ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 12498
ตอบกลับ: 24
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระบารมี 10 ทัศน์

[คัดลอกลิงก์]



ย้อนกลับไปสมัยพุทธกาล


ที่พระพุทธเจ้ายังคงมีพระชนม์อยู่ ท่านได้เคยเล่าให้เหล่าพระสาวกฟังว่า


ก่อนที่ท่านจะตรัสรู้นั้น ท่านเคยเกิดมาหรือเสวยชาติมาแล้วถึง 550 ชาติ


ไม่ว่าจะเป็นเทวดา พรหม มนุษย์ หรือแม้กระทั่งเดรัจฉาน


ซึ่งก่อนจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ต้องเป็นสัพพัญญู คือผู้รู้แจ้งด้วยตนเอง


ทำให้ต้องเสวยชาติ เผื่อจะได้รับรู้ พร้อมทั้งต้องบำเพ็ญธรรมเผื่อบรรลุที่พระพุทธเจ้า


ดังนั้นในโบราณมักจะมีการสร้างพระแผงที่มีพระพุทธเจ้าขนาดเล็กเรียงกัน


เพื่อแสดงถึงพระพุทธเจ้าขณะเสวยชาตินั่นเอง


(ต่อมามีการตัดแยกกันจากกรุต่าง ที่มีชื่อเสียงคือบรรดาพระกำแพงตัด


แล้วแต่จำนวนองค์พระที่ตัดมา ก็เรียกกันเป็น กำแพงตัด 5 ตัด 10)





2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-11 06:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


วัดเจ้าชายธรรมราชา (วัดกระชาย)

อ้างอิง http://3ascom.rta.mi.th/ab_AekaHis09.php

วัดเจ้าชายธรรมราชา หรือวัดเจ้าชาย กล่าวกันในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่า เป็นวัดที่สร้างโดยสมเด็จพระเอกาทศรถ ที่ชื่อวัดเจ้าชายนั้น สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างตอนที่พระองค์ ยังไม่ได้เป็นพระมหากษัตริย์ วัดเจ้าชายธรรมราชา เป็นวัดร้าง ตั้งอยู่กลางทุ่งปากกราน หรือบ้านกลางคลองตะเคียน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ด้านใต้วัดวรเชษฐ์ ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดที่อยู่บนเนิน รายรอบด้านเหนือด้วยสระบัวหลวง ซึ่งปัจจุบันยังพอเห็นอาณาเขตวัดได้อยู่บ้าง วัดเจ้าชายถูกขโมยขุดเอาของมีค่าไปหมด เช่น พระพิมพ์ปางสิบทัศน์(พระเจ้าสิบชาติ) ก็ปรากฏว่าขุดได้จากที่วัดเจ้าชายแห่งนี้ ปัจจุบันคงปรากฏเพียงเจดีย์ใหญ่ เหลืออยู่เพียงองค์เดียว ซึ่งทรุดเอียง ใกล้จะล้มพังแล้ว นอกจากนี้ยังปรากฏร่องรอยกุฏิหลังหนึ่ง ซึ่งสันนิษฐานว่า อาจเป็นกุฏิเจ้าอาวาส หรืออาจเป็นตำหนัก กรรมฐานของสมเด็จพระเอกาทศรถ ในคราวที่พระองค์มาปฏิบัติกรรมฐาน ณ วัดของพระองค์ แห่งนี้ ก็อาจเป็นได้ .....

เสริมจากข้อมูลของแอดมินวัดนี้จริงๆน่าจะสร้างสมัยอยุธยาตอนต้นหรืออาจเก่ากว่านั้นในสมัยอโยธยา ด้วยศิลปะขององค์เจดีย์ที่อยู่ร่วมสมัยนั้น  และมีการบูรณะทับซ้อนกันจนถึงอยุธยาตอนปลาย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวัด   วัดนี้น่าจะถูกบูรณะโดยสมเด็จพระเอกาทศรถ เพื่ออุทิศให้ใครสักคน(เป็นข้อสันนิษฐาน) หนึ่งในนั้นก็มีพระนามของพระมหาธรรมราชา ผู้นำทัพโจมตีเขมรร่วมกับพระราชมนู ซึ่งพระมหาธรรมราชาผู้นี้ มีอีกพระนามคือพระเจ้าฝ่ายหน้า ซึ่งก็น่าจะเป็นพระราชโอรสองค์หนึ่งของ

สมเด็จพระนเรศวร  วัดนี้ยังปรากฏในพงศาวดารในแผ่นดินพระนารายณ์ ที่ใช้สถานที่แห่งนี้สังหารพระศรีศิลป์ พระราชนัดดาของพระองค์เอง ที่คิดลอบปลงพระชนม์พระองค์ถึง 2 ครา   วัดนี้เป็นหนึ่งในสามวัดที่ใช้ในการสวดคุ้มครองอาณาจักร ประกอบด้วยวัดวรเชษฐ์ วัดลอดช่อง(มหาเถรคันฉ่อง) วัดเจ้าชาย  ซึ่งสามวัดตั้งในตำแหน่งเป็นรูปสามเหลี่ยม เมื่อสวดมนตร์จากทั้งสามที่พร้อมกันจะเกิดพลังครอบคุมเมืองให้แคล้วคลาดปลอดภัย (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล) ช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2  พ.ศ. 2310  แถบวัดเจ้าชาย วัดเต่า  วัดสุเรนทร์  เป็นที่ตั้งทัพของพม่า  ในการโจมตีพระนครด้วย



3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-11 06:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้




ตามตํานานของอยุธยา เล่าสืบต่อกันมาว่า “สมเด็จพระเอกาทศรถ” ท่านได้สร้างวัดประจําพระองค์วัดหนึ่ง อยู่ใต้วัดวรเชษฐ์นอกเกาะ วัดแห่งนี้ชื่อว่า “วัดเจ้าชายธรรมราชา” เรียกสั้น ๆ ว่า “วัดเจ้าชาย” และเพี้ยนเสียงมาเป็น “วัดกระชาย” มีชาวบ้านแถบวัดกลางทุ่งปากกราน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ของวัดเจ้าชาย เคยเข้ามาขุดกรุที่องค์เจดีย์ได้โบราณวัตถุเป็นพระพิมพ์ดินเผา ลักษณะของพระพิมพ์เป็นพระพุทธรูป “ปางสมาธิ” และ “ปางมารวิชัย” พระพิมพ์วัดกระชายนี้ชาวบ้านแถบนั้นมีความเคารพนับถือว่า มีความศักดิ์สิทธิ์มาก และมักจะเรียกพระพิมพ์ลักษณะนี้ว่า "พระเจ้าสิบชาติ" ซึ่งหมายถึง “ชาติทั้งสิบของพระพุทธเจ้า” สมเด็จพระเอกาทศรถ ท่านมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ท่านได้สร้างพระและสร้างวัดมากมาย จึงไม่แปลกใจที่แต่ละวัดที่ท่านสร้างจะมีพระดีบรรจุไว้ในเจดีย์แทบทุกวัด สาเหตุที่พระองค์ทรงสร้างพระกรุวัดกระชาย


(สันนิษฐานได้ว่า พระองค์ท่านอาจปรารถนาพระโพธิญาณ
เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตต่อไป จึงได้สร้างพระพิมพ์นี้ไว้)




เคยมีคนนำไปทดลองยิง “พระกรุวัดกระชาย” โดยเอาไปวางไว้ที่โค่นต้นกล้วยแล้วเหนี่ยวไกปืนยิงในระยะใกล้ๆ ผลปรากฏออกมาว่า ลูกกระสุนไม่เคยโดนพระกรุวัดกระชายเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้เป็นที่ฮือฮากันอย่างมาก ข่าวดังกล่าวได้บอกต่อๆ กันไป และไปถึงค่ายทหารแห่งหนึ่งในเมืองลพบุรี ทหารจึงพากันเดินทางมาขอแบ่งบูชากันไปเป็นจำนวนพอสมควรทีเดียว และได้ยิงทดสอบกันตรงนั้นเลย ผลปรากฏออกมาเหมือนเดิมคือ ไม่โดนองค์พระใดเลย แม้จะนั่งยองๆเข้ามาใกล้มากถึงแค่หนึ่งคืบ ลูกกระสุนก็ยังเบี่ยงไปไม่เคยโดนพระกรุวัดกระชายเลยแม้แต่นิดเดียว

และยังมีประสบการณ์จริง แบบโคตรเหนียวหนึบ ที่เล่ากันแบบไม่รู้จบ ต่อมาก็คือ นักเรียนเทคนิคอยุธยาคนหนึ่ง ถูกคู่อริจ่อยิงซึ่งๆหน้า (ไม่เกินหนึ่งวา) 3 นัดซ้อน ปรากฏว่าไม่มีดังซักนัด มีเพียงแต่เสียงสับไกปืนดังแชะๆๆ 3 นัดซ้อน คนถูกยิงยืนตะลึง อ้าปาก ตาค้าง สติแตก แต่พอได้สติ ก็วิ่งโกยหน้าตั้งแบบวิ่ง 100 เมตร เสียงปืนดังตามหลังปังๆๆๆมาอีก 3 นัดไม่มีโดนซักนัด (ผู้เล่าคือ นักเรียนเทคนิคอยุธยาผู้ที่ถูกยิง ยังมีชีวิตอยู่ เล่าให้ฟังแบบสยองขวัญ รอดตายเพราะพระกรุวัดกระชาย ที่เลี่ยมคล้องคออยูเพียงองค์เดียวแท้ๆ เหนียวจริงๆ เหนียวที่สุด แถมแคล้วคลาดที่สุดอีกด้วย

และมีความเชื่อสืบทอดกันมาว่า “พระกรุวัดกระชาย” มีพระพุทธคุณโดดเด่นด้านทางด้านรับราชการทุกประเภท เมตตาแรงมากๆๆๆ ปากวาจาสิต เสริมธุรกิจพันล้าน เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง มหาอำนาจ เสริมบารมี เสริมอำนาจวาสนาชั้นสูง เพิ่มฤทธิ์เดช เพิ่มบารมี คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุตฆ์ เรียกเงินทองขั้นสูง เดินทางต่างประเทศ และป้องกันภัยพิบัติทั้งปวง นักเลงโบราณรุ่นคุณปู่ คุณตา จะพกพา “พระกรุวัดกระชาย” ติดตัวเป็นประจำ ปัจจุบันนับว่าเป็นพระกรุที่ค่อนข้างหายาก เนื่องจากพระเก่าพระโบราณที่แตกกรุออกมานานแล้ว นับวันจะหายากขึ้นทุกที







พุทธคุณจึงแรงมากๆๆๆ และมีประสบการณ์สูงมาก เหมาะมากสำหรับผู้ที่อยากให้ตำแหน่งหน้าที่การงานเจริญเติบโตก้าวหน้า ควรมีไว้บูชาพกพาติดตัวไว้เป็นอย่างเนืองนิจ ทั้งผู้ที่นิยม และศรัทธา รวมไปถึงผู้นำ นักการเมือง นักการปกครอง ผู้บังคับบัญชา หรือ นักบริหารทุกระดับชั้น ข้าราชการทุกตำแหน่ง ทุกประเภทไม่ว่าชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย นายทหารทุกเหล่าทัพ (โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติภารกิจอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) ตำรวจ ครูบาอาจารย์ นักพูด นักขาย (ที่ต้องหยอดลูกค้า) นักเดินทางรอบโลก นักเจรจา ดารา นักร้อง นักแสดง เด็กเสี่ย ผู้ที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นทุกประเภท นักกีฬาทุกประเภท นักทำมาหากินทุกอาชีพ มนุษย์เงินเดือน ผู้ที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ผู้ที่ต้องแข่งขันกับผู้อื่น ไม่ว่าทั้งโดยตรง หรือโดยอ้อม ผู้มีอิทธิพล ผู้ที่มีศัตรูมากคอยจ้องคิดจะทำร้ายเราอยู่เสมอๆๆๆ พ่อค้า แม่ค้า ประชาชนทั่วไป ก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน ควรมีไว้บูชาเป็นอย่างยิ่ง






พุทธคุณแรงเกินราคา คุ้มค่ามากๆๆๆ กับความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน การมีชื่อเสียง ตำแหน่งที่สูงขึ้น การมีโชคลาภขั้นสูง มหาเสน่ห์ มหานิยมที่รุนแรงต่อเพศตรงข้าม การชนะเหนือคู่แข่งขันทั้งหลาย ฯลฯ เป็นต้น

สาธุ สาธุ สาธุ

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-15 12:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


พระบารมี 10 ทัศน์ ดีใจที่ได้มีส่วนร่วมครับ โอกาสดีๆที่หาได้ยาก
ขอบคุณครับ
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-17 06:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การสร้างบารมีใน ๑๐ พระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์เจ้า ซึ่งเป็นการสร้างบารมีที่ยิ่งใหญ่ เรียกอีกประการหนึ่งว่าบารมี ๑๐ ทัศ คือ ทานบารมี  ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งการสร้างบารมีทั้ง ๑๐ พระชาติสุดท้ายนั้น ทรงจุติหรือมาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละพระชาติดังมีพระนามและการบำเพ็ญพระบารมีดังนี้


พระเจ้าสิบชาติ
พระเตมีย์          ผู้ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
พระมหาชนก ผู้ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี
สุวรรณสาม ผู้บำเพ็ญเมตตาบารมี
พระเนมิราช ผู้ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี
มโหสถบัณฑิต ผู้ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี
พระภูริทัต ผู้ทรงบำเพ็ญศีลบารมี
พระจันทกุมาร ผู้ทรงบำเพ็ญขันติบารมี
พระมหานารทกัสสปะ ผู้ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี
วิธุรบัณฑิต ผู้บำเพ็ญสัจบารมี
พระเวสสันดร ผู้ทรงบำเพ็ญทานบารมี
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-17 06:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทศชาติชาดก
"เปิดกรุพุทธตำนาน" เสียงบรรยายโดย อาจารย์บรรเจิด สังข์สวน            

                 ฟัง-เปิดกรุพุทธตำนานโดย อาจารย์บรรเจิด สังข์สวน                                


ชาดก คือ ?
ขอยกคำอธิบายด้วยข้อมูลในพระไตรปิฏก ดังนี้
...
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ สุตตันตปิฎกที่ ๑๙ ขุททกนิกายชาดก ภาค ๑
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ เป็นภาคแรกของชาดก ได้กล่าวถึงคำสอนทางพระพุทธศาสนา อันมีลักษณะเป็นนิทานสุภาษิต แต่ในตัวพระไตรปิฎกไม่มีเล่าเรื่องไว้ มีแต่คำสุภาษิต รวมทั้งคำโต้ตอบในนิทานเรื่องละเอียดมีเล่าไว้ในอรรถกถา คือหนังสือที่แต่งขึ้นอธิบายพระไตรปิฎกอีกต่อหนึ่ง
คำว่า ชาตก หรือ ชาดก แปลว่า ผู้เกิด คือเล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิด ถือเอากำเนิดในชาติต่างๆ ได้พบปะผจญกับเหตุการณ์ดีบ้างชั่วบ้าง แต่ก็ได้พยายามทำความดีติดต่อกันมากบ้างน้อยบ้างตลอดมา จนเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย

กล่าวอีกอย่างหนึ่ง จะถือว่า เรื่องชาดกเป็นวิวัฒนาการแห่งการบำเพ็ญคุณงามความดี ของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็ได้
ในอรรถกถาแสดงด้วยว่า ผู้นั้นผู้นี้กลับชาติมาเกิดเป็นใครในสมัยพระพุทธเจ้า แต่ในบาลีพระไตรปิฎกกล่าวถึงเพียงบางเรื่อง เพราะฉะนั้น สาระสำคัญจึงอยู่ที่คุณงามความดีและอยู่ที่คติธรรมในนิทานนั้นๆ
อนึ่ง เป็นที่ทราบกันว่าชาดกทั้งหมดมี ๕๕๐ เรื่อง แต่เท่าที่ได้ลองนับดูแล้วปรากฏว่า ในเล่มที่ ๒๗ มี ๕๒๕ เรื่อง, ในเล่มที่ ๒๘ มี ๒๒ เรื่อง รวมทั้งสิ้นจึงเป็น ๕๔๗ เรื่อง ขาดไป ๓ เรื่อง แต่การขาดไปนั้น น่าจะเป็นด้วยในบางเรื่องมีนิทานซ้อนนิทาน และไม่ได้นับเรื่องซ้อนแยกออกไปก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม จำนวนที่นับได้ จัดว่าใกล้เคียงมาก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ สุตตันตปิฎกที่ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดกภาค ๒
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ เป็นเล่มที่รวมเรื่องชาดกที่เล็กๆน้อยๆรวมกันถึง ๕๒๕ เรื่อง แต่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ นี้มีเพียง ๒๒ เรื่อง เพราะเป็นเรื่องยาวๆทั้งนั้น โดย ๑๒ เรื่องแรกเป็นเรื่องที่มีคำฉันท์ ส่วน ๑๐ เรื่องหลัง คือเรื่องที่เรียกว่า มหานิบาตชาดก แปลว่า ชาดกที่ชุมนุมเรื่องใหญ่ หรือที่โบราณเรียกว่า ทศชาติ
...
ข้อมูลจาก : พระไตรปิฎกฉบับประชาชน อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ

ดังนั้นเนื้อเรื่อง ทศชาติชาดก ทั้งสิบเรื่องที่เว็บธรรมะไทย มีให้ผู้อ่านได้อ่าน ได้แก่

10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-5-17 06:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๑ เตมีย์ชาดก (พระเตมีย์)
ดาวน์โหลดเสียงธรรมะนิทานเรื่อง พระเตมีย์            

                                                      




พระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้ากาสิกราช ครองเมืองชื่อว่า พาราณสี มีพระมเหสี พระนามว่า จันทรเทวี พระราชาไม่มีพระราชโอรสที่จะครองเมืองต่อจากพระองค์ จึงโปรดให้พระนางจันทรเทวีทำพิธีขอพระโอรสจากเทพเจ้า พระนางจันทรเทวีจึงทรงอธิษฐานว่า

"ข้าพเจ้าได้รักษาศีล บริสุทธิ์ตลอดมา ขอให้บุญกุศลนี้บันดาลให้ข้าพเจ้ามีโอรสเถิด"

ด้วยอานุภาพแห่งศีลบริสุทธิ์ พระนางจันทรเทวีทรงครรภ์ และประสูติพระโอรสสมดังความปราถนา พระโอรส มีรูปโฉม งดงามยิ่งนัก ทั้งพระราชาพระมเหสี และประชาชนทั้งหลาย มีความยินดีเป็นที่สุด พระราชาจึงตั้งพระนามโอรสว่า เตมีย์ แปลว่า เป็นที่ยินดีของคนทั้งหลาย บรรดาพราหมณ์ผู้รู้วิชาทำนายลักษณะบุคคล ได้กราบทูล พระราชาว่า พระโอรสองค์นี้มีลักษณะประเสริฐ เมื่อเติบโตขึ้น จะได้เป็นพระราชาธิราชของมหาทวีปทั้งสี่ พระราชาทรงยินดี เป็นอย่างยิ่ง และทรงเลือกแม่นมที่มีลักษณะดีเลิศตามตำรา จำนวน 64 คน เป็นผู้ปรนนิบัติเลี้ยงดูพระเตมีย์กุมาร

วันหนึ่ง พระราชาทรงอุ้มพระเตมีย์ไว้บนตักขณะที่กำลังพิพากษาโทษผู้ร้าย 4 คน พระราชาตรัสสั่งให้เอาหวาย ที่มีหนามแหลมคมมาเฆี่ยนผู้ร้ายคนหนึ่ง แล้วส่งไปขังคุกให้เอาฉมวกแทงศีรษะผู้ร้ายคนที่สาม และให้ใช้หลาว เสียบผู้ร้ายคนสุดท้าย พระเตมีย์ซึ่งอยู่บนตักพระบิดาได้ยินคำพิพากษาดังนั้น ก็มีความตกใจหวาดกลัว ทรงคิดว่า

"ถ้าเราโต ขึ้นได้เป็นพระราชา เราก็คงต้องตัดสินโทษผู้ร้ายบ้างและคงต้องทำบาป เช่นเดียวกันนี้ เมื่อเราตายไป ก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน"

เนื่องจากพระเตมีย์เป็นผู้มีบุญจึงรำลึกชาติได้และทรงทราบว่าในชาติก่อนได้เคยเป็นพระราชาครองเมืองและได้ตัดสินโทษผู้ร้ายอย่างเดียวกันนี้ พระองค์ได้เสวยราชสมบัติในกาลนั้น 20 ปี แล้ว ต้องหมกไหม้อยู่ในนรก 80000 ปี ได้รับความทุกข์ทรมาณเป็นอันมาก พระเตมีย์ทรงมีความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทรงรำพึงว่า

"ทำอย่างไร หนอ เราจึงจะไม่ต้องทำบาป และไม่ต้องตกนรกอีก"
         

ขณะนั้นเทพธิดาที่รักษาเศวตฉัตรได้ยินคำรำพึงของพระเตมีย์จึงปรากฏกายให้พระองค์เห็นและแนะนำพระเตมีย์ว่า

"หากพระองค์ทรงหวั่นที่จะกระทำบาป ทรงหวั่นเกรงว่าจะตกนรก ก็จงทำเป็น หูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อยเปลี้ย อย่าให้ชนทั้งหลาย รู้ว่าพระองค์เป็นคนฉลาด เป็นคนมีบุญ พระองค์ จะต้องมีความอดทน ไม่ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างใดก็ต้องแข็งพระทัย ต้องทรงต่อสู้ กับพระทัย ตนเองให้จงได้ อย่ายอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาชักจูงใจ พระองค์ไปจากหนทางที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้"

พระเตมีย์กุมารได้ยินเทพธิดาว่าดังนั้นก็ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่งจึงทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า

"ต่อไปนี้ เราจะทำตนเป็นคนใบ้ หูหนวก และง่อยเปลี้ย ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เราก็จะไม่ละความตั้งใจเป็นอันขาด"


นับแต่นั้นมา พระเตมีย์ก็ทำพระองค์เป็นคนหูหนวกเป็นใบ้ และเป็นง่อย ไม่ร้อง ไม่พูด ไม่หัวเราะ และไม่เคลื่อนไหว ร่างกายเลย พระราชาและพระมเหสีทรงมีความวิตกกังวลในอาการของพระโอรส ตรัสสั่งให้พี่เลี้ยงและแม่นมทดลอง ด้วยอุบายต่างๆ เช่น ให้อดนม พระเตมีย์ก็ทรงอดทน ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความหิวโหย ครั้นพระราชาให้พี่เลี้ยง เอาขนมล่อ พระเตมีย์ก็ไม่สนพระทัย นิ่งเฉยตลอดเวลา พระราชาทรงมีความหวังว่า พระโอรสคงไม่ได้หูหนวก เป็นใบ้ และง่อยเปลี้ยจริง จึงโปรดให้ทดลอง ด้วยวิธีต่างๆ เป็นลำดับ เมื่ออายุ 2 ขวบ เอาผลไม้มาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ 4 ขวบ เอาของเสวยรสอร่อยมาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ 5 ขวบ พระราชาให้เอาไฟมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่แสดงความ ตกใจกลัว อายุ 6 ขวบ เอาช้างมาขู่ อายุ 7 ขวบ เอางูมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่หวาดกลัว ไม่ถอยหนีเหมือนเด็กอื่นๆ พระราชาทรงทดลองด้วยวิธีการต่างๆเรื่อยมา จนพระเตมีย์ อายุได้ 16 พรรษา ก็ไม่ได้ผล พระเตมีย์ยังทรงทำเป็นหูหนวก ทำเป็นใบ้ และไม่เคลื่อนไหวเลย ตลอดเวลา 16 ปี

                 ในที่สุด พระราชาก็ให้หาบรรดาพราหมณ์และที่ปรึกษาทั้งหลายมาและตรัสถามว่า

"พวกเจ้าเคยทำนายว่า ลูกเราจะเป็น ผู้มีบุญ เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อลูกเรามีอาการเหมือนคน หูหนวก เป็นใบ้ และเป็น ง่อยเช่นนี้ เราจะทำอย่างไรดี"

พราหมณ์และที่ปรึกษาพากันกราบทูลว่า

"เมื่อตอนที่ประสูตินั้นพระโอรส มีลักษณะเป็นผู้มีบุญ แต่บัดนี้ เมื่อได้กลับกลายเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ เป็นง่อย ก็กลายเป็นกาลกิณีจะ ทำให้บ้านเมืองและประชาชนเดือดร้อน ขอให้พระองค์สั่งให้นำพระโอรสไปฝังที่ป่าช้าเถิดพะย่ะค่ะ จะได้สิ้นอันตราย"


พระราชาได้ยินดังนั้นก็ทรงเศร้าพระทัยด้วยความรักพระโอรส แต่ก็ไม่อาจแก้ไขอย่างไรได้เพราะเป็นห่วงบ้านเมืองและ ประชาชน จึงต้องทรงทำตามคำกราบของพราหมณ์และที่ปรึกษาทั้งหลาย พระนางจันทเทวีทรงทราบว่าพระราชาให้นำ พระโอรสไปฝังที่ป่าช้าก็ทรงร้องไห้คร่ำครวญว่า

"พ่อเตมีย์ลูกรัก ของแม่ แม่รู้ว่าลูกไม่ใช่คนง่อยเปลี้ย ไม่ใช่คนหูหนวก ไม่ใช่คนใบ้ ลูกอย่าทำอย่างนี้เลย แม่เศร้าโศกมา ตลอดเวลา 16 ปีแล้ว ถ้าลูกถูกนำไปฝัง แม่คงเศร้าโศกจนถึงตายได้นะลูกรัก"


พระเตมีย์ได้ยินดังนั้นก็ทรงสงสารพระมารดาเป็นอันมาก ทรงสำนึกในพระคุณของพระมารดา แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงรำลึกว่า พระองค์ตั้งพระทัยไว้ว่า จะไม่ทำการใดที่จะทำให้ต้องไปสู่นรกอีก จะไม่ทรงยอมละความตั้งใจที่จะทำเป็นใบ้ หูหนวก และเป็นง่อย จะไม่ยอมให้สิ่งใดมาชักจูงใจพระองค์ ไปจากหนทางที่ทรงวางไว้แล้วนั้นเป็นอันขาด

พระราชาจึงตรัสสั่งให้นายสารถีชื่อ สุนันทะ นำพระเตมีย์ขึ้นรถเทียมม้าพาไปที่ป่าช้าผีดิบ ให้ขุดหลุมแล้วเอาพระเตมีย์โยนลงไปในหลุมเอาดินกลบเสียให้ตาย นายสุนันทะจึงทรงอุ้มพระเตมีย์ขึ้นรถเทียมม้าพาไปที่ป่าช้าผีดิบเมื่อไปถึงป่าช้านายสุนันทะก็เตรียม ขุดหลุมจะฝังพระเตมีย์ พระเตมีย์กุมารประทับอยู่บนราชรถ ทรงรำพึงว่า

"บัดนี้เราพ้นจากความทุกข์ ว่าจะต้องเป็นพระราชา พ้นความทุกข์ว่า จะต้องทำบาป เราได้อดทนมาตลอดเวลา 16 ปี ไม่เคยเคลื่อน ไหวร่างกายเลย เราจะลองดูว่า เรายังคงเคลื่อนไหวได้หรือไม่ มีกำลังร่างกายสมบูรณ์หรือไม่"

รำพึงแล้ว พระเตมีย์ก็เสด็จลงจากราชรถ ทรงเคลื่อนไหว ร่างกาย ทดลองเดินไปมา ก็ทราบว่า ยังคงมีกำลังร่างกาย สมบูรณ์เหมือนคนปกติ จึงทดลองยกราชรถ ก็ปรากฏว่าทรงมีกำลังยกราชรถขึ้นกวัดแกว่ง ได้อย่างง่ายดาย จึงทรงเดินไปหา นายสุนันทะที่กำลังก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่ พระเตมีย์ตรัสถาม นายสุนันทะว่า

"ท่านเร่งรีบขุดหลุมไปทำไม"

นายสุนันทะตอบ คำถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูว่า

"เราขุดหลุมจะฝังพระโอรส ของพระราชา เพราะพระโอรสเป็นง่อย เป็นใบ้ และหูหนวก พระราชาตรัสสั่งให้ฝัง เสีย จะได้ไม่เป็นอันตรายแก่บ้านเมือง"





ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้