดๆ รักษาแต่ใจตัวที่ชอบท่องเที่ยวเพลินอยู่ในป่าใหญ่ที่มีต้นไม้สูงระฟ้า ลิงค่าง สัตว์เสือช้างป่าร้องลั่นสนั่นไพร เหมือนเพลงขับกล่อมย้อมใจให้หลงใหลในรสธรรมชาติ ท่านอุทานว่า

“ธรรมชาตินี้ ช่างดี! งามล้น ไม่มีการเสแสร้งทำ ส่วนมนุษย์นี่สิ ทำตัวสงบเสงี่ยม แต่ใจเหมือนเปรต เหมือนผี”

ทิวากำลังผ่าน ราตรีกำลังล่วงเข้า

เหล่าสัตว์กลางคืนกำลังลืมตา เตรียมตนเพื่อออกหากิน

แล้วท่านเดินชมถ้ำ ชมทิวผาแมกไม้เถาวัลย์ในเวลาย่ำค่ำไปเรื่อย ประคองกายและสติพิจารณาธรรมบางประการไปพร้อมๆ กับย่างเท้าก้าวเดิน

ขณะที่เดินเพลินไปเรื่อยนั้น ไม่ทราบว่าได้หลงทาง หลงป่ามาไกลเพียงไร แหวกม่านป่าไปทางใด ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบมนุษย์สักคน

...พบแต่ทางช้าง ทางเสือ ทางสัตว์ร้าย...ทางแห่งอันตราย!

สักพัก..เสียงร้องกระหึ่มของเจ้าป่าดังก้องกัมปนาท มันร้องเพียงครั้งสองครั้งก็เพียงพอที่จะให้ป่าสงบสงัดในทันที..เสียง..อันแสดงแสนยานุภาพแห่งพลังอำนาจ ทำให้สัตว์ที่ได้ยินขนพองสยองเกล้า ทำให้สัตว์จตุบททวิบาทระมัดระวังตนแจ แอบหลักลี้หนีหาย พรางกายเข้าที่ซ่อนเร้นโดยเร็ว
89#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 19:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ป่าสงบนิ่ง...ราวกับว่าไร้สิ่งมีชีวิต!

แต่ท่านพ่อลีท่านยังคงเดินดุ่มๆ เหมือนเดิม โดยไม่แสดงอาการตื่นเกรงกลัวแม้แต่น้อย

แม้เสียงเจ้าป่าจะสะเทือนก้องในที่ไม่ไกล ใจก็ไม่หวั่นไหว

เมื่อท่านย่างผ่านไป เจ้าป่านั้นเองเป็นผู้หมอบคอยสงบ เพราะมันยำเกรงอย่างยิ่ง สัญชาตญาณทำให้มัน “รู้” ว่า ร่างนั้นคือ...ผู้ทรงอำนาจมากด้วยเมตตาคุณ...มีรัศมีรอบกาย

..หนึ่งวัน สองวัน สามวันผ่านไป มีแต่เดิน เดิน เดิน บุก บุก บุก ลุย ลุย ลุย!

ปีนผาหิน มุดซอกถ้ำ คลานลอดขอนไม้ใหญ่ที่ล้มขวางทาง

ข้าวไม่ได้กิน อาศัยน้ำพอประทังชีวิต สามวันนั้นท่านประจักษ์ใจว่า ป่านี้ช่างกว้างไพศาลเสียจริงๆ กี่สิบกี่ร้อยกิโลเมตรก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอบ้านคน หรือทางคนเดินเลย..และจะออกไปยังไง

ท่านพ่อลีท่านว่า “..ความเหนื่อยล้า..เป็นอุปสรรคสำหรับคนเดินทางไกล

...แต่การเดินทางไกลหรือหลงทาง ย่อมดีกว่าเดินทางผิดหรือมีจิตตั้งไว้ผิด

...เพราะการคบหากับคนที่ไม่ดี

คนที่พอจะดีได้กลับกลายเป็นคนชั่วไปเสียนี่

เปรียบเหมือนทางที่รกรุงรังเต็มไปด้วยขยะมูลฝอย

แม้จะเป็นทางตรง จะถือว่าเป็นทางที่ดีก็ไม่ได้

...ส่วนผู้ที่คบหากับกัลยาณมิตรมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นย่อมดียิ่งขึ้นๆ

เหมือนทางป่าที่รกรุงรังด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาไม่ร้อน

แม้จะเป็นทางอ้อม ก็ถือว่าเป็นทางที่ดีได้”

ด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนแรง..หมดสรรพกำลัง..มีเพียงลมหายใจที่แผ่วเบา ท่ามกลางสรรพสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ตายหรืออยู่ก็มีบุญกรรมเป็นเพื่อนผอง!

ท่านหยุดพักปูผ้ายางพลาสติกผืนน้อยกันชื้น นั่งพักใต้ร่มไม้ใหญ่ใบดกหนา ผูกเชือกรัดต้นไม้ กางกลดกำหนดสตินอนแล้วหลับไป

แต่ทางที่ท่านกลางกลดนอนพักนั้น ท่านหาทราบไม่ว่าเป็นทางสัตว์ใหญ่ผ่านไปมา

ท่านนอนสบายจนถึงรุ่งเช้าอีกวัน ร่างกายสดชื่นเมื่อได้พักผ่อน มองทอดเทือกเขาอันติดกันเป็นพืด สูงๆ ต่ำๆ งามวิจิตรด้วยแสงแรกแห่งตะวัน สาดส่องเป็นลำผ่านช่องแมกไม้เป็นแฉกสีรุ้ง วิหคบินออกจากรังเป็นสาย เสียงเซ็งแซ่เป็นสัญญาณบอกว่าทิวากาลเริ่มแล้ว
90#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-29 19:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อท่านตื่นนอนกำหนดสติดังราชสีห์...เห็นว่าทิศที่หันหัวลงนอนไม่ได้เป็นเช่นนี้ ก่อความสงสัยให้เกิดคำถามขึ้นอย่างมาก ท่านเคลื่อนร่างกายออกจากกลดมายืนพิจารณาดูบริเวณโดยรอบ กลดก็ถูกย้ายที่ ที่นอนก็ถูกย้ายที่ แล้วใครมาย้ายที่นอนให้เรา” ท่านยืนคิดอย่างฉงน

“แล้วเราพักอยู่ตรงนั้น พลันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?” ท่านถามตัวเอง

“ผี มนุษย์ อสุรกาย นาคา ครุฑ เทวดา หรือพระพรหมที่ไหนอาจสามารถทำเช่นนั้นได้ หรือว่าเราเป็นคนบ้าเป็นคนหลงสติไปเสียแล้วนี่ จึงนอนกลับหัวกลับทิศ จึงจำทิศทางที่ตัวเองนอนไม่ได้ อย่างนี้ต้องพิสูจน์กันหน่อย...เรานี้มีครูดีสั่งสอนมามิใช่ย่อย...จะมามัวนั่งละห้อยคิดให้เสียการณ์นานถ้าไปใย” ท่านบ่นพึมพำในใจ

แล้วจึงตัดสินใจเขาสมาธิดูภาพย้อนหลัง ฟังๆ ดูเหมือนในหนังละครทีวีรีเพลย์เทปกลับมาดูได้ใหม่ มาถึงตอนนี้ผู้เขียนอดใจไม่ไหว จึงรีบแทรกถามหลวงปู่ลี วัดป่าภูผาแดง ขึ้นทันทีว่า “เหตุการณ์มันผ่านมาแล้วย้อนกลับไปดูได้อีกหรือปู่”

ทานตอบเป็นภาษาอีสานพร้อมด้วยรอยยิ้ม อันแสนจะน่ารักว่า “เป็นหยังสิบ่ได๋...ทำไมจะไม่ได้ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านระลึกชาติย้อนหลังได้เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นแสนชาติ นี่เพิ่งผ่านมาคืนเดียวทำไมจะระลึกย้อนดูอดีตนั้นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ท่านจะมาสอนสัตว์โลกที่โง่งมงายได้หรือ ถ้าท่านไม่แน่จริง” ท่านตอบอย่างฉะฉานอาจหาญ ทำให้เราหมอบทั้งกายใจและแววตา

“แล้วจากนั้นท่านพ่อลี ท่านทำยังไงครับ” ผู้เขียนเรียนถามหลวงปู่ลี

“ท่านก็เข้าสมาธิภาวนาน่ะสิ” ท่านตอบแล้วก็เมตตาเล่าต่อจนพระเณรที่ฟังกันอยู่อ้าปากค้าง! บางองค์ป่านนี้ยังไม่ได้งับปากเลย เสร็จจากเขียนหนังสือเล่มนี้จะไปนิมนต์ให้ท่านงับปากซะ เดี๋ยวลมเข้าท้องแตกตายก่อน เพราะความเพลินที่ได้ฟังสิ่งที่ดีๆ ที่ท่านเล่า

ก็พระอริยเจ้าเป็นผู้เล่าให้เราฟัง เราควรจะภูมิใจกระหยิ่มสักเพียงไร เพียงเห็นท่านก็เป็นทัสนานุตตริยะแล้ว

แต่นี่ได้นั่งสนทนาใกล้ๆ จะประเสริฐเพิ่มขึ้นอีกเพียงไร

แล้วท่านหลวงปู่ลีก็เล่าเป็นภาษาอีสานด้วยความนิ่มนวล (แต่แปลเป็นภาษากลาง) ต่อไปว่า “ท่านพ่อลีประคองร่างอันผอมบาง ขัดสมาธิ เมื่อภาวนาท่านได้เกิดความรู้ในญาณขึ้น มองทะลุภาพในอดีตได้ว่า...

“..เห็นร่างท่านเองนอนหลับสนิทในกลดน้อยใต้ร่มไม้ใหญ่

ทันใดนั้นเองมีสัตว์ใหญ่ เงาสีเทาร่างดำทึบเยื้องย่างผ่านเข้ามาเหมือนภูเขาลูกน้อยๆ เคลื่อนที่ได้ สักพักปรากฏรูปให้เห็นซัด...นั่นคือช้างใหญ่
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้