ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 43479
ตอบกลับ: 197
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

>> พระกริ่งศรีราชาเวท <<

[คัดลอกลิงก์]
พระกริ่งศรีราชาเวทย์




              เป็นพระนามหนึ่ง ของพระเจ้าศรีชัยวรมัน ซึ่งหาคนที่จะรู้จักฉายาพระนามนี้ของท่านไม่ นอกจากหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ ท่านทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงแตกฉานในพระเวทอาถรรพณ์มาก ทรงมีพระโอษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ (วาจาสิทธิ์) เชี่ยวชาญกสิน 4 ชาญยุทธพิชัยสงคราม แม้นวิชาแสงศรกำลังรามพระองค์ก็เจนจบ มีพระแสงขรรค์ไชยศรี คู่บารมี ปราบฟ้าจรดบาดาล พระกริ่งศรีราชาเวทย์ จึงอุบัติสถาปณาขึ้น จากคุณสมบัติมหาบารมีแห่งองค์.. "พระเจ้าศรีชัยวรมัน"

               ใต้ฐานพระกริ่ง ประทับด้วย นะโองการพระเจ้า มหายันต์ของหลวงปู่ชื่น ใช้ทางปราบโรคภัยไข้เจ็บ และปีศาจทั้งปวงสามารถใช้ทำน้ำมนต์

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
พระกริ่งศรีราชาเวทย์
เป็นพระนามหนึ่ง ของพระเจ้าศรีชัยวรมันซึ่งหาคนที่จะรู้จักฉายาพระนามนี้ของท่านไม่ นอกจากหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ
ท่านทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงแตกฉานในพระเวทอาถรรพณ์มาก ทรงมีพระโอษฐ์ศักดิ์สิทธิ์(วาจาสิทธิ์) เชี่ยวชาญกสิน 4ชาญยุทธพิชัยสงคราม
แม้นวิชาแสงศรกำลังรามพระองค์ก็เจนจบ มีพระแสงขรรค์ไชยศรีคู่บารมี ปราบฟ้าจรดบาดาล พระกริ่งศรีราชาเวทย์ จึงอุบัติสถาปณาขึ้น
จากคุณสมบัติมหาบารมีแห่งองค์.. "พระเจ้าศรีชัยวรมัน"
ใต้ฐานพระกริ่ง ประทับด้วย นะโองการพระเจ้า มหายันต์ของหลวงปู่ชื่นใช้ทางปราบโรคภัยไข้เจ็บ และปีศาจทั้งปวงสามารถใช้ทำน้ำมนต์
หลวงปู่ผาด
เททองด้วยตัวท่่านเองหลวงปู่ผาดท่านโยงสายสิจน์เททองหล่อด้วยตัวท่านเองซึ่งเป็นรุ่นแรกและอาจจะเป็นรุ่นเดียวที่ท่านลงมากำกับ
การสร้างด้วยตัวท่านเองหลวงปู่ผาดอธิฐานจิตชนวนมวลสารก่อนเททองหล่ออย่างเข้มขลัง และท่านยังได้กล่าวรับรองถึงอานุภาพ
พระกริ่งศรีราชาเวท ว่า
"ใครใช้ก่อนเดี๋ยวมันก็ได้เห็นก่อน"

พระกริ่งศรีราชาเวทย์(ก้นเงิน)

จัดสร้างโดยคณะศิษย์หลวงปู่ชื่น  (อ.สรายุทธพำนักติคญาโณ)     
เป็นพระกริ่งในตำนานหนึ่งเดียวที่หลวงปู่ผาดลงมากำกับ และให้คำแนะนำทุกขั้นตอนการสร้าง
เป็นเพียงวัตถุมงคลหนึ่งเดียวที่หลวงปู่ผาด  จับสายสูตร เททองหล่อด้วยตัวท่านเอง
นับว่าเป็นมงคลแก่ผู้ได้บูชาครอบครองเป็นอย่างยิ่ง
1. เม็ดลูกปืนหลวงปู่ทิม(หมายเหตุ บรรจุเฉพาะก้นเงิน)
2.ก้านชนวนมวสารแร่ธาตุ พิธีชัยมหานาถ
3.หลวงปู่ผาดเจ้าพิธี เททองหล่อด้วยตัวท่านเองทุกองค์
และเมตตาให้คำแนะนำทั้งฤกษ์ผานาที
พร้อมทั่งเคล็ดลับในการสร้างตลอดพิธี
หลวงพ่อผาดอธิฐานจิตให้อีกหลายวาระ
***ใต้ฐานพระกริ่งประทับด้วย
"นะโองการพระเจ้า"
มหายันต์ของหลวงปู่ชื่นใช้ทางปราบโรคภัยไข้เจ็บและปีศาจทั้งปวง ใช้อารธนาทำน้ำมนต์
***กำไลสัมฤทธิ์โบราณ  เป็นวัสดุธาตุที่ทรงความศักดิ์ในตัวเป็นธาตุที่ผู้ทรงทางจิตยอมรับว่าเนื้อสัมฤทธิ์ซึมซับรองรับกระแสพลังแห่งจิตได้ดีเยี่ยม
เมื่อครั้งที่หลวงปู่ชื่นท่านจัดสร้างวัตถุมงคล ชุด พิธีชัยมหานาถ ลูกศิษย์ของหลวงปู่ชื่น ได้นำมาถวายถึงครึ่งกระสอบปุ๋ย ในว่าขุดพบได้มาจากแถวๆเขาพนมรุ้ง  เป็นกำไลสัมฤทธิ์  
ที่ผ่านการอธิฐานจิตจากหลวงปู่ชื่นแล้วที่เหลือจึงนำมาจัดสร้าง พระกริ่งศรีราชาเวทย์
***ตะกรุดมหาระงับหลวงปู่ชื่น จำนวน2ใน9ดอกที่หลวงปู่สร้างขึ้น  เป็นหนึ่งในสุดยอดชนวนมวลสาร ของพระกริ่งศรีราชาเวทนะ

วิชาทำน้ำมนนต์กับพระกริ่งศรีราชาเวทย์
นะโม ๓ จบ
นะโมพุทธายะพุทโธ สัพพัญญูตะญาโณ
ธัมโมโลกุตตระโรวะโร
สังโฆมัคคสัฏโฐวะ
อิจเจตังรัตนยังสิระสานะมามิ
เอเตนะสังฆานุภาเวนะ สัพะอันตราโยวินัสสันตุ
สัพะธาพุทโธ พุทธัง อรหังพุทโธอิติปิโสภะคะวา นะมามิหัง
พุทธ้งลาโภธ้มมังลาโภ สังฆังลาโภ ชัยโยนิจจัง
ลาภะสุขังภะวันตุเมฯ

นำพระกริ่งอาราธนาตั้งในขันจึงเทน้ำ จุดเทียนไข ๑ เล่ม
ภาวนาพระคาถานี้๗ หรือ ๙ จบ หรือภาวนาจนจิตสงบ
แล้วจึงอฐิษฐานจึงดับเทียนโดยจุ่มลงในขัน
แล้ววนตามขวาไปซ้าย๓ รอบ
แล้วนำมาอาบมาดื่ม
เหมาะแก่การทำกิจอันใดให้สำเร็จลุล่วงฉมังนักแล
ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยให้ใช้พระคาถาสักกัตวาแทน
เมื่ออาบกินน้ำมนต์แล้วจึงหมั่นสวดพระคาถาสักกัตวาทั้งเช้าและเย็น
ขออานุภาพเป็นทั้งอโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมแห่งโรคและรักษาโรคขณะเดียวกัน

"ใครใช้ก่อนเดี๋ยวมันก็ได้เห็นก่อน"
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 14:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระปณิธานอันแน่วแน่ของ
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ในการสถาปนาอโรคยศาลา


“โรคที่เบียดเบียนร่างกายของไพร่ทาสประชาชนนั้น
กลับกลายเป็นโรคทางใจ
ถึงแม้ว่าทุกข์นั้นจะใช่เป็นของตนเอง
แต่ความทุกข์ของราษฎร
ก็เปรียบเหมือนความทุกข์ของผู้ปกครอง..."

.................................................................................

"...พระราชาผู้ปรารถนาความดี และ
ประโยชน์อย่างยิ่งแก่มวลสัตว์โลก
พระองค์ได้เปล่งปณิธานซ้ำอีกครั้งว่า
พระองค์จะช่วยสัตว์โลกทั้งหลายที่จมอยู่ในมหาสมุทร
ให้หลุดพ้นก็ด้วยความดีของพระองค์..."


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 14:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชนวนมวลสาร
พระกริ่งศรีราชาเวท





....................................................................................................




แร่บางไผ่ ที่ช่างหล่อ บดเป็นผงก่อนจะนำลงหลอมประชุมธาตุในประกริ่งศรีราชาเวท


“แร่บางไผ่”

                    จัดได้ว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีแหล่งแร่เฉพาะใน เขตอำเภอ บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรีเท่านั้น โดยในส่วนของพุทธคุณของแร่บางไผ่นั้น จัดได้ว่าเป็นโลหะธาตุที่นักนิยมสะสมพระเครื่องทราบดีว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์เมื่อนำมาสร้างเป็นวัตถุมงคลจะทรงพลานุภาพความศักด์สิทธิ์เข้มขลังดังที่พระเกจิโบราณาจารย์ คือหลวงปู่จัน วัดโมลี จังหวัดนนทบุรี เมื่อในครั้งอดีตได้สร้าง”พระปิดตาแร่บางไผ่” ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสุดยอดวัตถุมงคลที่คงความนิยมแถวหน้าตลอดมาปัจจุบันนี้การสร้างวัตถุมงคลโดยใช้แร่บางไผ่เป็นมวลสารนั้นไม่ค่อยพบเห็นกันมากด้วยเหตุผลที่ว่าพระผู้ที่เก็บแร่บางไผ่นั้นมีน้อยองค์ขณะเดียวกันพื้นที่เก็บแร่นั้นก็ลดลงตามการขยายตัวของเมือง( ในปัจจุบันพื้นที่บางส่วนกำลังถูกขายออกไปเนื่องจากรถไฟฟ้ากำลังจะสร้างผ่านเส้นทางบางจุด)ที่สำคัญคือการสร้างวัตถุมงคลที่ใช้แร่บางไผ่เป็นมวลสารนั้นทำได้ยาก รวมทั้งวัตถุมงคลไม่สวยสมบูรณ์เหมือนการใช้มวลสารอื่นๆพระครูวิสาลสรคุณ (หลวงพ่อไวพจน์ กตปุญโญ) เจ้าอาวาสวัดสามง่าม อ.บางบัวทองจ.นนทบุรี ซึ่งได้ศึกษาวิธีเก็บและหุงแร่บางไผ่ บอกว่า ถิ่นกำเนิดของแร่บางไผ่ความจริงแร่บางไผ่นั้นไม่ได้เกิดที่บางไผ่ แต่เกิดที่คลองบางคูลัด อ.บางใหญ่จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ดินเหนียวเหมาะแก่การเกษตรกรรมมาก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีแร่ชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อดูผิวเผินแล้วเหมือนดินดานจับปึกและมีในเนื้อที่ไม่กว้างนักชาวบ้านที่อาศัยพื้นที่ทำนาทำสวนไม่ทราบเลยว่านี่คือแร่ชนิดหนึ่งเมื่อนำจากธรรมชาติมาหล่อหลอมด้วยไฟแรงสูงแล้วจะมีสภาพกลายเป็นแร่เหล็กทันทีเพราะแม่เหล็กจะสามารถดูดติด แต่ถ้าอยู่ตามธรรมชาติ แม่เหล็กจะดูดไม่ติด ก่อนการเก็บดินที่มีส่วนผสมของแร่บางไผ่ต้องบวงสรวงขอจากเจ้าที่ก่อนโดยจะเก็บได้เฉพาะในช่วงฤดูฝนเท่านั่น ซึ่งถ้าออกไปเก็บนอกฤดูฝนจะไม่พบปัจจุบันนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพราะพื้นที่บริเวณดังกล่าวจากในอดีตที่เป็นเรือกสวนไร่นากลับกลายเป็นหมู่บ้าน โรงงานไปเกือบหมดแล้ว ทำให้สถานที่เก็บแร่น้อยลงไปด้วยซึ่งเป็นไปได้สูงว่าในอนาคตหากมีการสร้างหมู่บ้านจัดสรรมากๆในที่สุดก็จะไม่มีสถานที่เก็บแร่บางไผ่

          "คนอายุร่วม ๑๐๐ ปี เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนนี้มีมากมายในเนื้อที่ของตนแต่พอมาทีหลังค่อยๆ หายไปโดยไม่มีสาเหตุ และถ้าจะเก็บจะต้องบวงสรวงก่อนมิฉะนั้นจะหาไม่เจอและต้องเก็บในฤดูฝนเท่านั้นเมื่อเก็บแร่มาได้แล้ก็นำมาแช่ไว้ในโอ่งน้ำ โดยน้ำที่ใช้แช่นั้นเป็นน้ำคาวปลา (น้ำที่ล้างตัวปลาที่ทำแล้ว) เมื่อต้องการหุงแร่ก็นำไปผึ่งแดดให้แห้งจากนั้นก็เข้าเตาหลอม เมื่อหลอมก้อนดินที่มีส่วนผสมของแร่บางไผ่ก้อนที่หนัก ๑ กิโลกรัมจะได้เนื้อแร่บางไผ่ประมาณ เพียง ๕ ขีด" หลวงพ่อไวพจน์ กล่าวพุทธคุณของแร่บางไผ่
ตามคติความเชื่อเรื่องพุทธคุณของแร่บางไผ่มีความเชื่อกันว่าความอัศจรรย์ดังกล่าวในการทำพระของหลวงปู่จันนั้นผู้นำไปใช้นำมาเล่าขานกันต่อมาว่า คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัย มั่งมีศรีสุข

              ในตำนานหลวงปู่จัน ผู้สร้างพระปิดตาแร่บางไผ่ ท่านมีความรู้ในการเล่นแร่แปรธาตุและรู้จักแร่ธาตุต่างๆ เป็นอย่างดีท่านจึงนำแร่ดังกล่าวนี้มาเพื่อจะแปรธาตุให้เป็นทองคำ และท่านกล่าวไว้อีกว่าแร่นี้มีความศักดิ์สิทธิ์ เมตตา คงกระพันอยู่ในตัวแล้ว จึงไม่สามารถเป็นทองคำได้ท่านจึงหันเหจากการแปรธาตุกลับมาทำเป็นพระปิดตายันต์ยุ่งที่ขึ้นชื่อลือชานักหนาปัจจุบันมีการเช่าบูชากันในราคาเกือบล้าน
นอกจากนี้แล้วแร่นั้นเสมือนมีชีวิตถ้าอยู่ตามธรรมชาติจะต้องอยู่ในน้ำเท่านั้นจึงจะนำมาหล่อหลอมแล้วมีธาตุเหล็กเหลืออยู่ถ้าอยู่ที่แห้งนานๆ ถึงแม้นำมาหล่อหลอมก็จะกลายเป็นเถ้าไม่มีธาตุเหล็กหลงเหลืออยู่เลย และก่อนที่จะนำมาหลอม เมื่อนำมาจากธรรมชาติแล้วต้องเลี้ยงด้วยน้ำคาวปลา แร่นั้นจึงจะมีน้ำหนักสมบูรณ์เมื่อมาหล่อหลอมก็จะไล่ขี้ออกได้ง่ายอย่างน่าอัศจรรย์

             "นักเดินไพรสมัยก่อนอมพระปิดตาแร่บางไผ่ไว้ในปาก เดินได้เป็นวันๆ ไม่ต้องกินน้ำมีกำลังวังชา คนโบราณเอาพระแช่น้ำมันงาไว้ เอาสำลีจุ่มน้ำมางาทัดหูไปเพียงแค่นั้นก็อยู่คงแล้ว อุปเท่ห์การใช้พระแร่บางไผ่ที่ให้คุณวิเศษอีกอย่างหนึ่งคือท่านให้เอาพระแช่น้ำผึ้งไว้แล้วเอาน้ำผึ้งมากินทุกวัน ท่านว่าทำให้มีกำลัง ไม่เหนื่อยง่าย อายุยืนไปไหนมาไหนก็คล่องแคล่วไม่เจ็บป่วย ที่ดินของชาวบ้านที่มีแร่บางไผ่ไม่มีครอบครัวไหนที่ยากจนเลย มีแต่ครอบครัวมั่งคั่งแร่บางไผ่นั้นเมื่อนำมาทำพระโดยสมบูรณ์แล้ว ต้องแช่น้ำมันงาจึงจะเกิดความสวยงามชุ่มฉ่ำ และดูลึกซึ้งยิ่งนัก" นุ เพชรัตน์ กล่าว


ที่มา: www.komchadluek.com

...............................................................................

กำไลสัมฤทธิ์โบราณ


        "สำริด" สามารถเขียนอีกอย่างหนึ่งได้ว่า "สัมฤทธิ์" น่าจะมีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาบาลีว่า สมิทฺธิ แปลว่า “ความสำเร็จ”  

        สำริด สัมฤทธิ์ ทองสำริด หรือ Bronze ในภาษาอังกฤษ ก็คือ “โลหะผสม” ที่เกิดขึ้นจากการเทคโนโลยีในการนำแร่ทองแดงจากธรรมชาติมาหลอมผสมรวมกับแร่ธาตุอื่น ๆ เช่นดีบุก ตะกั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม





         กำไลสัมฤทธิ์โบราณ เป็น วัสดุธาตุที่ทรงความศักดิ์ในตัว เป็นธาตุที่ผู้ทรงคุณทางจิตยอมรับว่าเนื้อสัมฤทธิ์ซึมซับรองรับกระแสพลังแห่งจิตได้ดีเยี่ยม

         เมื่อครั้งหลวงปู่ชื่นท่าน จะจัดสร้างวัตถุมงคลชุด พิธีชัยมหานาถ ลูกศิษย์ของหลวงปู่ ได้นำมาถวายถึง ครึ่งกระสอบปุ๋ย นัยว่าขุดพบได้มาจากแถวๆ เขาพนมรุ้ง เป็นกำไลสัมฤทธิ์ ที่ผ่านการอธิฐานจิตจากหลวงปู่ชื่นแล้ว ที่เหลือจึงนำมาจัดสร้าง พระกริ่งศรีราชาเวท


.......................................................................................................................



ตะกรุดมหาระงับ หลวงปู่ชื่น
จำนวน 2 ใน 9 ดอก ที่หลวงปู่สร้างขึ้น
เป็นหนึ่งในสุดยอดชนวนมวลสารของ
พระกริ่งศรีราชาเวทด้วยนะคร๊าบบบบ ขอบอก !!


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 15:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่ผาด
เททองด้วยตัวท่่านเอง


หลวงปู่ผาดท่านโยงสายสิจน์เททองหล่อด้วยตัวท่านเอง ซึ่งเป็นรุ่นแรกและอาจจะเป็นรุ่นเดียวที่ท่านลงมากำกับการสร้างด้วยตัวท่านเอง





สังเกตู การเรียงเป้าพิมพ์พระกริ่งศรีราชาเวท หลวงพ่อผาดท่านบอกเคล็บลับให้เรียงตามตะวัน ห้ามขวางตะวัน เป็นอันขาด



หลวงปู่ผาดอธิฐานจิตชนวนมวลสาร ก่อนเททองหล่ออย่างเข้มขลัง
และ ท่านยังได้กล่าวรับรองถึงอานุภาพพระกริ่งศรีราชาเวท ว่า


"ใครใช้ก่อนเดี๋ยวมันก็ได้เห็นก่อน"


..................................

เกร็ดความเชื่อ ห้ามขวางตะวัน


           ความเชื่อเรื่องการปลูกเรือน ขวางตะวัน นั้นมีมาแต่โบราณ ผ่านมาสมัยนี้ก็ยังมีหลงเหลือความเชื่อเช่นนี้อยู่ คนโบราณเชื่อว่า ถ้าปลูกเรือนขวางตะวัน หมายถึง หันข้างเรือนไปทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก จะไม่ดี คนอยู่อาศัยในบ้านเรือนจะไม่เป็นสุข

           มักมีเหตุให้เสียตาหรือตาเสีย เพราะไปปลูกบ้านขวางหน้าดวงตะวัน ดังนั้นถ้าจะปลูกเรือนให้ปลูกตามตะวัน หันข้างเรือนไปทางทิศเหนือหรือทิศใต้ จะเป็นมงคลยิ่ง อยู่เย็นเป็นสุข สบาย ไร้ปัญหาแผ้วพาน

           แต่ถ้าเนื้อที่บ้านคับแคบหรือมีเหตุผลอย่างหนึ่งอย่างใดให้ปลูกเรือนหันข้างไปตามดวงตะวันไม่ได้ ก็ต้องหาทางปลูกให้เฉียงตะวันไว้ อย่าให้หันข้างเรือนตรงดวงตะวันตรง ๆ นักก็เป็นอันใช้ได้

           ความเชื่อเช่นนี้หากพิจารณาเหตุผลนั้นก็มีโดยเป็นไปตามคติโชคลางที่ถือกันมาก คนแต่ก่อนไม่ว่าชาติใดภาษาใด จะเชื่อกันว่าตะวันตก เป็นทิศที่ไม่ดี

          เพราะเป็นทางพระอาทิตย์ตกหรือลับดวงไป มีแต่ตกไม่มีขึ้น เท่ากับเป็นทางไปสู่ความตาย เพราะฉะนั้นการนอนของคนเป็นจึงถือคติว่า ไม่ให้หันหัวนอนไปทางทิศตะวันตก

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 15:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระกริ่งศรีราชาเวท
หล่อโบราณ เทดินไทย
เนื้อนวะเต็มสูตร

จัดสร้าง 2 แบบ
ก้นเงิน และ ก้นทองแดง







ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 15:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความเป็นมาของพระกริ่ง

         พระกริ่ง อันเป็นนามเรียกพระหล่อโลหะ ขนาดเล็กที่เขย่าแล้วมีเสียงกรุ๊ก กริ๊กๆ ซึ่งปัจจุบันพบเห็น บูชากันได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับประวัติการสร้างพระกริ่งนั้น ในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้ มีประวัติการสร้างพระกริ่งมายาวนานพอสมควร

         และพระกริ่งอันลือชื่อของประเทศไทยนั้น จากจุดกำเนิดแห่งเดียวและได้แยก แตกสายออกไป สร้างพระกริ่งกันหลายวัด หลายสำนัก ที่โด่งดังคือ ๑. วัดบวรนิเวศวิหาร ๒.วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส (วัดสามปลื้ม) ๓. วัดสุทัศน์เทพวราราม

         รูปแบบองค์พระกริ่งมาตรฐาน มีพระพุทธลักษณะประทับนั่งบนกลีบบัวคว่ำ บัวหงาย ปางมารวิชัย เพียงแต่บนพระหัตถ์ซ้ายจะปรากฎหม้อยาบ้าง วัชระบ้าง ซึ่งองค์พระกริ่งนี้ได้ถูกจำลองจาก "พระไภสัชคุรุ" เป็น พระพุทธเจ้าปางหนึ่งของลัทธิมหายาน ซึ่งหมายความว่า ทรงเป็นครูในด้านเภสัช คือ การรักษาพยาบาล

ทั้งนี้นิกายมหายานได้เผยแพร่สู่ดินแดนธิเบต จีน และกัมพูชา จึงมีคติสร้างพระกริ่งเพื่อทำการสักการะบูชา


        ในประเทศจีนและธิเบต ฝ่ายไทยเรียก พระกริ่งนอก, พระกริ่งใหญ่ หมายถึงพระกริ่งนอกประเทศ ส่วนพระกริ่งใหญ่ หมายถึงพระกริ่งที่มีขนาดใหญ่ พระกริ่งจีนมีความอวบอิ่มบนพระพักตร์ แสดงความเป็น "จีน" เอาไว้อย่างเต็มรูปแบบ และส่วนใหญ่เป็นการสร้างเพื่อไว้เป็นพระบูชาประจำราชวงศ์


        การสร้างพระกริ่งนี้มีมาแต่โบราณกาลแล้ว เริ่มขึ้นที่ประเทศทิเบตก่อน ต่อมาก็ประเทศจีน และประเทศเขมร และมีข้อความอีกตอนหนึ่งได้กล่าวถึงพระพุทธลักษณะของพระกริ่งไว้ ดังนี้

          พระพุทธลักษณะของพระกริ่ง เป็นแบบพระพุทธรูปมหายานทางประเทศทิเบต และปรากฏว่าในประเทศเขมรก็มีพระกริ่งแบบนี้เหมือนกับเราเรียกกันว่า "กริ่งปะทุม" ประเพณีนิยมสร้างพระกริ่งของไทยจะได้ครูจากเขมรเป็นแน่แท้ และมีการสร้างกันในยุคกรุงสุโขทัยแล้ว ที่กล่าวว่าตำราสร้างพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เดิมเป็นของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้วก็น่าจะจริง เพราะสมเด็จพระพนรัตองค์นั้นท่านคงจะได้รวบรวมวิธีการสร้างตำรับตำราเก่า ๆ และในสมัยนั้น วัดป่าแก้วก็นับถือกันว่าเป็นสำนักอรัญญิกาวาส สมถธุระวิปัสสนาธุระ

          พระกริ่งก็คือ พระปฏิมาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นที่นิยมนับถือของปวงพุทธศาสนิกชน ฝ่ายลิทธิมหายาน ยิ่งนัก ปรากฏพระประวัติมาในพระสูตรสันสกฤตสูตรหนึ่ง คือ

"พระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชามูลประณิธานสูตร" แปลเป็นจีนในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐...


          ก็เป็นอันว่า "พระกริ่ง" นั้นเป็นพระเครื่องที่ได้แบบมาจากทิเบต หมายถึงพระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุซึ่งหมายความว่า ทรงเป็นครูในด้านเภสัช คือ การรักษาพยาบาล เพราะฉะนั้นจึงนิยมใช้อธิษฐานแช่น้ำทำเป็นน้ำพระพุทธมนต์แล้วดื่มกินเชื่อว่ารักษาโรคภัยไข้เจ็บแม้แต่อหิวาตกโรคได้


             คำว่า "กริ่ง" นี้ มาจากคำถามที่ว่า "กึ กุสโล" (กิง กุสะโล)  คือ เมื่อพระโยคาวจรบำเพ็ญสมณธรรม มีจิตผ่านกุศลธรรมทั้งปวงเป็นลำดับไปแล้ว ถึงขั้นสุดท้าย จิตเสวยอุเบกขาเวทนา ปุญญาภิสังขาร



พระไภสัชยคุรุพุทธเจ้า



         ดังที่กล่าวมาจากพระคัมภีร์ไภสัชยคุรุไวฑูรย์ประพาตภาสูตรว่า ในทางทิศตะวันออกไกลจากพุทธเกษตรออก ไปเป็นสิบเท่าของเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา มีโลกอยู่อีกโลกหนึ่งสะอาดบริสุทธิ์ดุจดั่งมณีสีฟ้า มีพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ไภสัชยคุรุผู้ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง ไว้ซึ่งความบริสุทธิ์สมบูรณ์ทั้งจิตใจและกาย พระองค์ทรงรอบรู้ในสัจจะธรรม ทรงหยั่งรู้ในโลกทรงเป็นผู้ชี้ทางให้มวลมนุษย์และเหล่าสรรพสัตว์ ด้วยความชำนาญดุจเดียวกับสารถีผู้ชำนาญในการบังคับม้า ทรงเป็นศาสดาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไภสัชยคุรุไวฑูรย์ประภาคเจ้า ในสมัยที่พระองค์ทรงดำรงพระภาคเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ทรงตั้งปณิธานไว้ ๑๒ ประการ

         เมื่อพระองค์ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์และบรรยายถึงคุณธรรม และคุณลักษณะแห่งดินแดนพุทธเกษตร ของพระองค์เป็นดินแดนบริสุทธิ์เป็นนิรันดร์ปราศจากนรกไม่มีวันได้ยินเสียงคร่ำครวญอันเนื่องมาจากความเจ็บปวด บนพื้นธรณีที่เป็นอัญมณีสีฟ้ามีลายทองเชื่อมโยงกับโลกมนุษย์แห่งนี้ ผนังกำแพงปราสาท ราชวังและระเบียงประดับด้วยอัญมณีมีค่า 7 ประการ ความงดงามเทียบได้กับดินแดนสุขวงศ์แก่งโลกพุทธเกษตรทางทิศตะวันตก มีพระมหาโพธิสัตว์ 2 พระองค์ ทรงพระนามว่า สุรยะประภาอีกพระองค์หนึ่งชื่อว่า จันทรประภา ทั้ง 2 พระองค์นั้นทรงเป็นผู้ยำของเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย อันมีจำนวนมากนับไม่ถ้วน ทรงเป็นตัวแทนของผู้พิทักษ์รักษาพระธรรมแห่งองค์ไภสัชยคุรุพุทธเจ้า และยังมีเหล่ามหาเสนาบดียักษ์อีก 12 ตน ซึ่งทั้ง 12 ตนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นองค์อวตาล จากอดีตพระพุทธและอติตโพธิสัตว์เพื่อรับสนองมหาปณิธานดูแล และสอดส่องเหล่าสรรพสัตว์ในทุกโมงยามเพื่อสรรพสัตว์ทั้ง หลายหลุดพ้นจากภัยพิบัติ ไม่ว่ามนุษย์และสัตว์ตลอดจนต้นไม้หรือสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ล้วนแต่เกิดอยู่ภายใต้ 12 นักษัตร ดังนั้นทุกคนที่เกิดภายใต้ 12 ราศี หรือ 12 นักษัตร จะต้องทำความดีและปฏิบัติอยู่ในศีลธรรมจึงได้รับการคุ้มครองจากบารมีแห่งองค์พระไภสัชยคุรุพุทธเจ้าและเหล่าอดีตพุทธทั้ง 12 พระองค์ให้ปราศจาก โรคาพยาธิ อยู่ดีกินดี หลุดพ้นจากทุกข์ภัย


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-28 15:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
              
พระไภสัชคุรุพระพุทธเจ้า

ที่เผยแผ่มาสู่อาณาจักรขอมโบราณ




รูปพระพุทธเจ้าไภสัชยคุรุไวฑูรยประภาสุคต ประธานแห่งอโรคยศาลา.
ปราสาทกุฏิฤาษีพิมาย จังหวัดนครราชสีมา


          เมื่อความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารของพระพุทธรูปไภษัชยคุรุปรากฏตามที่ได้พรรณามา  พวกพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายาน จึงเคารพนับถือยิ่งนักมีพระพุทธปฏิมาขอพระไภษัชยคุรุบูชากันทั่วไปในวัด  ประเทศจีน ญี่ปุ่น  ธิเบต  เกาหลีและเวียดนามที่สุดจนในประเทศเขมรและประเทศไทย  สำหรับประเทศไทยแม้จะนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายลังกาวงศ์ลัทธิสาวกยานแต่ก่อนนั้นขึ้นไปเราก็เคยรับเอาลัทธิมหายานมานับถืออยู่ระยะหนึ่งเป็นลัทธิมหายานซึ่งแพร่ขึ้นมาจากอาณาศรีวิชัยทางใต้  และที่แพร่หลายมาจากเขมร ไทยเพิ่งจะเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ฝ่ายลังกาวงศ์ก็เมื่อยุคสุโขทัยนี้เท่านั้น  อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งตั้งแว่นแคว้นอยู่บนคาบสมุทรมลายู ตั้งแต่ พ.ศ.1200 – 1700 รวมเวลานานราว 600 ปี เป็นอาณาจักรที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน  และนำลัทธิมหายานให้แพร่หลายในหมู่เกาะชวา  มลายู  ตลอดขึ้นมาจนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา


เศียรพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร  ขุดพบที่ปราสาทจอมพระ
ในปี  พ.ศ. 2530  กรมศิลปกรบูรณะครั้งที่ 1


        ส่วนเขมรนั้นปรากฏว่ามีทั้งลัทธิมหายานและลัทธิพราหมณ์เจริญแข่งกัน กษัตริย์ของเขมรหรือขอมในสมัยนั้นบางองค์ก็เป็นพุทธมามกะ  บางองค์เป็นพราหมณ์มามกะ ในราว พ.ศ.1546 – 1592 กษัตริย์เขมรพระองค์หนึ่งทรงนามว่า พระเจ้าสุริยะวรมันที่ 1 ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากจนถึงกับเมื่อสวรรคตแล้วมีพระนามว่า “พระบรมนิวารณบท”  พระองค์เป็นเชื้อสายกษัตริย์จากอาณาจักรศรีวิชัย  ฉะนั้น  จึงไม่ต้องสงสัยว่า ลัทธิมหายานจะไม่เฟื่องฟุ้งขึ้น ในรัชสมัยของพระองค์  


พระเจ้าชัยวรมันที่ 7


           แต่ก็ยังมีกษัตริย์อีกพระองค์คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7  ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1724 – 1748 พระองค์ทรงเป็นมหายานพุทธมามกะโดยแท้จริง  ทรงพยายามจรรโลงลัทธิราชองค์สุดท้ายของเขมร  เพราะเมื่อสิ้นพระรัชสมัยแล้ว  เขมรก็เข้าสู่ยุคเสื่อม  พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์นี้ปรากฏว่าเป็นผู้สร้างเมืองใหม่ ชื่อนครชัยศรี คือ ปราสาทพระขรรค์สำหรับเป็นพุทธสถานประดิษฐานพระปฏิมาอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์  อันเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณาที่สำคัญอย่างยิ่งองค์หนึ่งของลัทธิมหายานทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าธรณินทรวรมันพระมหาชนก แล้วสร้างพระปราสาทตามพรหม ประดิษฐานพระปฏิมาปรัชญาปารมิตาโพธิสัตว์แห่งปัญญา  อุทิศแด่พระวรราชมารดามีจารึกกล่าวว่า ปราสาทตาพรหมเป็นอาวาสสำหรับพระมหาเถระ 18 องค์และสำหรับพระภิกษุอีก 1,740 รูปด้วยแล้วทรงสร้างพระปราสาทบายนเป็นที่ประดิษฐานพระรูป สนองพระองค์เอง นอกจากนี้ปรากฏในศิลาจารึกตาพรหมว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างโรงพยาบาล คือ “อโรยศาลา” เป็นท่านทั่วพระราชอาณาจักรถึง 102  แห่งด้วยทรงเคารพนับถือพระพุทธไภษัชยคุรุยิ่งนัก  จึงทรงพยายามอนุวัติตามพระพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น



พระชัยพุทธมหานาถ


นอกจากนั้นกษัตริย์นักก่อสร้างพระองค์นี้ ยังได้สร้างรูปพระปฏิมา


“ ชยพุทธมหานาถ ”


         พระราชทานไปประดิษฐานไว้ในเมืองอื่น ๆ 23 แห่ง  ทรงสร้างธรรมศาลา ขุดสระน้ำ สร้างถนน จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ข้าพเจ้าปราถนาจะกล่าวว่า

พระกริ่งปทุม


         ของเขมรได้สร้างขึ้นอย่างแพร่หลายกว่าทุกยุคในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นี้ เพื่ออุทิศบูชาแด่พระพุทธไภษัชยคุรุ และได้มีการสร้างบ้างแล้วในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ในการสร้างนั้นได้มีพิธีปลุกเสกประจุฤทธิ์เข้าไปตามกระบวนลัทธิมหายาน  ซึ่งปรากฏในพระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชามูลประณิธานสูตรนั้น พระกริ่งปทุมจึงมีฤทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์  


พระกริ่งบาเค็ง หรือ พระกริ่งปทุมสุริยวงศ์


          ภายหลังเมื่อลัทธิมหายานเสื่อมสูญ คติการสร้างพระกริ่งยังคงสืบทอดกันมาและกลับมาแพร่หลายในหมู่ชาวไทย ลาว แต่นานวันเข้าก็ลืมประวัติเดิม  วิธีสร้างแบบเดิม ทั้งนี้เพราะพระสูตรมหายานเป็นภาษาสันกฤตเลือนไปตามลัทธิมหายาน  ด้วยพระเกจิอาจารย์ท่านได้ดัดแปลงวิธีสร้างใหม่ตามแบบไสยเวท เช่น การลงยันต์ 108 และนะปถนัง 14 นะ ในแผ่นโลหะ เป็นต้น  ก็ให้ผลความศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน  ถ้ามาตรว่าทำให้ถูกพิธีกรรมใหม่นี้จริง ๆ ส่วนเม็ดกริ่งในองค์พระนั้นสันนิษฐานได้เป็น 2 ทาง คือทางหนึ่งเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธภาวะอันมีคุณลักษณะ อนาทิเบื้องต้นไม่ปรากฏ  จึงทำเป็นเม็ดกลม อีกทางหนึ่งชะรอยจะอนุวัติที่ว่าแม้เพียงได้สดับพระนามก็อาจให้ได้รับความสวัสดีได้ จึงใช้ประจุเม็ดกริ่งไว้  เพราะเมื่อสร้างองค์พระทุกครั้งจะได้บุญ 2 ต่อ คือสร้างเท่ากับได้เจริญภาวนาถึงพระไภษัชยคุรุ ส่วนผู้อื่นที่ได้ยินเสียงกริ่งก็พลอยได้บุญตามไป ฉะนั้น






เขาพนมบาเค็ง สถานที่ ค้นพบพระกริ่งปทุมสุริยะวงศ์(พระกริ่งบาเก็ง)

              พระกริ่งปทุมสุริยวงค์ เป็นพระกริ่งที่สร้างขึ้น ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ของเขมร ราว พ.ศ.1724 - 1748  เป็นพระกริ่งองค์แรกที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราช อันดับที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

            ทรงนำพระกริ่งปทุมสุริยวงค์มาเป็นต้นแบบในการสร้างพระกริ่งปวเรศเป็นครั้งแรกของพระองค์ โดยดัดแปลงเค้าหน้าให้เป็นแบบไทยๆ ซึ่งเป็นตำนานการสร้างพระกริ่งที่โด่งดังของไทยสืบต่อมา ไม่ว่าจะเป็นของวัดบวรฯหรือของวัดสุทัศน์ฯมาจนถึงปัจจุบันนี้




พระนาคปรกที่ขอมนิยมสร้างหรือแม้นกระทั่งพระพุทธชัยมหานาถ
ก็หมายถึง พระไภสัชคุรุพระพุทธเจ้า นั่นเอง

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
"พระกริ่งศรีราชาเวท"

"เปรียบดั่งเพชรที่รอวันจรัสแสง"
ชอบมากครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้