ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1868
ตอบกลับ: 1
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ท่านเจ้าคุณ นร

[คัดลอกลิงก์]
�เรื่องของอภินิหาร ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์ฯ� ที่ประสบกับ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล


เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2520 ผู้เขียนได้รับบทความมา ชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก นับนานถึงวันนี้เป็นเวลาล่วงมา 43 ปีเข้าไปแล้ว ท่านผู้เขียนท่านนี้ก็ได้ล่วงลับไปแล้ว ครั้งนั้นท่านเมตตาผู้เขียนมาก บทความชิ้นนั้นท่านนิพนธ์ขึ้นเพื่อช่วยผู้เขียนในการจัดทำหนังสือชื่อ �พุทธเวทย์� โดยให้ลงเผยแพร่ ก็ได้รับความสนใจจากผู้อ่านมาก หากจะนำมาเสนออีก ท่านผู้อ่านจำนวนมากคงไม่ได้เคยอ่านมาก่อนแน่นอน  


เรื่องนี้ชื่อว่า �เรื่องของอภินิหาร� นิพนธ์โดย พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล ผู้เขียนขออนุญาตนำมาเสนอ โดยรวบรัดเนื้อหาให้พอดีกับหน้าหนังสือ ลานโพธิ์ แต่ลีลาสำนวนการเขียนคงอรรถรสเดิมๆ ทั้งสิ้น มีเนื้อความดังต่อไปนี้


ข้าพเจ้า (พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล) ได้เคยกล่าวไว้ว่า ความเห็นของข้าพเจ้า เรื่องอภินิหาร นั้นเกิดจากพลังจิตของหลายฝ่าย อาทิเช่น พลังจิตของพระพุทธเจ้า พลังจิตของอาจารย์ และพลังจิตของบุคคลมารวมกันเข้าเป็นพลังรวม และพลังจิตทั้งสิ้นนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน  ซึ่งมีหลายวิธีการและหลายลัทธิ แม้แต่พลังของจิตที่เป็นธรรมชาติที่คนบางคนมี แต่ถ้าเป็นกำลังจิตที่แท้จริงแล้วก็ย่อมมีพลังทั้งสิ้น


แต่ก็อีกนั่นแหละ ดังเช่นที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้แล้วในตอนต้น ของบทเขียนนี้ว่า ถึงแม้จะยังไม่มีข้อที่จะพิสูจน์ให้แน่แท้ว่ามีพลังอย่างไร แม้แต่ว่ามีจริงหรือเปล่าก็ยังยืนยันได้ยาก แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีปราชญ์ หรือมีนักวิทยาศาสตร์ผู้ใดจะพึงกล้ายืนยันว่า พลังจิตนั้นไม่มีจริง และจะเกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด


ข้าพเจ้าจึงจะขอนำเรื่องที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเอง เมื่อไม่กี่ปีมานี้มาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ จะพิสูจน์ จะวิจัยกันได้หลายทาง สุดแล้วแต่ท่านผู้อ่านจะนึกคิดวิจัยกันเอง


เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ข้าพเจ้าไปเป็นผู้แทนพระองค์ ในงานฉลอง 2500 ของวันที่พระเจ้าไซรุสมหาราช ทรงรวมจักรวรรดิเปอร์เซีย (อิหร่าน) ขึ้น งานเฉลิมฉลองนี้ พระเจ้าซาร์อิหร่านองค์ปัจจุบัน ทรงจัดให้มีการฉลองเฉลิมขึ้นที่เมืองเพอเซพโพลิส (เมืองโบราณ) ซึ่งเป็นการฉลองที่มโหฬาร ที่ทั้งองค์ประมุขและประมุขประเทศแทบทุกประเทศในโลก ได้รับเชิญ และจะไปประชุมกันในโอกาสนั้น


ก่อนกำหนดวันเดินทางของข้าพเจ้าหนึ่งวัน ซึ่งมีกำหนดจะต้องออกเดินทางเวลาเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเกิดป่วยเป็นไข้หวัดอย่างแรง ไข้สูงมาก จนมิสามารถจะยืนทรงตัวได้ อีกทั้งยังไอโขลกๆ อยู่มิได้ขาด จนเจ็บไปทั่วอก แพทย์ผู้รักษาทั้งที่พยายามที่จะรักษาให้ข้าพเจ้าค่อยยังชั่วให้ไปได้ก็ยอมแพ้ โดยบอกกับข้าพเจ้าว่า เนื่องจากสภาพของไข้ข้าพเจ้าในขณะนั้น จะเดินทางโดยเฉพาะไปในงานเฉลิมฉลองที่ใหญ่โตเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด


ข้าพเจ้ากลุ้มและปั่นป่วนใจเป็นที่สุด เพราะว่าจะต้องทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงลำบากพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง โดยจะต้องทรงหาตัวแทนข้าพเจ้า ซึ่งภายในไม่ถึง 24 ชั่วโมง จะสามารถเตรียมตัวทัน โดยเฉพาะในงานนี้จะมีการเลี้ยงและการแต่งกายเต็มยศกันแทบทุกวันตลอดอาทิตย์หนึ่ง


ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า สำหรับข้าพเจ้านั้นมีแต่ทางที่จะเสีย จะกราบทูลว่าไปไม่ได้ก็เสีย จะไม่กราบทูลก็เสีย เวลานั้นเป็นเวลาค่ำโพล้เพล้ ด้วยไข้และด้วยความปั่นป่วน ความกลุ้มใจ ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอน แต่ไม่ทราบว่าอะไรที่มาดลใจข้าพเจ้าให้คิดว่าจะไม่มีทางอื่นแล้วที่อาจช่วยได้ นอกจากจะใช้พลังจิต และข้าพเจ้าเคยทำวิปัสสนาอยู่บ้าง แต่ก็มิใช่อยู่ในฐานะของผู้ที่แก่กล้าในทางวิปัสสนา


ข้าพเจ้าแข็งใจนึกขอให้บรรดาอาจารย์ผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ขอให้เมตตากรุณาต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด แล้วสะกดจิตกำหนดลมหายใจให้นิ่งได้แล้ว ก็จำอะไรอีกไม่ได้ มารู้สึกตัวในฝันว่า ข้าพเจ้าแหงนคอมองขึ้นไปทางหัวเตียงนอน ได้เห็นพระองค์หนึ่งสีจีวรเหลืองอร่ามชัด แต่ใบหน้าของท่านนั้นเป็นหิน หินที่มีสีคล้ายๆ ตอนสีอ่อนของสีดอกพิกุล




2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2020-2-4 22:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านประทับลอยอยู่เหนือหัวนอน และทันทีที่ข้าพเจ้าเพ่งมองพระพักตร์หินนั้น กระดุกกระดิกได้เหมือนหน้าคนธรรมดา และเป็นตอนที่ข้าพเจ้าจำได้ว่า พระองค์นั้นคือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์ ซึ่งเพิ่งได้สละสังขารไปแล้วเมื่อไม่นานมา

ในฝันนั้นข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งกราบท่าน แล้วออกปากทักว่า �เจ้าคุณ� ท่านยิ้มแล้วกลับนิ่งเฉย ต่อครู่ใหญ่ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า �ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นของธรรมดา� ก็รู้ (ข้าพเจ้า) อยู่แล้ว

เจ็บไข้นี้มีทางเดียวที่จะมีทางบรรเทาได้ คือด้วยพลังจิตท่านก็รู้ จิตท่านแข็งจึงต้องมา ท่านกล่าวเบาๆ ช้าๆ เป็นตอนๆ เหมือนจะสั่งสอน แล้วท่านก็หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วท่านก็กล่าวขึ้นอีกพร้อมกับยิ้มน้อยๆ และด้วยน้ำเสียงของคนธรรมดาว่า �อย่าวิตกเลย บรรทมให้สบายเถิด พรุ่งนี้จะหายประชวรแล้วเสด็จได้�

ข้าพเจ้าตื่นขึ้น ปรากฏว่ายังหงายหน้ามองที่เหนือเตียง และรู้สึกว่ายังเห็นจีวรเหลืองๆ หายแว่บไป แต่กำลังไม่สบายมากจึงนึกเพียงว่าฝันไป แล้วหลับผล็อยไป ต่อเมื่อตอนดึกค่อนรุ่งข้าพเจ้าตื่นขึ้นปัสสาวะรู้สึกว่า อาการปวดหัวเมื่อยร่างและอาการอ่อนเพลียนั้นค่อยยังชั่วขึ้น รู้สึกแปลกใจ แต่นึกว่าอาการที่ปรากฏค่อยยังชั่วนี้เป็น มโนภาพ และอาจเป็นภาวะหลอนของตัวข้าพเจ้าเองว่าสบายขึ้น จึงหลับตานอนกำหนดจิตต่อไปจนไม่รู้สึกตัว

ต่อเช้าประมาณ 7 โมงจึงตื่นขึ้น อาการไข้ทุกอย่างทุกประการหายสิ้น แม้แต่การไอโขลกๆ ที่ถี่และแรงก็หายสิ้นไม่ไอเลย และพอถึง 12 นาฬิกา ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางจากดอนเมือง เหมือนกับคนที่หายเจ็บแล้ว คงแต่รู้สึกเพลียบ้างเล็กน้อย เมื่อไปถึงประเทศอิหร่านก็เข้าไปร่วมฉลองงานทุกงาน โดยเฉพาะที่เมืองเพอเซพโพลิส ซึ่งตั้งอยู่บนเขาสูงมาก จึงทั้งหนาวทั้งหายใจยาก ด้วยมีออกซิเจนน้อย ข้าพเจ้าได้ตรากตรำกลางแดดกลางความหนาวทุกวัน บางวันไปงานตั้งแต่เช้าจนตีหนึ่ง

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงและประหลาดที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเอง ท่านจงเลือกพิสูจน์และเลือกเชื่อเอาเองเถิด ว่าจะเป็นเรื่องของอภินิหารหรือเรื่องธรรมดาๆ เพราะว่าพอข้าพเจ้ากลับมาก็ได้ไปซักถามนายแพทย์ผู้นั้นบอกว่า เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้ารักษาตัวของข้าพเจ้าเอง เพราะความแน่วแน่และพลังจิตนั้น ทำให้ส่วนกลไกต่างๆ ของร่างกายของข้าพเจ้าต่อสู้กับโรค และต่อสู้กับความรู้สึกของข้าพเจ้าจนชนะและหายไข้ชนิดที่ยาอาจทำไม่ได้ แต่แพทย์ก็ย่อมทราบกันดีว่า พลังจิตของคนไข้นั้นถ้าแข็งหรือพูดง่ายๆ ว่าคนไข้สู้ไข้แล้ว ย่อมเป็นพลังที่จะช่วยให้หมอรักษาโรคให้หายได้ดีกว่าคนไข้ที่ไม่สู้

ข้าพเจ้าสนใจในเรื่องนี้ จึงได้คอยติดตามฟังและอ่านเรื่องเช่นนี้ในวงการแพทย์ต่อมาเสมอๆ เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านบทเขียนของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคมะเร็ง ชาวอเมริกันเขียนเรื่องพลังจิต และเรื่องการให้คนไข้ทำวิปัสสนาเพื่อช่วยรักษาโรค เขาว่าเขาแนะนำกับคนไข้ที่เป็นโรคที่มีทางหายาก เช่น มะเร็ง ให้ทำวิปัสสนาและใช้พลังจิตช่วย เขารักษาโรค เขายืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเขาได้ผลดีอย่างน่าพิศวง คนไข้บางรายหายได้อย่างไม่น่าที่จะเป็นไปได้เลย และเป็นที่น่าประหลาดว่านายแพทย์ผู้นั้นมิได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่เขาก็เอาวิธีการและพระธรรมหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาเชื่อมาใช้เป็นผล เช่นก่อนอื่นเขาจะเริ่มสอนคนไข้ไม่ให้กลัว โดยชี้แจงว่าความตายเป็นของธรรมดา ทุกคนจะเลี่ยงไม่ได้ สังขารเป็นส่วนที่ประกอบขึ้นย่อมจะต้องเสื่อมสลาย เหมือนวัตถุและธาตุทั้งหลายทั้งปวง เมื่อคนไข้พอจะเข้าใจและบรรเทาความกลัวบ้าง เขาก็เริ่มสอนให้คนไข้ทำวิปัสสนา

บทเขียนทั้งสิ้นนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อ เพราะว่าข้าพเจ้าได้ประสบการณ์ หรือได้เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง และข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเรื่องของพลังจิตของสมเด็จพระบรมศาสดา และพลังจิตของ ท่านธรรมวิตตโกมหาเถระเจ้าคุณนรรัตน์ และพลังจิตที่ต่ำต้อยของข้าพเจ้า แต่ก็พอมีพลังเพียงพอที่จะรับอานุภาพพลังจิตอื่นที่ใหญ่ยิ่งได้

บทความของท่าน พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ุ ยุคล หรือที่ในวงการภาพยนตร์เรียกท่านว่า �เสด็จองค์ชายใหญ่� มีความน่าสนใจมาก เพราะเป็นเหตุการณ์จริงที่ท่านประสบมาด้วยพระองค์เอง ทรงได้นิพนธ์เอาไว้ให้ผู้เขียน นอกจากบทความนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ทรงนิพนธ์ให้ผู้เขียนไว้จะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป

แฉ่ง บางกระเบา

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้