ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 77
ตอบกลับ: 1
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

>>>ตะกรุดไก่แก้วมหารูด<<<

[คัดลอกลิงก์]
ตระกรุดไก่แก้วมหารูด
         ตะกรุดไก่แก้วมหารูด จัดสร้างโดย อ.สรายุทธ พำนักติคญาโณ
เพื่อสืบสานบูชาพระคุณครู ตามตำราเก่าก่อนที่บูรพาจาร์ยท่านได้รจนาเอาไว้……(หลวงปู่หล้า อุตตโม)จัดสร้าง32ดอก


           ตระกรุดไก่แก้วมหารูด ปี 2567   จัดสร้างเพื่อบูชาครู ตามตำรับบูรพาจารย์ (หลวงปู่หล้า อุตตโม)


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2024-11-12 10:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
               หลวงปู่หล้า วาจาสิทธิ์ เทพเจ้าแห่งตำบลเกาะแก้ว แดนแห่งไกปืนเทียงในสมัยนั้น เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าดงดิบมีทั้งเสือสิงห์กระทิงช้างและสัตว์นานาชนิด อาศัยอยู่มากมาย ในน้ำก็มีจระเข้ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่แห่งสายน้ำ ดังคำที่ว่าจระเข้เจ้าแห่งนที อินทรีเจ้าแห่งเวหา พยัคฆาเจ้าแห่งพงษ์ไพร ในเขตตำบลเกาะแก้วมีลำน้ำอันเกิดจากธรรมชาติอยู่สายหนึ่ง เรียกชื่อว่าลำน้ำห้วยใหญ่ ลำห้วยสายนี้มีวังลึกอยู่ที่หนึ่ง ชุมชนในย่านนี้ เรียกวังน้ำแห่งนี้ว่า วังโพรงตะเข้ เพราะมีจระเข้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก    ประมาณปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีผู้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งอพยพมาจากตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ มาตั้งรกรากประกอบสัมมาอาชีพ อยู่ข้างวังน้ำแห่งนี้ และตั้งชื่อชุมชนของตนเองว่า บ้านวังโพรงตะเข้ ต่อมาคำว่า ตะ หายไป ปัจจุบันจึงเรียกว่าวังโพรงเข้เท่านั้น เมื่อชุมชนใหญ่ขึ้นเป็นธรรมดาของชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา สิ่งที่เป็นฉัตรแก้วของชุมชน ก็คือวัดราวปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ผู้นำชุมชน คือนายชื่น ได้เป็นผู้นำในการสร้างวัด และเรียกวัดตามชื่อของหมู่บ้าน เมื่อสร้างเสนาสนะบางส่วนสำเร็จแล้ว ก็ได้ไปนิมนต์พระจากวัดแห่งหนึ่ง ในตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่สองรูป ชื่อพระโฮม กับพระหนอมมาจำพรรษา วัดของชุมชนบ้านวังโพรงเข้ก็เจริญตามสภาพมาโดยลำดับ

               หลวงปู่หล้าตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเปรียบเสมือนเทพเจ้าของประชาชนชาวตำบลเกาะแก้ว เพราะในสมัยนั้นทางการแพทย์ยังเข้าไปไม่ถึง เมื่อยามเจ็บป่วยไข้ชาวบ้านในย่านนั้น ก็ได้อาศัยยาสมุนไพร น้ำมนต์ เวทมนต์หลวงปู่เป็นที่พึ่งแทนหมอ ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อไม่ถึงที่ตายก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บที่มาเบียดเบียนหลวงปู่จึงเป็นที่เคารพนับถือของชุมชนสำหรับเป็นที่พึ่งทางใจ
               ในยุคแรกหลวงปู่หล้าทำ ตะกรุดสามพันตึง แจกประชาชนเมื่อมีผู้ต้องการเป็นจำนวนมากจนหาโลหะทำตะกรุดไม่ทัน หลวงปู่จึงทำผ้ายันต์สามพันตึง ซึ้งวัตถุดิบหาง่ายกว่าแจกจ่าย จนพอเพียงแก่ความต้องการ ในปีต่อ ๆ มาเมื่อประชาชนต่างถิ่นได้ยินกิติศัพท์ของหลวงปู่หล้า และอภินิหารของตะกรุดสามพันตึง ประชาชนจึงพากันมาขอ หลวงปู่บอกว่าสร้างได้หนเดียว สร้างอีกไม่ได้ อาจารย์ห้าม แต่ผู้ที่ต้องการก็อ้อนวอนขอ หลวงปู่ทนอ้อนวอนไม่ได้ จึงสร้าง ตะกรุดหกพันตึง และ เก้าพันตึง แจกจ่ายตามลำดับ  และต่อมาไม่ทราบปี พ.ศ. นายสำราญ เครือนิล ไม่ทราบยศตำแหน่งและปลัดแสวงไม่ทราบนามสกุล ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ให้มาปราบเสือขาวและสมุน นายร้อยสำราญ เครือนิล และปลัดแสวงได้นำไก่ฟ้าสีขาว มาถวายหลวงปู่คู่หนึ่ง และขอตะกรุดหลวงปุ่ พร้อมเล่าเรื่องที่เบื้องบนสั่งให้มาปราบเสือขาว ให้หลวงปู่ฟัง จึงมาขอของขลังไปคุ้มครองตัว หลวงปู่จึงทำ ตะกรุดโทนพญาไก่แก้ว ให้ท่านทั้งสอง และคนอื่น ๆอีกไม่ทราบจำนวน หลังจากได้ตะกรุด จากหลวงปู่ไปแล้วนาน นายร้อยสำราญ เครือนิล และ ปลัดแสวงพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ ก็ปะทะกับเสือขาวและสมุน ที่ป่าข้างคลองแห่งหนึ่งห่างจากตัวอำเภอโคกสำโรงไปทางทิศเหนือ ประมาณสามกิโลเมตร เสียงปืนการปะทะกันระหว่างขุนโจรกับเจ้าหน้าที่ดังสนั่นหวั่นไหวได้ยินไกลหลายกิโล ทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กันประมาณ ๒๐ นาที ฝ่ายโจรก็ล่าถอย เมื่อเสียงปืนสงบลงเจ้าหน้าที่เข้าเคลียพื้นที่ ปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเสียชีวิตและบาดเจ็บ เลือดสักหยดก็ไม่มีให้เห็นเมื่อข่าวการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและขุนโจรชื่อดัง แพร่สพัดไปว่าไม่มีใครเป็นอะไรและมา รู้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างเคยมาเอาวัตถุมงคลจากหลวงปู่หล้า ผู้คนที่ทราบข่าวนี้ต่างแห่กันมาขอวัตถุมงคลจากหลวงปู่เป็นจำนวนมาก หลวงปู่จึงสร้าง ตะกรุดมหารูดพญาไก่แก้ว แจกจ่ายแต่ผู้ที่ต้องการตะกรุดมีมากแต่ตะกรุดทำได้ช้าจึงไม่ทันแก่ความต้องการ หลวงปู่จึงให้พระจำปีแกะพิมพ์พระขุนแผนด้วยหินลับมีดโกน และสร้าง พระขุนแผนประจัญบาน แจกจ่ายให้กับประชาชนที่ต้องการอย่างทั่วถึง

            หลังจากหลวงพ่อสร้างพระขุนแผนประจัญบานแล้วก็ไม่สร้างอะไรอีกหลายปีและก็ไม่รับแขกด้วย หลวงพ่อเข้าไปอยู่ในป่าห่างวัดหลายร้อยวา พระกับชาวบ้านต้องตามไปสร้างกุฏิให้ท่านที่ในป่าและผัดกันเอาข้าวปลาอาหารไปถวาย    ปี พ.ศ.๒๔๙๐ หลวงพ่อก็ออกจากป่ามาอยู่วัดตามปกติหลังจากหลวงพ่อออกจากป่ามาแล้วท่านก็เปลี่ยนแนวการสร้างวัตถุมงคลทางคงกระพันชาตรี มาเป็นทางเมตตา ในปีดังกล่าวหลวงพ่อได้ทำ สีผึ้งสัมพันธ์ตึง และสร้าง พระขุนแผนไก่แม่ปลาช่อน แจกจ่าย
           เวลามีคนมาขอหรือบูชา สีผึ้งสัมพันธ์ตึงกับหลวงพ่อ ผู้หญิง หลวงพ่อจะให้รับสีผึ้งมือซ้าย ผู้ชายจะให้รับมือขวา เมื่อรับแล้วจะให้ยื่นมือข้างที่รับออกไปจนสุดแขน และให้ดมที่มืออีกข้างหนึ่งถ้าใครไม่ได้กลิ่นสีผึ้งหอมผ่านมาที่มืออีกข้างหนึ่งไม่ต้องเอาไป แต่ก็ปรากฏว่าทุกคน ที่ได้รับสีผึ้งก็จะได้กลิ่นหอม ผ่านมือผ่านแขน มาอีกข้างหนึ่ง   หลังจากหลวงพ่อแจกสีผึ้งสัมพันตึง และพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อนได้ไปประมาณสองเดือน ก็เริ่มมีญาติโยมมาต่อว่าหลวงพ่อ ถึงอภินิหารสีผึ้งสัมพันตึง และพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน ซึ่งก้มีการต่อว่าซึ่งไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก โดยเฉพาะโยมผู้หญิงซึ่งไม่ชอบใจเลยกับสีผึ้งสัมพันตึง และขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน มีโยมผู้หญิงหลายคนที่แอบขโมยสีผึ้ง และขุนแผนดังกล่าวของโยมผู้ชายมาคืนหลวงพ่อ และยิ่งนานวันก้อมีโยมผู้หญิงมาต่อว่ามากขึ้น จนวันหนึ่งคุณนายของท่านสำราญ เครือนิล และคุณนายปลัดแสวง นำภัตตาหารเพลมาถวายหลวงพ่อ และก้อต่อว่าหลวงพ่อถึงเรื่องความขลังของสีผึ้งสัมพันตึง กับพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน เมื่อคุณนายทั้งสองกลับไปแล้ว หลวงพ่อก้อพูดกับผมว่า

"คือสิบ่เข้าท่าแล้วละ เจ้าจำปีเอ๊ย บ่คึดว่ามันสิขลังปานนี่หน่ะ"
<คงไม่ได้การแล้วนะเจ้าจำปี ไม่คิดว่ามันจะขลังขนาดนี้>

          และคืนวันนั้นหลังจากพระลูกวัดเข้าห้องจำวัดกันหมดแล้ว หลวงพ่อท่านก้อนั่งสมาธิหน้าพระประธานที่ใช้ทำวัดสวดมนต์ประจำ ผมรู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่เห็นหลวงพ่อนั่งสมาธิตรงนั้น เพราะปกติหลวงพ่อจะนั่งสมาธิในห้องของท่าน   พอตีสี่ผมก้อตื่นขึ้นมาตีระฆังทำวัตรเช้าตามกิจวัตรที่เคยปฏิบัติมา เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก้อมาจุดเทียนหน้าพระประธานที่ทำวัตรสวดมนต์ พอแสงไฟจาเเปลวเทียนสว่างขึ้น ผมต้องแปลกใจเมื่อเหนตลับสีผึ้งหลากหลายรูปแบบ และพระขุนแผนกองอยู่บนเสื่อ หน้าพระประธ่นที่หลวงพ่อนั่งสมาธิเมื่อคืนนี้เปนจำนวนมาก ผมจึงพูดกับพระลูกวัดด้วยกันว่า "หลวงพ่อเอาสีผึ้งกับพระขุนแผนมาจากไหนอีก ก้อแจกจ่ายไปหมดแล้วนี่นาทำไมเหลือมากขนาดนี้" แต่พอพิจารณาดูก้อรู้ว่าเปนสีผึ้งและพระขุนแผนที่แจกญาติโยมไปแล้วนั่นเอง ผมขนลุกไปทั้งตัวจนต้องยกมือขึ้นกุมหัว  เหมือนคนหวาดเสียวสุดขีด<ขนลุกขนชัน>แม้ตอนเสือขาวยกปืนยิงใส่หลวงพ่อก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนหลวงพ่อเรียกงัวโยมโสมขึ้นจากหล่มก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนเอาไม้เท้าหวายทิ่มพุงโยมลาให้ฟื้นจากงูจงอางกัดก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนช้างพวกอโยธยาจับควนฟาดกับพื้นและกระทืบซ้ำก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนเรียกจระเข้ขึ้นจากสระก้อไม่รู้สึกอย่างนี้

          เมื่อหลวงพ่อออกจากห้องทำวัตรเช้าผมก็ถามหลวงพ่อว่า ทำไมหลวงพ่อเรียกของกลับคืนมาหมด ทำไมไม่ถอนอาคมเฉย ๆ หลวงพ่อตอบว่า วิชาอาคมที่ทำลงไปแล้วเขาไม่ถอนกันดอก ถ้าถอนของที่ทำไปแล้วทำครั้งต่อไปก็จะไม่ขลัง หรือของที่ทำแล้วและให้เขาไปหมดแล้ว  ก็ไม่ต้องกลับไปทำซ้ำอีก ต้องทำอย่างอื่นไปเรื่อย ๆ ดัดแปลงเอาอันเก่านั่นแหละแต่ไม่ทำแบบเก่า ทำของพวกนี้มีพลังเท่าไหร่ต้องอักใส่ให้หมด หมดแล้วหมดเลย กลับไปทำอีกมันก็ไม่ขลัง เพราะมันหมดแล้วในจุดนั้น ๆ อย่าคิดกลับไปทำอีก นี้คือเคล็ดลับในการทำของขลัง









ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้