ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 7631
ตอบกลับ: 7
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หวีด Halloween รวม 7 สถานที่จริงสุดเฮี้ยน! สู่ 7 ภาพยนตร์สุดสยอง!!

[คัดลอกลิงก์]
ลิฟต์แดง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ตำนานสยอง : โศกนาฏกรรมที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อเช้ามืดวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (วันฆ่านกพิราบ) ขณะที่กลุ่มนักศึกษากำลังชุมนุม เพื่อยื่นข้อเรียกร้องทางการเมือง ทันใดนั้นก็มีเหล่าทหาร-ตำรวจจำนวนมาก บุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อฆ่าและเผานักศึกษาทั้งเป็นอย่างโหดเหี้ยมนับร้อยศพ

โดยมีเรื่องเล่าต่อกันว่า มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งหลบหนีเข้าไปอยู่ในลิฟต์ภายในมหาวิทยาลัย หวังเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่า ทว่าก็ไม่สามารถหนีพ้นเงื้อมมือมัจจุราช เพราะทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด พวกเค้าถูกกระหน่ำยิงอย่างทารุณจนเสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งลิฟต์ถูกฉาบไปด้วยสีแดงฉานของหยดเลือด แม้ภายหลังที่เหตุการณ์สงบ และมีการบูรณะมหาวิทยาลัย แต่คราบเลือดนั้นล้างเท่าไหร่ก็ไม่ออก! สุดท้ายต้องทาสีแดงทับลงไป จนเรียกกันว่า “ลิฟต์แดง”

จากนั้นก็เริ่มมีเสียงเล่าลือ ถึงความสยองขวัญของลิฟต์ตัวนี้ ทั้งนักศึกษาและอาจารย์  ต่างเคยสัมผัสเหตุชวนขนลุกกันมาแล้ว เช่น บางคนเข้าไปในลิฟต์คนเดียว จากนั้นไม่นาน ก็มองเห็นคนอยู่ในลิฟต์เต็มไปหมด หรือจู่ๆ ขณะกำลังขึ้นลิฟต์ก็มีนักศึกษาเดินเข้ามา พร้อมรอยเลือดที่ไหลมาตามทาง ไม่เว้นแม้แต่เสียงโหยหวนและรอยคราบเลือดสีแดง ที่หลายคนอ้างว่าเคยเจอกับตัวเองมาแล้ว!

ปัจจุบัน “ลิฟต์แดง” ตัวนั้นถูกถอดออกไปแล้ว เพราะมีสภาพผุพัง และได้นำลิฟต์ตัวใหม่มาแทนที่ อย่างไรก็ตามทางมหาวิทยาลัย ยังคงเก็บ “ประตูลิฟต์แดง” ของจริงเอาไว้ โดยนำไปตั้งที่ชั้น 6 คณะศิลปศาสตร์ ราวกับเป็นอนุสรณ์เพื่อแสดงถึงความสูญเสียของเหล่านักศึกษาผู้บริสุทธิ์ ให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงสืบต่อไป

สู่ภาพยนตร์สุดสะพรึง : “มหาลัยสยองขวัญ”  (รวม 4 เรื่องเล่าสุดเฮี้ยน จาก 4 มหาวิทยาลัย)

เรื่องย่อ (เฉพาะตอน ลิฟต์แดง) = หมวย นักศึกษาสาว ใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมในการฝึกงานโดยตัดสินใจเลือกที่จะเข้ามากรุงเทพและทำ งานกับมูลนิธิกู้ภัย กลับต้องเจอเรื่องผวาสั่นประสาทตั้งแต่คืนแรกในการปฏิบัติงาน เมื่อเธอมีโอกาสไปช่วย นกน้อย นักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่ถูกรุ่นพี่เหม็นขี้หน้า ข้อหาไม่ยอมทำตามคำสั่ง เลยถูกกลั่นแกล้งให้ไปติดอยู่ในลิฟท์สุดเฮี้ยนเพียงลำพัง ลิฟท์ที่มีนักศึกษาถูกยิงกราดก็ไม่สามารถล้างคราบเลือดสีแดงออกได้ จึงต้องทาสีทั้ง ลิฟท์เป็นสีแดง ทั้งหมด มักมีคนได้ยินเสียงเคาะจากในลิฟท์ แต่เมื่อลิฟท์เปิดกลับไม่พบใครอยู่ บางครั้งเมื่อเข้าลิฟท์คนเดียวไม่นานก็พบว่ามีคนมากมายมายืนเป็นเพื่อน ด้วย….(ข้อมูล : www.thaicinema.org)
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-14 16:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผีจ้างหนัง (ป่าคำชะโนด อุดรธานี)
ตำนานสยอง :  เมื่อพ.ศ. 2532 บริษัทหนังเร่ชื่อดังแห่งภาคอีสาน “แจ่มจันทร์ฟิล์ม” ถูกว่าจ้างให้ไปฉายหนังที่อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ด้วยจำนวนเงิน 4,000 บาท โดยมีเงื่อนไขที่แปลกประหลาด คือให้ฉายหนังถึงแค่ตี 4 เท่านั้น และให้รีบเก็บของไปให้เร็วที่สุด รวมทั้งห้ามหันหลังกลับมามอง!

ครั้นทีมงานไปถึงสถานที่ดังกล่าว ก็เตรียมอุปกรณ์สำหรับการฉายหนังจนใกล้เวลา 3 ทุ่ม ทันใดก็สังเกตถึงความผิดปกติ เนื่องจากยังไม่มีผู้ชมเข้ามา และไม่มีพ่อค้า-แม่ค้ามาขายของเหมือนเช่นทุกครั้ง กระทั่งเวลา 3 ทุ่มผู้ว่าจ้างบอกให้เริ่มฉายหนังได้ และเมื่อทีมงานหันกลับมาอีกครั้ง ก็ต้องประหลาดใจ!? เพราะมีคนมานั่งดูเต็มไปหมด โดยผู้หญิงและผู้ชายจะนั่งแยกฝั่งอย่างชัดเจน

เป็นอีกครั้งที่ทีมงานสังเกตได้ถึงความไม่ปกติ เนื่องจากตลอดระยะเวลาการฉายหนังทุกประเภท (ทั้งหนังบู๊, หนังตลก, หนังผี) ผู้ชมทุกคนต่างนั่งนิ่งเฉย ไม่ส่งเสียงพูดคุย หรือขยับร่างกายใดๆ จนถึงเวลาตี 4 ทีมงานก็เก็บข้าวของและขับรถกลับ ซึ่งไปถึงหมู่บ้านใกล้ๆ ในช่วงรุ่งเช้า และแวะซื้อบุหรี่ โดยระหว่างนั้นได้พูดคุยกับชาวบ้าน จนทราบว่าสถานที่ที่พวกเค้าเข้าไปฉายหนังนั้นไม่มีหมู่บ้าน มีแต่ดง “ชะโนด” รกทึบ และขึ้นชื่อว่าเป็น “ดงผี” ที่ชาวบ้านพากันหวาดผวา

และสิ่งที่ช็อกมากไปกว่านั้น คือบริเวณดงชะโนด เป็นเพียงเกาะลอยกลางน้ำ บริเวณพื้นดินจะเป็นโคลนนิ่มๆ และมีต้นไม้ขึ้นรกทึบ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นำรถ 6 ล้อขับเข้าไป หรือจะหาพื้นที่กางจอฉายหนังก็ยากเต็มที จึงเชื่อกันว่าน่าจะเป็นเพราะ “ป่าคำชะโนด” คือหมู่บ้านลี้ลับของเมืองพญานาค ซึ่งวันที่มีการจ้างหนังไปฉาย เป็นวันปีใหม่ของเมืองพญานาค ดังนั้นอาจเป็นการจ้างเพื่อเฉลิมฉลองให้ชาวเมืองพญานาคก็เป็นไปได้...

สู่ภาพยนตร์สุดสะพรึง : “ผีจ้างหนัง”

เรื่องย่อ = กรุงเทพฯ 2550, โลกเร้นลับยังคงเป็นสิ่งท้าทาย  น่าค้นคว้าและทดลอง หมอยุทธ ( อิงค์ อชิตะ ปราโมช ณ อยุธยา ) ที่มีความหมกมุ่น หวังพิสูจน์เรื่องราว ของความเร้นลับ ค้นคว้าเรื่องราว ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ของการที่มีคนไปฉายหนังให้ผีดู  โดยมี อร พยาบาลสาว (ตอง ภัครมัย โปรตระนันท์)  ที่ทนทุกข์ อยู่ร่วมกับเขา และหวังจะตีจากเขาอยู่ตลอดเวลา ถูกดึงมาเป็นส่วนร่วมในงานทดลองของเขา และเป็นคนสำคัญ ที่ทำให้การท้าพิสูจน์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ การพิสูจน์เรื่องราวอันเร้นลับครั้งนี้ มีคู่สามีภรรยา จิ และ พรรณ ( พิมลวรรณ  หุ่นทองคำ ) นักข่าวรุ่นใหญ่ ร่วมเป็นทีมงาน ด้วยหวังชื่อเสียงในการนำเสนอข่าว และมี โรจน์ ( นะโม ทองกำเหนิด )  เด็กจรจัด ที่แอบหลงใหลในตัวอร เข้ามามีส่วนร่วมด้วยช่วยค้นคว้า หาข้อมูล

พวกเขาค้นทุกสิ่ง หาทุกอย่างที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับ เรื่องราวของผีจ้างหนัง รวมไปถึงการบุกไปถึงป่าคำชะโนด สิ่งที่พวกเขาพบ ส่งผลให้เห็นว่า  โลกเร้นลับนั้นอยู่รอบตัวเรามีเพียงเส้นบางๆแบ่งเขต กว่าที่พวกเขาจะตระหนักได้ ทุกอย่างก็ดูจะ สายไปเสียแล้ว !!! (ข้อมูล : www.thaicinema.org)
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-14 16:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
Santika Pub เอกมัย  
                                                                  Photo : www.thepnakhon.com  
Photo : oknation.net

ตำนานสยอง :
ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่สู่ พ.ศ. 2552 ณ ผับหรูชื่อดังย่านเอกมัยนาม Santika น่าจะเต็มไปด้วยความสุข แต่ใครจะรู้ว่านั่นคือค่ำคืนอันโหดร้าย ที่นักท่องราตรีไม่มีวันลืมเลือน! ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2552 คล้อยสู่ช่วงปีใหม่ไปได้เพียง 20 นาที ทันใดก็เกิดเพลิงลุกไหม้ภายในผับ Santika อย่างรุนแรง ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่แออัดกันอยู่ด้านในเกือบ 1,000 คน ต่างโกลาหลกระเสือกกระสนหนีตาย จากกองเพลิงนรก ทว่าด้วยประตูทางออกที่คับแคบ ประกอบกับปริมาณเพลิงไหม้ที่ทวีความรุนแรงและรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ส่ง ผลให้นักท่องเที่ยวหลายรายเสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุทันที และนอนสิ้นลมเรียงรายอย่างน่าสลดใจ รวมถึงมีผู้ที่ไฟคลอกจนไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใครอีกจำนวนมาก ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในประเทศไทย และสร้างความหดหู่ไปทั่วโลก


ภายหลังเหตุการณ์สงบลง มีมุมมองจากหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตถึง “ลางร้าย” ในค่ำคืนมรณะ อาทิ

- ปาร์ตี้ที่จัดในงานวันนั้น ใช้ชื่อว่า “Goodbye Santika” โดยโปสเตอร์โปรโมต ก็เป็นหน้าโจอี้ บอย,ดีเจภูมิ,ดีเจ เพชรจ้า มีคราบน้ำตาสีดำและสีแดงไหลลงมาเป็นทาง

- มีการทำ CD บันทึกเรื่องราวของร้าน ที่ใช้หน้าปกสีดำหม่น เพื่อแจกให้ลูกค้าเป็นที่ระลึก เนื่องจากเป็นวันสุดท้าย- ที่ผับจะเปิดให้บริการ เพราะหมดสัญญาเช่าที่พอดี


- การตกแต่งภายในร้านมีการทำคอนเซปท์ให้คล้ายกับ “โบสถ์เก่า” โดยมีการนำไม้กางเขน และโลงศพมาเป็น Props ในการแต่งร้านด้วย
- Web Site มีการตกแต่งเป็นรูปเปลวเพลิง
- ขณะเกิดเพลิงไหม้ ตัวอักษรของป้ายชื่อร้านตกลงมา เหลือเพียงคำว่า KA (ที่อ่านออกเสียงในภาษาไทยได้ว่า “ฆ่า” นั่นเอง)
- วงดนตรีที่เล่นเป็นวงสุดท้ายในวันนั้นชื่อ “เบิร์น” ที่แปลว่า “เผาไหม้”
หนึ่งในภาพถ่ายติดวิญญาณ ที่ถูกกล่าวขวัญ

จากสถานบันเทิงสุดคึกคัก ผ่านสู่ปี 2552 จวบจนปัจจุบัน บริเวณ Santika Pub แปรเปลี่ยนเป็นสุสานอันเงียบสงบ ที่มาพร้อมกับเรื่องเล่าสุดหลอน จากผู้ที่เคยสัมผัสกับความเฮี้ยนของวิญญาณในสถานที่แห่งนี้มาแล้ว เช่น แท็กซี่มักจะเจอลูกค้าโบกรถไป Santika และพอถึงที่หมายลูกค้ากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย, มอเตอร์ไซค์รับจ้างเจอผู้หญิงโบกรถอยู่หน้า Santika เช่นกัน แต่พอเลี้ยวรถไปรับ ก็กลับไม่พบเสียแล้ว รวมถึงเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน และการปรากฏตัวของร่างหญิงสาวปริศนา ที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่ใต้ต้นโพธิ์ด้านหน้าผับชื่อดัง ฯลฯ

สู่ภาพยนตร์สุดสะพรึง : “ตายโหง” (ตอน = ซานติฆ่า)


เรื่องย่อ = ในการฉลองส่งท้ายปีที่ผับ SANTAKA นั้น เต็มไปด้วยความสนุกสนาน และมีการจุดพลุเพื่อเตรียมฉลองในงานส่งท้ายปี แต่ด้วยความประมาทของพนักงานในการเล่นไฟ จึงทำให้เกิดโศกนาฏกรรม นั่นก็คือ อัคคีภัย ทำให้ทุกคนหนีตายกันไป แต่ก็ต้องสังเวยชีวิตในกองไฟที่เผาสิ่งต่าง ๆ ไปกันจนหมดสิ้น



ใน ตอนนั้น อาร์มได้ไปพักที่ห้องพักแห่งหนึ่ง และเจอผีระหว่างอาบน้ำ แต่ปรากฏว่า เขาได้ฝันไป และดูข่าวก็พบว่า แป้งเสียชีวิตลงด้วยการถูกไฟคลอกตายที่ผับ อาร์มยังไม่เชื่อว่าแป้งเสียชีวิต จึงเกิดบันดาลโทสะ โวยวายที่งานศพของแป้งว่าเอาศพมาผิด ต่อมาแป้งก็โทรมาในอาการสำลักควัน เขาจึงกลับมาที่โรงแรม และพบว่า แป้งเป็นวิญญาณไปแล้ว และแสดงอาการถูกไฟเผาและหายไป ทำให้อาร์มเสียใจมาก และยิงตัวตาย

แต่ ที่จริงแล้ว อาร์มก็ถูกไฟคลอกตายในตอนนั้น โดยที่มีแป้งกอดศพอาร์มด้วยความเสียใจและร้องไห้จนถูกไฟคลอกตายในที่สุด เมื่อทั้งรู้ตัวว่าตายแล้ว วิญญาณของทั้งสองก็ได้เจอกันอีกครั้งและแสดงความรักที่ความตายมิอาจพรากจาก กันได้ (ข้อมูล : wikipedia.org)
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-14 16:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศพเด็ก 2,002 ศพ วัดไผ่เงิน

ตำนานสยอง : จากถุงพลาสติกปริศนา ที่ชาวบ้านพบหน้าโกดังเก็บศพของวัดไผ่เงิน ซึ่งภายในบรรจุ “ศพเด็กทารก” เอาไว้ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์สะเทือนขวัญคนทั้งโลก! เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าตรวจค้นโกดังเก็บศพวัดไผ่เงินอย่างละเอียด ก็ต้องพบกับภาพสุดช็อก!! เพราะเจอถุงพลาสติกที่บรรจุศพเด็กทารกอีกจำนวนหลายร้อยถุง ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ  นับได้ถึง 2,002 ศพ!! ทั้งทารกที่อวัยวะยังไม่ครบ บ้างก็ยังมีสภาพเป็นก้อนเลือด นอกจากนี้ยังมีทารกแฝดสยามอีก 3 คู่ สร้างความสลดใจให้ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง
  
จากการสืบทราบภายหลังพบว่า ศพเด็กทารกเหล่านี้ ถูกส่งมาจากคลีนิคทำแท้งเถื่อน โดยสัปเหร่อของวัดได้นำศพมาซุกซ่อนไว้ เพื่อรอเผาพร้อมกับผู้ตายรายอื่นๆ แต่ภายหลังเตาเผาศพวัดไผ่เงินเกิดชำรุด ทำให้สัปเหร่อและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องนำซากทารกมาเก็บไว้ในช่องเก็บ ศพดังกล่าว ซึ่งหลังเหตุการณ์คลี่คลาย ก็มีการสร้างรูปปั้นเด็กทารก 3 คน ชื่อ เงิน ทอง นาค ขึ้นที่วัดไผ่เงิน เพื่อให้วิญญาณทารกทั้ง 2,002 ดวง ได้เข้ามาสิงสถิตย์ ส่งผลให้มีชาวบ้านพากันไปกราบไหว้บูชา และขอพร (และขอเลขเด็ด) กันมากมาย

ภาพปริศนา ที่ปรากฏวิญญาณของเด็กทารกจ้ำม่ำ

และเมื่อเกิดการสูญเสียถึง 2,002 ชีวิต จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวบ้านในละแวกนี้ จะได้สัมผัสกับประสบการณ์สุดผวา เช่น ในช่วงกลางดึก มักได้ยินเสียงร้องไห้ของทารกดังระงม บ้างก็พบเห็นเด็กน้อยมายืนปรากฏกายอยู่หน้าโกดังเก็บ ศพ สร้างความสั่นสะพรึงไปทั่ว อย่างไรก็ตามศพเด็กทารกทั้งหมด ได้ถูกนำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และย้ายไปยังสุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง จังหวัดสมุทรสาคร เรียบร้อยแล้ว

สู่ภาพยนตร์สุดสะพรึง : “ศพเด็ก 2002 ศพ”

เรื่องย่อ =
เป็นเรื่องราวของคนหลายชีวิตที่ต้องเข้ามาผูกพัน และเกี่ยวข้องกัน ตรัย (สมชาย เข็มกลัด) นักข่าวสายอาชญากรรม และ พิม (พิชญ์นาฏ สาขากร) อาจารย์ประจำโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ทั้งคู่มีลูกสาวที่น่ารักคือ ใยไหม(ด.ญ ชินารดี อนุพงษ์ภิชาติ) ทั้งหมดอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

แต่ใน วันหนึ่งกลับเกิดเหตุการณ์บางอย่างทำให้ต้องผจญกับเรื่องราวแปลก ๆ ในขณะที่ เบล (กานต์ธิดา ชา ) กับ บอม (พีรวิชญ์ บุนนาค) นักเรียนที่พิมเป็นอาจารย์ประจำชั้น อยู่ ๆ เกิดท้องขึ้นมาจนทำให้พิมต้องเข้ามาช่วยเหลือ และทำให้บอมกับเบลต้องมาเจอกับเรื่องราวน่าสะพรึงกลัว แต่กลับเป็นบทเรียนที่ไม่สามารถถอยกลับมาเริ่มใหม่ได้อีก ทุกคนต้องผจญกับชะตากรรมที่ตนเป็นผู้ก่อ กับความอาฆาตของวิญญาณเด็กนับพัน
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-14 16:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บ่อวิเชียร โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา ตำนานสยอง :ตำนานเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่นของโรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา เรื่องราวของเด็กชาย “วิเชียร” นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2511 ดีกรีนักว่ายน้ำ วันหนึ่งขณะกำลังลงเล่นกับเพื่อนๆ ในบ่อน้ำของโรงเรียน จู่ๆ วิเชียรก็เกิดอาการตระคริวกิน ตะเกียกตะกายขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ทว่าเหมือนความตายไม่อนุญาตให้ผิดนัด เพื่อนของวิเชียรต่างคิดว่าเค้าล้อเล่น จึงไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือและพากันกลับหอพัก ร่างของวิเชียรค่อยๆ ดิ่งลงสู่ก้นสระ พร้อมลมหายใจที่กำลังรวยริน สุดท้ายวิเชียรจมน้ำเสียชีวิต กว่าจะมีคนมาพบศพ ก็คือรุ่งเช้าของวันถัดไป ซึ่งแม้จะมีการทำพิธีต่างๆ เพื่อเชิญวิญญาณ แต่หลายคนบอกว่า “วิเชียรยังไม่ไปไหน ยังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ที่ก้นสระนั่นเอง!”   


ต่อมาบ่อน้ำแห่งนี้ ถูกเรียกว่า “บ่อวิเชียร” ซึ่งเด็กอัสสัมชัญหลายคน ต่างรู้ถึงความน่าสะพรึงของบ่อน้ำแห่งนี้เป็นอย่างดี ขนาดที่ว่าในเวลากลางคืน ไม่มีเด็กหอหรือนักเรียนคนไหนกล้าเดินผ่าน และมีไม่น้อยที่ต้องอกสั่นขวัญแขวน ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง อาทิ ในห้วงเวลามืดมิดยามค่ำคืน หากมองไปที่กลางบ่อน้ำ มักจะเห็นร่างเด็กผู้ชายกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำ พร้อมกวักมือเรียกช้าๆ อย่างชวนขนลุก และมีเรื่องเล่าว่าบางคนที่จิตไม่แข็งพอ ตกอยู่ในภวังค์จนเดินตามลงไป ไม่นานนักก็มีข่าวเด็กจมน้ำเสียชีวิตที่บ่อแห่งนี้ในเวลาต่อมา

ปัจจุบัน
ทางโรงเรียนได้ให้ความสำคัญกับบ่อน้ำแห่ง นี้มากขึ้น โดยตัดสินใจบูรณะด้วยการนำพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำมาปล่อย  ทำให้นักเรียนเริ่มมีกิจกรรมทำร่วมกัน และช่วยหันเหความสนใจจากอาถรรพ์ร้าย จนความน่ากลัวค่อยๆ เบาบางลง และตั้งชื่อเป็น “บ่อนักบุญหลุยส์” หรือ “บ่อหลุยส์” กระทั่งทุกวันนี้ก็กลายเป็น แหล่งชุมนุมสำหรับนักตกปลาไปแล้วเช่นกัน

สู่ภาพยนตร์สุดสะพรึง : “เด็กหอ”


เรื่องย่อ : ชาตรี เด็กชายอายุ 12 นักเรียนชั้น ม.1 เป็นเด็กไร้ความหมาย ที่พ่อของเขาส่งไปที่โรงเรียนสายชลวิทยา จังหวัดชลบุรี อย่างฉุกละหุก แล้วชาตรีก็ได้พบกับ วิเชียร เพื่อนร่วมห้องที่ดูเหมือนจะรู้อะไรๆ ในโรงเรียนไปเสียทุกอย่าง และแล้วมิตรภาพระหว่างเพื่อนทั้ง 2 ก็ก่อตัวขึ้น ก่อนที่พบว่าแท้ที่จริงแล้ว วิเชียร ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาๆ แต่พอเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่าชาตรีก็เริ่มผูกมิตรกับวิเชียรได้ เพราะว่าทั้งสองคนเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ "ไม่มีใครเห็นว่ามีตัวตน"  

และ ความผูกพัน ความสนิทสนมของทั้งสองก็ดูจะแน่นแฟ้นมากขึ้น อย่างตอนที่ชาตรีคิดจะทำอะไรแผลงๆ เพื่อถอดวิญญาณมาช่วยวิเชียร วิเชียรก็พูดว่า "สัญญากับฉันสิ ว่าจะไม่ทำอะไรบ้าๆ เพื่อช่วยฉัน ชาตรี สัญญากับฉันสิ" ชาตรีไม่ตอบ กลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนถึงเวลา 6 โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาตายของวิเชียร และเขาต้องกลับไปที่สระว่ายน้ำนั้น เพื่อลิ้มรสความทรมานจากการจมน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน ชาตรีเจ็บปวดมากที่ได้เห็นวิเชียรทรมานแบบนั้น แต่ตัวเขากลับได้แต่ยืนมอง แตะต้องอะไรวิเชียรไม่ได้ จนในที่สุดชาตรีก็ไปดมสารอีเทอร์มากเกินขนาด กระทั่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง แล้วชาตรีก็ไม่คิดจะเหลียวมองดูร่างของตนเองเลยแม้แต่น้อย เขาวิ่งไปทางสระว่ายน้ำนั้นโดยไม่สนใจอะไรอีกแล้ว และชาตรีก็ช่วยวิเชียรขึ้นมาจากสระจนได้ และต่อจากนั้นเองที่วิเชียรลาชาตรีไปเกิด ซึ่งแม้จะลากันแค่สั้นๆ แต่สายตาสื่อความหมายว่าทั้งสองคนผูกพันกันมากมายเพียงใด (ข้อมูล : th.wikipedia.org)
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-14 16:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผีช่องแอร์ อำเภอหาดใหญ่
ตำนานสยอง : เรื่องเล่าเขย่าขวัญ ที่รายการ The Shock FM มิอาจลืมเลือน กับเหตุการณ์ที่นักดนตรีหนุ่มวัยรุ่น 6 คน เดินทางมาแสดงในโรงแรมแห่งหนึ่ง ของอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อราวๆ ปี 2534-2535 และเป็นปกติที่ระหว่างช่วงพัก ทางโรงแรมจะต้องเตรียมห้องไว้ให้ผ่อนคลาย และเผอิญคืนนั้นก็เลือกห้อง 409 สำหรับพวกเค้า ซึ่งหารู้ไม่ว่านั่นจะเป็นประสบการณ์สุดสยอง ที่ต้องจดจำไปชั่วชีวิต หลังเข้าไปในห้อง หนุ่มๆ ก็ตั้งวงเล่นไพ่กันอย่างสบายอารมณ์ ทันใดนั้นมือกีตาร์ของวงก็ไปสังเกตเห็นบริเวณช่องแอร์ มีผ้าริ้วสีขาวปลิวไสวอยู่ จึงจัดการเอาเก้าอี้ปีนขึ้นไปดึงผ้าออก ทว่าแทนที่จะหลุด กลับกันผ้าดันยิ่งยาวขึ้น! เค้าดึงมาจนเกือบจะถึงพื้น ก็ตัดสินใจปลดตะแกรงช่องแอร์ออกมา

พลันที่เค้าแหงนหน้าขึ้นไปก็ต้องตาค้างและหยุดชะงัก ก่อนจะเอ่ยกับเพื่อนว่าขอตัวลงไปข้างล่าง และรีบเดินออกไป ท่ามกลางความสงสัยของคนในกลุ่ม เช่นเดียวกับเพื่อนอีก 3 คน ที่ทำตามและโดนในลักษณะเดียวกันทุกกระเบียด และมีอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด



กระทั่งเหลือ2 คนสุดท้ายที่ยังอยู่กับความงุนงง จึงตัดสินใจเดินไปมองในช่องแอร์เพื่อหาความกระจ่าง และทันทีที่เงยหน้าขึ้นไปดู เค้าก็ต้องช็อกจนสติแทบไม่อยู่กับตัว เมื่อเห็นผู้หญิงผมยาวหน้าขาวซีดคนหนึ่งนั่งอยู่ในช่องแอร์ สายตาจ้องเขม็งอย่างเคียดแค้นมาที่ชายทั้งสอง แขนและขาทั้งสองข้าง ยันฟรอยด์ช่องแอร์ไว้ในสภาพคุ้ดคู้ดูเก้ๆ กังๆ ซึ่งแทบไม่ต้องคิด! นักดนตรีทั้งสองตัดสินใจจับมือเดินกันลงชั้นล่างอย่างว่องไว พลางข่มใจไม่ให้สติกระเจิงมากไปกว่านี้

จากนั้นหนุ่มทั้ง 6 ได้สอบถามเรื่องราวจากแม่บ้านคนเก่าแก่ของโรงแรม ก็ได้ความว่าที่ชั้น 9 เคยมีหญิงขายบริการคนหนึ่ง ถูกแขกที่มาใช้บริการฆ่าตัดคอ แล้วเอาหัวยัดไว้ในช่องแอร์ ซึ่งเมื่อตำรวจมาถึงก็เจอแต่ร่าง กว่าจะหาหัวเจอต้องอีก 3-4 วัน ซึ่งโดยปกติห้องนี้จะถูกปิดตายไม่ให้ใครเข้าพัก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงเลือกให้ศิลปินทั้ง 6 เข้ามา


ซึ่งความน่ากลัวไม่หยุดเพียงเท่านี้ หลังจากนั้นไม่นานนักดนตรี 4 คนแรกในวงที่เงยหน้าไปมอง ต่างทยอยกันเสียชีวิตทีละคนอย่าง น่าประหลาดใจ เริ่มจากคนแรกเอาปืนยิงกรอกปากตัวเอง หลังทะเลาะกับแฟนสาว (3 วันนับจากที่เจอ) คนที่สองกินยาตาย (ถัดจากคนแรก 4-5 วัน) คนที่สามรถคว่ำเสียชีวิต (ถัดจากคนที่สองประมาณ 7 วัน) และคนสุดท้ายกระโดดน้ำตาย (ถัดจากคนที่สาม 4 วัน) สรุปแล้วเหลือเพียงแค่ 2 คนสุดท้ายที่เจอเท่านั้น ที่ยังมีชีวิตรอด แต่กว่าอาถรรพ์จะบรรเทา เจ้าตัวก็ต้องเดินทางไปทำบุญมาอย่างมากมาย ซึ่งนี้ถือเป็นเรื่องสุดสยองในตำนานอีกเรื่อง ที่ยังมีการเล่าขานถึงปัจจุบัน

สู่ภาพยนตร์สุดสะพรึง : “ผีช่องแอร์”


เรื่องย่อ : กลุ่มนักดนตรีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ประกอบไปด้วย พิม นักร้องนำสาวเปรี้ยว หนุ่ย มือกีต้าร์ กบ มือเบส อ้วน มือกลอง ใหญ่ มือกีตาร์ และ บอย มือคียบอร์ด ได้เดินทางมาเล่นดนตรีในจังหวัดหนึ่ง และได้เข้าพักยังโรงแรมที่ห้องพักที่เหลืออยู่เพียงห้องเดียวเท่านั้น คือ ห้อง 409 และเมื่อทุกคนได้เข้าไปพักในห้องพัก บอยได้สังเกตว่ามีปลายผ้าสีขาวโผล่มาจากช่องแอร์จึงลุกขึ้นไปดึงผ้าผืนนั้น ลงมา ทันใดนั้นก็ต้องชะงักจนหน้าซีดแล้วผลุนผลันออกจากห้องไปทันที ก่อนที่เพื่อนๆ จะปืนขึ้นไปพิสูจน์ทีละคน ภาพที่ทุกคนเห็นตรงกันภายในช่องแอร์ คือ มีผู้หญิงผมยาว ท่าทางน่ากลัว นั่งคุดคู้จ้องมองลงมาด้วยแววตาของความโกรธแค้น

ต่อมากลุ่ม นักดนตรี ก็ได้เดินทางมาพบกับพระรูปหนึ่ง และได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว แสงดาว ซึ่งเป็นหญิงขายบริการภายในโรงแรมทิวลิป ถูกฆาตกรรมในห้อง 409 โดยฆาตกรได้ใช้มีดหั่นคอขาดจากตัว แล้วนำศพไปไว้ใต้เตียง ส่วนหัวนำไปซ่อนไว้บนช่องแอร์ กว่าจะพบศพก็หลายวัน จนต้องให้สัปเหร่อที่วัดเป็นคนไปเอาหัวลงมา กลุ่มนักดนตรีเหล่านี้จะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ทำให้ต้องสูญเสียเพื่อนไปทีละคน จนแทบไม่เหลือใคร แล้วพวกเขาจะเอาตัวรอดกันได้หรือไม่ ? ความน่าสะพรึงกลัว ความแค้น แรงอาฆาต ใครเล่าจะลืมมันได้…… (ข้อมูล : www.nangdee.com)
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-14 17:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แม่นาค พระโขนง
ตำนานสยอง : ตำนานผีตลอดกาล อันดับต้นๆ ของเมืองไทย กับเรื่องราวของ 2 สามี (นายมาก) – ภรรยา (นางนาก) ที่อาศัยอยู่ย่านพระโขนง ขณะนั้นนางนากกำลังตั้งท้องอ่อนๆ และนายมากจำต้องเข้ารับราชการทหาร เวลาผ่านไปจนถึงกำหนดคลอด นางนากทุรนทุรายด้วยความทรมานเพราะลูกในท้องไม่ยอมกลับหัว ที่สุดแล้วความเจ็บปวดก็พรากสองแม่-ลูกไปจากโลกมนุษย์ นางนากจึงกลาย “ผีตายทั้งกลม”

หลังจากนั้นไม่นานนายมากก็ปลดประจำการ และกลับมาหานางนากที่บ้าน โดยไม่รู้เลยว่าภรรยาได้เสียชีวิตลงแล้ว ซึ่งนางนากก็ปรากฏตัวมาดูแลปรนนิบัติสามีปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพยาพยามรั้งไม่ให้นายมากออกไปพบใคร เกรงว่าจะรู้ความจริง และแม้จะมีชาวบ้านมาบอก แต่นายมากก็ไม่เชื่อ เพราะทุกวันนี้ก็ยังอยู่กับภรรยา



กระทั่งวันหนึ่งขณะนางนากตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน และทำมะนาวตกใต้ถุน ด้วยความรีบร้อนจึงยืดมือยาวๆ ลงไปหยิบ และบังเอิญนายมากมาเห็นเข้า จึงเข้าใจทุกอย่าง และรู้แล้วว่าภรรยาตัวเองเป็นผี จึงหลบหนีไปอยู่ที่อื่น ส่งผลให้นางนากคับแค้นใจอย่างมาก จนออกตามหานายมากและอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านไปทั่ว จนถูกหมอผีจับถ่วงน้ำครั้งหนึ่ง แต่ไม่นานก็สามารถหลุดออกมาได้ สุดท้ายถูกสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สยบลงได้ และทำการเจาะกระโหลกหน้าผาก มาทำปั้นเหน่งเพื่อสะกดวิญญาณเอาไว้

ปัจจุบันมีการตั้งศาลแม่นาค (ย่านาค) อยู่ที่วัดมหาบุศย์ บนถนนอ่อนนุชซอย 7 โดยมีชาวบ้านนิยมมากราบไว้บูชา เพื่อนำสิ่งของมาสักการะกันอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งตำนานแม่นาค พระโขนงแม้จะถูกนำเสนอในมุมมองของความน่ากลัว ทว่ายังแฝงตำนานรักของนางนากที่ประทับใจผู้ชมอย่างไม่รู้จบ กับความรักที่มั่นคงของภรรยาที่มีต่อสามี ซึ่งแม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้

สู่ภาพยนตร์สุดสะพรึง : “นางนาก”


เรื่องย่อ : ในรัชกาลที่ 4 เกิดสุริยคราสขึ้น ผู้คนแตกตื่น เหมือนกับเป็นเหตุบอกลางร้าย มาก (วินัย ไกรบุตร) ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรบที่ชายแดน ปล่อยให้เมียสาวที่กำลังท้องแก่ชื่อ นาก (อินทิรา เจริญปุระ) อยู่เพียงคนเดียว นากต้องลำบากตรากตรำทำนาอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่ท้องแก่ใกล้คลอด เมื่อเจ็บท้องใกล้คลอด มีลางร้ายนกแสกบินผ่านหลังคาบ้าน นากเสียชีวิตพร้อมลูกขณะคลอด แต่วิญญาณของนางยังคงไม่ไปไหน วนเวียนอยู่บริเวณบ้านและรอคอยการกลับมาของผัวรัก และเมื่อมากกลับมา ผู้คนพยายามบอกมากเกี่ยวกับเรื่องนากที่ตายไปแล้ว มากไม่เชื่อ นากเองก็อาละวาดหักคอผู้คนที่พยามยามบอกเรื่องนี้แก่มาก

จน ในที่สุดมากก็รู้ความจริง เมื่อเห็นมือของนากที่ยาวลงมาเก็บมะนาวที่ใต้ถุนบ้าน มากตกใจวิ่งหนีหลบไปหลังใบหนาด และหนีเข้าไปในโบสถ์ ซึ่งพระและเณรก็สวดมนต์และเอาสายสิญจน์คล้องให้ แต่ผีนางนากก็ยังเข้ามาอาละวาดถึงในโบสถ์ได้ เรื่องจบลงที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีได้ผ่านมาและได้สะกดวิญญาณนางนากให้สงบเพื่อให้ไปเกิดใหม่ และท่านได้เจาะกะโหลกศีรษะนางนากเพื่อเก็บไว้ทำปั้นเหน่งด้วย (ข้อมูล : http://4444plus.blogspot.com)
ทุกเรื่องที่นำมาเสนอจะเชื่อหรือไม่ โปรดใช้วิจารณญาน แต่ถึงอย่างไรก็อย่าลบลู่  เพราะไม่แน่ตอนนี้ อาจมีใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างหลังคุณก็ได้!!.......
** Rip : ทีมงาน PaiNaiDii ขอไว้อาลัยต่อทุกชีวิต ที่ต้องสูญเสีย ในโศกนาฏกรรมต่างๆ ที่กล่าวถึง และขอให้ทุกดวงวิญญาณจงไปสู่สุขคติ **

ขอขอบคุณhttp://www.painaidii.com/diary/diary-detail/286/lang/th/
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้