ประวัติหลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่น (บ้านแดง) อ.พิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี
หลวงปู่พิบูลย์ นามเดิมชื่อ พิบูลย์ แซ่ตัน
เกิดที่บ้านพระเจ้า ตำบลมะอึ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด
บิดาชื่อ สา มารดาชื่อ โสภา นามสกุลแซ่ตัน
บิดาเป็นคนจีน มารดาเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด มีอาชีพทำร่ทำนาและค้าขายจนมีฐานะมั่นคง ตามปกติหลวงปู่มีอุปนิสัยชอบทำบุญบำเพ็ญทานแก่พระภิกษุและคนทุกข์คนจนผู้ตกทุกข์ได้ยากเพราะหลวงปู่เห็นว่า ผลบุญกุศลที่ได้ทำแล้วจะทำให้เกิดบุญกุศลเกิดความสุขในภพนี้ และภพหน้า บุญกุศลเป็นความดีและเป็นเครื่องห้ามกั้นไม่ให้ไปสู่อบาย หลวงปู่เอาใจใส่ทั้งการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญเมตตา ต่อมาได้แต่งงานกับหญิงชาวบ้านพระเจ้า แต่ไม่ทราบชื่อ อยู่ด้วยกันมาหลายปีไม่มีบุตร ส่วนภรรยาต้องการบุตรมาสืบสกุล จึงได้ปรึกษากับหลวงปู่พิบูลย์ จึงได้ตกลงกันไปขอบุตรของนางจันทีเพราะนางจันทีมีลูกหลายคน นางจันทีก็ยินดียกให้เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ ๕ ปี หลวงปู่พิบูลย์จึงได้นำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
หลวงปู่พิบูลย์ได้อบรมสั่งสอนให้เป็นคนมีอุปนิสัยดี ขยัน ซื่อสัตย์ ว่านอนสอนง่าย เป็นที่รักของหลวงปู่พิบูลย์และภรรยา พอเจริญวัยขึ้นมาอายุได้ประมาณ 16 ปี หลวงปู่พิบูลย์ได้ให้เครื่องประดับ เป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามคนหนึ่งเป็นที่ชอบของหนุ่ม ๆ ต่อมาอายุได้ ๑๙ ปี หลวงปู่พิบูลย์จึงได้ให้แต่งงาน พอเห็นว่าบุตรสาวของตนได้แต่งงานกับบุคคลผู้มีนิสัยดี พอที่จะไว้เนื้อเชื่อใจได้ หลวงปู่พิบูลย์จึงบอกกล่าวกับลูกสาวและลูกเขยว่า '' พ่อขอยกทรัพย์สมบัติทั้งปวงนี้ให้แก่พวกเจ้าเป็นผู้ดูแลกรักษา ส่วนพ่อจะขอลาออกบวช " ส่วนภรรยาเมื่อได้ยินหลวงปู่พิบูลย์กล่าวอย่างนั้น ก็ออกปากว่าจะออกบวชชีหนีไปคนละทางตลอดชีวิต ส่วนหลวงปู่พิบูลย์เมื่อตัดสินใจแล้ว จึงได้ไปปรึกษากับพ่อจารย์ฮวดชักชวนให้ออกบวช พอพ่อจารย์ฮวดได้ยินคำชักชวนของหลวงปู่พิบูลย์ก็ยินดีจะออกบวชด้วย วันต่อมาจึงได้ปรึกษากับพระอุปัชฒฌาย์เรื่อจะบวง อุปัชฌาย์ก็ยินดีอนุโมทนาด้วย พออุปัชฌาย์ตกลงแล้ว ก็ได้โกนหัวอุปสมบทในวันนั้นทั้งหลวงปู่พิบูลย์และอาจารย์ฮวด แต่ไม่ปรากฎนามฉายาของหลวงปู่พิบูลย์ พอออกบวชแล้วอยู่ร่วมจำพรรษากับพระอุปัชาฌาย์และเหล่าภิกษุสามเณรวัดนั้นจนกระทั่ง ถึงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม หลวงปู่พิบูลย์จึงมีความประสงค์จะออกเดินรุกมูลเจริญกัมมัฏฐานในป่า จึงได้ไปลาอุปัชฌาย์อาจารย์และเรียนกัมมัฏฐาน-ฐานอันเป็นข้อปฏิบัติ และได้บอกกล่าวลาอุบาสก อุบสิกาที่มีอยู่ในหมู่บ้านญาติโยมก็อนุโมทนาสาธุพร้อมด้วยเตรียมเครื่องอัฐบริขารที่จำเป็นส่วนตัว ก็เดินทางออกจากวัดมุ่งสู่ทิศตะวันออกโดยไม่ม่ใครติดตาม ไปเฉพาะลำพังรูปเดียว ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่นพอเดินทางมาถึงริมแม่น้ำโขง ก็มีญาติโยมเอาเรือนำส่งไปถึงฝั่งประเทศลาว หลวงปู่พิบูลย์ได้ไปอาศัยถ้ำเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมถ้ำนั้นอยู่ที่ " ภูอาก" ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
พอลงมาบิณฑบาตรได้ประมาณ 200 ร้อยเส้น พอถึงเดือนแปดหลวงปู่พิบูลย์ก็จำพรรษา ณ ที่นั้น พออกพรรษาแล้วหลวงปู่พิบูลย์ก็บอกลาญาติโยมหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนั้นว่า ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาแวะอีก และหลวงปู่พิบูลย์ได้แนะนำสั่งสอนญาติโยมให้ทำบุญบำเพ็ญทานจะมีบุญกุศลนำช่วยเมื่อตาย และหลวงปู่พิบูลย์ก็เดินทางออกจากภูอากมุ่งหน้าสู้ถ้ำแถบภูเขาควายประเทศลาว ต่อมาได้ไปพบกับอาจารย์ไม้เท้าหนักหมื่น( 12 กิโลกรัม) ได้ไปศึกษาและปฏิบัติธรรมร่วมกับลูกศิษย์อีก 7 รูป เป็นเวลาหลายปีจนอาจารย์เห็นว่าลูกศิษย์แต่ละรูปประพฤติปฏิบัติในธรรมอย่างเคร่งครัด เห็นว่าได้บรรลุธรรมเป็นส่วนมากแล้ว อาจารย์จึงได้เรียกลูกศิษย์ทั้งเจ็ดออกมา แล้วเอาลูกสมอให้คนละหนึ่งลูก ให้เคี้ยวลูกสมอนั้นให้แตก ปรากฎว่าหลวงปู่พิบูลย์ของเราเคี้ยวลูกสมอแตกละเอียดพร้อมทั้งอีก 5 รูป ส่วนอีก 2 รูปนั้นไม่แตกแม้กระทั่งเปลือก อาจารย์ก็รู้แล้วว่าผู้ใดบรรลุธรรม และไม่บรรลุธรรมแตกต่างกันอย่างไร ผู้ไม่บรรลุธรรมให้ปฏิบัติธรรมต่อไป ส่วนหลวงปู่พิบูลย์อาจารย์แนะนำให้ไปสร้างวัดอยู่เขตอำเภอหนองหาน เมื่อหลวงปู่พิบูลย์มาถึงเขตอำเภอกุมภวาปีแล้ว ก็ได้สร้างวัดเกาะแก้วเกาะเกศอยู่ติดกับลำน้ำปาวอยู่ที่นั่นหลายปี
ในลำน้ำปาวนั้นเขที่วัดอยู่มีจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่งเที่ยวกินวัวควายของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนจึงได้ไปปรึกษากับหลวงปู่ หลวงปู่ได้แนะนำให้นำดอกไม้ธูปเทียนขันห้าขันแปด เทียนเวียนรอบหัวและยาวเท่าลำตัวให้นำมาจากทุกหลังคาเรือน พอมาถึงหลวงปู่ก็ฉันอาหารเช้าเสร็จ ก็เริ่มนั่งบริกรรมแล้ว หลวงปู่ก็นุ่งสบงจีวรรัดอกจุดเทียนคู่หนึ่งถือไว้ในกำมือ แล้วก็เดินลงสู่ลำน้ำปาว ประมาณสองชั่วโมง น้ำเริ่มขุ่นขึ้นมา ชาวบ้านจ้องดูตามริมฝั่งทั้สองฟากพอประมาณ แล้วหลวงปู่ก็ขึ้นมาพร้อมกับไม้เรียวและเทียน ข้อนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งเพราะสบงจีวรหลวงปู่ไม่เปียก และเทียนที่จุดก็ไม่ดับและไม่สั้นลงไปอีก หลวงปู่จึงบอกกับชาวบ้านว่า " ไอ้จระเข้มันยอมแพ้แล้วมันจะหนีภายใน 7 วัน " หลวงปู่ถามชาวบ้านว่า " อยากเห็นมันบ่พ่ออก แม่ออก อาตมาจะเอิ่นมันมาให้เบิ่ง (อยากจะเห็นหน้าไอ้จระเข้ไหม จะเรียกมันมาให้ดู) ญาติโยมเหล่านั้นบอกว่าอยากจะเห็น หลวงปู่จึงเรียกไอ้จระเข้ใหญ่ขึ้นมาจากน้ำอยู่ที่ริมฝั่ง
ขณะนั้นหลวงปู่ถามชาวบ้านว่า " ญาติโยมกลัวไอ้จระเข้ไหม" ญาติโยมบอกว่ากลัวมาก ๆ เลยหลวงปู่ หลวงปู่บอกว่า " ไม่ต้องกลัวเพราะมันยอมเราแล้ว" หลวงปู่จึงเอามือตบหัวไอ้จระเข้และเอามือล้วงเข้าไปในปากของไอ้จระเข้ มันก็ไม่ทำอะไรหลวงปู่ แล้วหลวงปู่ก็บอกให้มันกลับลงสู่น้ำ ต่อมาภายหลังชาวบ้านเห็นจระเข้อยู่ในป่า จึงได้นำเหล็กแหลมๆ ทั้งสองข้างเอาริ้วหนังติดกับไม้ยื่นไปหาไอ้จระเข้ๆ จึงอ้าปากขึ้น ชาวบ้านจึงเอาเหล็กยัดเข้าไปในปากไอ้จระเข้ในทางตั้ง พอไอ้จระเข้งับปากลงเหล็กก็แทงปากจระเข้ทั้งด้านและด้านล่าง (ช่วงนั้นหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว)
ต่อมาทีหลังได้นำกระดูกจระเข้มาทำเป็นตีนธัมมาสก์ ในสมัยก่อนวัดเกาะแก้วแห่งนี้มีอาถรรพ์มากคนไม่กล้าเข้าไปอยู่เพราะเป็นวัดร้าง ท่านหลวงปู่พาสร้างแล้วชาวบ้านก็อยู่เย็นเป็นสุข หลวงปู่จึงกลับมากราบอาจารย์ไม้เท้าหนักหมื่น อาจารย์เลยบอกว่า " วัดที่หลวงปู่ไปสร้างนั้นไม่ใช่วัดเดิมของหลวงปู่ที่บอกไปสร้างนั้นอยู่ทางทิศเหนือของอำเภอหนองหาน ซึ่งอยู่ติดริมห้วยหลวง " หลวงปู่ได้อยู่พักกับอาจารย์ตามสมควร แล้วก็ได้ลาอาจารย์กลับมายังฝั่งไทยและได้พักอยู่วัดเกาะแก้วเกาะเกศอีก ส่วลูกศิษย์คนอื่น ๆ นั้นอาจารย์ก็บอกให้ไปทางภาคเหนือ-ภาคใต้ ส่วนหลวงปู่เราให้อยู่ในภาคอีสาน
ต่อมาหลวงปู่ก็ได้ลาญาติโยมชาววัดเกาะแก้วเกาะเกศ มุ่งหน้าสู่ทิศเหนือของอำเภอหนองหาน พอมาถึงบ้านเชียงงามก็เลยไปพักอยู่ที่วัดร้าง (วัดไม่มีพระจำพรรษาอยู่) พ่อเวียงได้เห็นหลวงปู่เข้ามาอยู่ที่วัดจึงได้แต่งขันหมากขันพลู บุหรี่ออกไปหาหลวงปู่ที่วัด เมื่อถวายท่านแล้วก็ถามถึงที่มาที่ไปของหลวงปู่ว่ามาจากที่ไหน จะไปไหนหลวงปู่บอกว่า " จะไปบ้านไทย (บ้านแดงในปัจจุบัน)" ทีอยู่ติดกับริมห้วยหลวง หลวงปู่เลยถามโยมเวียงว่า " ยังอีกไกลไหมกว่าจะถึงบ้านไทย " โยมเวียงบอกว่ายังอีกไกลอยู่ " เพราะถึงวันเข้าพรรษาแล้ว ข้าน้อย(กระผม) ขอนิมนต์ปู่อยู่จำพรรษาที่วัดนี้ก่อน
|