นรสิงห์เป็นภาคอวตาร ปางที่สี่ของพระนารายณ์ตามเนื้อเรื่องในคัมภีร์ปุราณะ อุปนิษัท และคัมภีร์อื่น ๆ ของศาสนาฮินดู โดยมีร่างกายท่อนล่างเป็นมนุษย์และร่างกายท่อนบนเป็นสิงโต ซึ่งสาเหตุที่พระนารายณ์ต้องทรงแบ่งภาคอวตารลงมาเป็นนรสิงห์นี้ เกิดมาจากยักษ์ตนหนึ่งนามว่า หิรัณยกศิปุ (นรสิงห์) ในครั้งบรรพกาล ยังมียักษ์ตนหนึ่ง หิรัณยกศิปุ มีความปรารถนาจักเป็นใหญ่ จึงได้เริ่มต้นบำเพ็ญตบะทุกรกริยาถวายต่อพระพรหม เพื่อขอพรให้ตนสมปรารถนา ซึ่งหลังจากที่ หิรัณยกศิปุได้บำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานาน ในที่สุด พระพรหมก็ทรงปรากฏองค์เพื่อประทานพรให้ โดยหิรัณยกศิปุได้ขอพรให้ตน เป็นผู้ที่ไม่อาจตายด้วยน้ำมือหรืออาวุธของมนุษย์, สัตว์, เทวดา ไม่ตายทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ไม่ตายทั้งในเรือนและนอกเรือน ไม่ตายบนพื้นดิน ท้องฟ้า หรือผืนน้ำ ครั้นเมื่อได้รับพรจากพระพรหมแล้ว หิรัณยกศิปุ ก็เริ่มต้นแผ่ความยิ่งใหญ่ของตน โดยทำสงครามกับทั้งเหล่าเทพและมนุษย์จนเกิดความวุ่นวายไปทั้งสามโลก จากนั้นหิรัณยกศิปุก็บังคับให้ชนทั้งปวงนับถือบูชาตนดุจดังพระเป็นเจ้า ผู้ใดที่ขัดขืนก็ถูกเข่นฆ่าทรมานอย่างเหี้ยมโหด ทว่าบุตรชายคนที่ห้าของหิรัณยกศิปุ ซึ่งมีนามว่า “ประหลาท” ผู้เป็นบุตรคนโปรด กลับปฏิเสธที่จะยอมรับว่าบิดาคือ พระผู้เป็นเจ้า โดย ประหลาทนั้นมีใจศรัทธาเลื่อมใสพระนารายณ์หรืออีกพระนามหนึ่งคือ พระวิษณุ เป็นอย่างยิ่ง และได้สวดมนต์บูชาสรรเสริญพระองค์ โดยตลอด หิรัณยกศิปุพยายามเกลี้ยกล่อมให้ประหลาทเลิกนับถือพระนารายณ์ทว่าไร้ผล จอมอสูรโกรธจัดจนสั่งให้ทหารเอาตัวประหลาทไปกักขังและลงทัณฑ์ทรมานเพื่อให้เลิกศรัทธาในพระนารายณ์ ทว่าในยามที่ถูกลงทัณฑ์นั้น อำนาจเทวะแห่งพระนารายณ์ได้คอยคุ้มครองประหลาทให้รอดพ้นจากทัณฑ์ทรมานทั้งปวง (พระนารายณ์) จนเมื่อเวลาผ่านไป หิรัณยกศิปุก็หายโกรธบุตรชายและให้นำตัวมาพบอีกครั้งที่ห้องโถงใหญ่ในปราสาทของเขา ในเย็นวันหนึ่ง ทว่าเมื่อหิรัณยกศิปุพบว่าประหลาทยังคงมีศรัทธาในองค์วิษณุเจ้าก็เกิดความโกรธ จึงได้ตะคอกถามบุตรชายว่า “เจ้าเคยพูดว่าพระนารายณ์มีอำนาจสูงสุดและสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าหากเป็นดังนั้นจริง แล้วเขาจักอยู่ในเสาหินต้นนี้ด้วยหรือไม่” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่เสาหินที่อยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ ประหลาทตอบว่า ”พระวิษณุเจ้าทรงสถิตอยู่ทุกแห่งหน รวมทั้งเสาหินนี้ด้วย” เมื่อได้ฟังคำตอบดังนั้น หิรัณยกศิปุก็เลือดขึ้นหน้า จึงบอกว่า ”ถ้าเช่นนั้น ข้าจะประหารองค์วิษณุของเจ้าให้ดู” ว่าแล้วก็เอากระบองฟาดเสาหินอย่างแรง ทันใดนั้นเสาหินก็แตกออกเป็นสองซีก พร้อมกับเกิดเสียงดังกึกก้อง จากนั้นพระนารายณ์ในร่างของนรสิงห์ก็ปรากฏตัวออกมา! นรสิงห์กำราบเหล่าไพร่พลของจอมอสูรที่อยู่ในห้องโถงนั้นอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้ากระชากตัวหิรัณยกศิปุลากไปยังธรณีประตู ก่อนจับตัววางไว้บนตัก แล้วกล่าวว่า “เจ้าอสูร เจ้าเคยขอพรไม่ให้ตายในเวลากลางวันหรือกลางคืน ไม่ให้ตายขณะอยู่ภายในหรือภายนอกเรือนที่อาศัย ไม่ให้ตายบนพื้นดิน ท้องฟ้าหรือผืนน้ำ ไม่ให้ตายด้วยน้ำมือหรืออาวุธของ เทพ มนุษย์หรือสัตว์ ใช่หรือไม่” “ใช่” จอมอสูรยอมรับ “เช่นนั้นยามนี้เป็นเพลาสนธยา ย่อมมิใช่ทั้งกลางวันแลกลางคืนใช่หรือไม่” นรสิงห์ถาม “ใช่” หิรัณยกศิปุพยักหน้ารับ “ที่นี่คือธรณีประตู ย่อมมิใช่ในเรือนและนอกเรือน ใช่หรือไม่” “เอ่อ…ใช่” “แลสุดท้าย เจ้าจงบอกมาทีว่า ตัวข้านี้ คือ มนุษย์ หรือ สัตว์ หรือ เทพเทวา” “ท่านมิใช่ทั้งมนุษย์ ทั้งสัตว์และเทพเทวา” เมื่อได้ฟังคำตอบจากหิรัณยกศิปุแล้ว นรสิงห์จึงยกกรงเล็บขึ้นพร้อมกับคำรามอย่างดุดัน ”เช่นนั้น กรงเล็บของข้านี้ ก็หาใช้อาวุธของมนุษย์ สัตว์หรือ เทพเทวาใด ๆ อีกทั้งยามนี้เจ้าอยู่บนตักของข้า ย่อมมิใช่บนผืนดิน ท้องฟ้าหรือผืนน้ำ เยี่ยงนี้แล้ว พรแห่งองค์พระพรหมย่อมมิอาจคุ้มครองเจ้าได้อีกต่อไป” กล่าวจบ นรสิงห์ก็ใช้กรงเล็บฉีกร่างของหิรัณยกศิปุและกระชากหัวใจออกมา จนหิรัณยกศิปุขาดใจตาย (นรสิงห์ประหารหิรัณยกศิปุ) ตำนานได้เล่าต่อไปว่า หลังจากนรสิงห์ประหารหิรัณยกศิปุแล้ว นรสิงห์ยังคงอยู่ในอารมณ์โกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด ถึงขนาดที่ว่าพระศิวะหรือแม้แต่พระลักษมี ชายาขององค์พระวิษณุก็ยังมิอาจยับยั้งได้ พระพรหมจึงขอให้ประหลาทสวดภาวนาเพื่อแสดงความมั่นคงในศรัทธาต่อองค์นารายณ์ ทำให้นรสิงห์สงบลงได้ด้วยพลานุภาพแห่งความภักดี จากนั้นนรสิงห์ก็เหาะกลับสู่สรวงสวรรค์เพื่อคืนร่างรวมสู่องค์พระวิษณุเจ้าดุจดังเดิม
|