ส่วนฝ่ายสงฆ์ท่านอาจารย์เฉยได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว โดย...ท่านพระครูวิสุทธิจารี เจ้าอาวาสวัดจันพอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระ........(สืบค้นไม่พบ..........เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดทอง (พระครูสุวรรณสารธารี) วัดพระอาสน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เจ้านาคไข่แดงได้กล่าวขานนาคถูกต้องคล่องแคล่วชัดเจนได้ดีประชุมสงฆ์ครบองค์ กำหนดเป็นปกตัตต์ในพัทธสีมาวัดท่าสูง การอุปสมบทก็ได้ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยในวันนั้น จนเสร็จจบพิธีลง พระอุปัชฌาย์ให้นามว่า พระแดง ฉายา จันทสโร ตัดคำว่าไข่ออกเสียตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เมื่อได้อุปสมบทแล้วได้จำพรรษากับท่านอาจารย์เฉยที่วัดท่าสูงต่อมา เล่าเรียนการสวดมนต์ สวดพระธรรมวินัย ตามที่ท่านอาจารย์สั่งสอนแนะนำให้ การเรียนมนต์ก็เรียนตามหูเช่นเคย คือการฟังบรรดาพระเพื่อนๆเขาเรียน บทใด สูตรใด พระแดงก็จำได้ดีทุกบททุกสูตร เมื่อสวดมนต์ที่ไหน เมื่อไหร่ พระแดงก็สวดได้ถนัดชัดเจน เช่นเดียวกันกับบรรดาเพื่อนพระอื่นๆเขาทั้งหลาย ตั้งแต่ได้อุปสมบทมาแล้วก็ได้อยู่กับท่านอาจารย์เฉยที่วัดท่าสูงถึง ๕ พรรษา
รูปหล่อหลวงพ่อแดง วัดโท รุ่นแรก ปี 2507 อุดกริ่ง จ.นครศรีธรรมราช หลวงพ่อแดง ย้ายมาอยู่ที่ วัดโคกเหล็ก ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๘ ที่วัดโคกเหล็กขาดพระลงต้องตกเป็นวัดร้างว่างพระอยู่ในระหว่างนั้น นายหนูผู้เป็นโยมพ่อพร้อมด้วยญาติพี่น้องบ้านโคกหว้าและชาวบ้านใกล้เคียงบริเวณวัดนั้น ก็ได้ตกลงพร้อมกันไปขอนิมนต์ พระแดง จันทสโร ต่อท่านอาจารย์เฉยมาช่วยรักษาวัดที่วัดโคกเหล็ก พอได้ให้บรรดาญาติโยมชาวบ้านบริเวณนั้นได้ทำบุญใกล้บ้าน วัดโคกเหล็กนี้เป็นวัดที่ไม่ห่างไกลบ้านเกิดของท่านนัก แต่เนื่องจากท่านไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่ให่คุ้นเคยเท่าไหร่นัก นับแต่คลอดมาแล้วไม่กี่วัน ก็ต้องพรากจากอกบิดามารดาของท่านไปอยู่กับนางทองดำมารดายกของท่านที่ บ้านประตูช้าง จนถึงกับท่านไม่รู้จักบิดามารดาตังจริงของท่าน เพราะท่านถือว่านางทองดำนั้นแหละเป็นมารดาของท่านที่แท้จริง แม้ว่าใครจะบอกเล่าสัดเท่าไรๆ ท่านก็ไม่ยอมเชื่อ แต่เมื่ออยู่มานานเข้า ถูกเขาบอกเล่าหลายๆครั้งหลายๆคนเขาก็บอกเล่าเช่นเดียวกัน แกก็ยอมเชื่อตามความเป็นจริง ท่านได้รู้เรื่องราวที่ต้องจากไป
เพราะเหตุต้องอดน้ำนมของมารดาตั้งแต่แรกเกิด เรื่องที่ท่านได้ถือว่าตัวท่านเองได้ได้เป็นผู้ทำกรรมมาแล้ว จึงต้องเป็นเช่นนี้ ท่านจึงอยากอยู่ในร่มกาสาวพัตรไปตลอดชีวิต การมาอยู่ที่วัดโคกเหล็กของท่านในครั้งนั้น ก็สุดแสนจะยากลำบากยากแค้นมาก เพราะเป็นวัดที่ตั้งอยู่กลางป่าดงพงไพร ห่างไกลหมู่บ้านคนพอควร รอบๆวัดล้วนเป็นป่ายางสูงสล้างไปหมด สิ่งก่อสร้างที่มีอยู่ในวัดนั้นมาก่อนก็มี อุโบสถโบราณที่เก่าแก่คร่ำคร่า ซึ่งยังคงมีอยู่จนทุกวันนี้หลังหนึ่ง กับกุฏิเก่าหลังหนึ่ง และหอฉันเก่าหลังหนึ่งเท่านั้น มีลานวัดเล็กๆอยู่ใกล้อุโบสถซึ่งเป็นพื้นสูงอยู่นิดหน่อยเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นที่ป่ามีพื้นที่ราบลุ่มต่ำเป็นป่า น้ำราดรุงรังไปด้วยป่าละเมาะเต็มไปด้วยหญ้าคาและหญ้าอื่นๆเต็มไปทั้งวัด เมื่อพระแดง จันทสโร ได้มาอยู่ ท่านก็ได้ออกปากไหว้วานบรรดาญาติโยม ที่อยู่ใกล้บริเวณวัดนั้น ช่วยกันแผ้วถางดายหญ้าจุดไปเรื่อยมา ค่อยบุกเบิกเขตวัดให้กว้างขวางออกไปตั้งหลายเท่าของวัดเดิม เพราะในสมัยนั้นที่ทางต่างๆที่รกร้างว่างเปล่าอยู่แทบทั้งนั้น ไม่มีใครเข้าจับจองเป็นเจ้าของท่านก็ได้ลงมือหักป่าลงให้กลายเป็นวัดวาอารามมิใช่น้อย ต้องโค่นแผ่ต้นไม้ใหญ่ๆเอาเสียมากทีเดียว พร้อมกันนั้นก็ได้ติดตามไปด้วยการปลูกผลอาสินไว้สำหรับวัดเป็นอันมาก ทั้งที่เป็นไม้ประเภทล้มลุกและยืนต้น เช่น กล้วย อ้อย หมาก มะพร้าว และผลไม้อื่นๆอีกมาก เมื่อขยายเขตวัดให้กว้างขวางออกไป ก็จำเป็นจะต้องให้มีรั้วรอบขอบชิดบริเวณวัด ท่านก็จะต้องปลุกปล้ำทำงานชนิดนี้อยู่ไม่ได้เว้นแต่ละวัน บางครั้งแถมกลางคืนเข้าไปด้วย ทั้งนี้ด้วยน้ำใจอันเข้มแข็งบากบั่นของท่านถึงเช่นนี้ เมื่ออกปากใช้ชาวบ้านและญาติโยมเขาจนเบื่อเกือบไม่มีใครกล้ามาวัด เพราะครั้นมาก็ถูกท่านใช้งานให้ช่วยกันตกแต่งวัดอยู่เสมอทุกครั้งที่เข้ามา หนักๆเข้าก็ไม่มีใครกล้ามาวัด มีอยู่บ้างก็น้องๆผู้หญิงเอาอาหารมาถวายเท่านั้น ท่านเห็นความลำบากเช่นนั้นเข้าท่านจึงต้องทำเอง เพราะแหนะไม้และกอไผ่ป่าก็ยังขึ้นอยู่มากต้องจุดไปเผาขอนไม้ยางและตอไม้โตๆเป็นอันมากเกือบจะพูดได้ว่านับไม่ถ้วน ท่านต้องลงมือทำเอง เอามากทีเดียวทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ค่อยได้หยุด
การที่ท่านทำงานตรากตรำอยู่เช่นนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้บางคนหรือบางพวก ต้องติเตียนว่าท่านประพฤติผิดกิจสมณะสารูปไปบ้าง ครั้งหนึ่ง ขุนเยี่ยม ปลัดอำเภอท่าศาลา ได้มาเจอะท่านกำลังถางกอไผ่และป่าละเมาะอยู่ เรื่องนี้ทำให้ท่านขุนไม่พอใจเลยให้นามท่านว่า “พระจง” ก็มี ความตำหนิติเตียนในเรื่องทำนองนี้ก็มีอยู่เสมอมา ข่าวการตำหนิติเตียนท่านอย่างนี้ก็มีอยู่บ่อยๆ จนทราบถึงหูนายหนูผู้เป็นโยมพ่อ ก็นึกแค้นเคืองต่อผู้ตำหนิติเตียนท่านเป็นอันมาก จนสุดที่จะระงับคำพูดของคนเหล่านั้นได้ ด้วยความโกรธแค้นฉุนเฉียวในเรื่องนี้จึงได้มาหาท่าน แล้วก็กล่าวเอ่ยขึ้นมา “ต้น ถ้าคุณชอบทำงานอยู่อย่างนี้แล้วก็ควรจะสึกเสียดีกว่า ออกไปทำงานทางบ้าน จะได้ไม่ต้องเป็นขี้ปากคนนัก ผมเบื่อคนพูดเสียเต็มทีแล้ว สึกเสียเถอะผมจะเอาผ้ามาให้” ท่านนั่งฟังอยู่ พอโยมพ่อจะลงไป ท่านก็พูดส่งท้ายไปว่า “ใครเอาผ้ามาให้ฉัน ถ้าฉันไม่สับให้หมดแล้วคอยดู” เมื่อนายหนูผู้เป็นโยมพ่อได้ฟังดังนั้นก็ออกเดินเงียบหายไป ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลยแม้ว่าใครจะตำหนิติเตียนสักเท่าไร ท่านก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ใครพูดได้ก็พูดไป ท่านก็ไม่หวาดหวั่นครั่นคร้ามต่อคำพูดของบุคคลเหล่านั้นแม้แต่น้อย
มุ่งตั้งใจปรับปรุงวัดวาอารามให้มีความเจริญขึ้นเพียงอย่างเดียวก็แล้วกัน ท่านมาอยู่วัดโคกเหล็กนี้บางปีก็มีเพื่อนพระมาจำพรรษาครบ 5 รูปบ้าง ไม่ครบบ้าง บางปีก็มีแต่ท่านองค์เดียว ต้องพลอยไปจำพรรษาที่วัดอื่น เช่นที่วัดหมายบ้าง ที่วัดพระอาสน์บ้าง เป็นอยู่อย่างนี้เสมอมาเพราะผู้จะเข้ามาอยู่ในวัดบวชกับท่านได้ ก็ต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือได้เท่านั้น เมื่อใครอ่านผิดท่านก็สอนให้ว่าให้ถูก คือคอยตักเตือนอยู่ได้เพียงเท่านั้น จะแนะนำให้รู้จักอักษร สระ ท่านก็สอนไม่ได้ อยู่ต่อมาปีหนึ่งมีนักบวชคนหนึ่ง ตั้งใจจะเข้าไปเรียนบวช พอเรียนเข้าไม่กี่วันก็กลายเป็นคนสติไม่ดีไปเสีย นักบวชคนนี้คือนายแพบ บ้านอยู่ที่ประตูช้าง ซึ่งภายหลังได้กลับมาอยู่บ้านเพื่อรักษาตามแผนโบราณ แต่ก็ไม่หายขาด เป็นแต่เพียงทุเลา แต่ต่อมาก็ได้เป็นศิษย์ติดตัวเป็นคู่สร้างบารมีกับพ่อท่านแดงต่อมา นายแพบคนนี้เป็นคนกำยำล่ำสันดี และเป็นคนขยันขันแข็งต่อกิจการงานที่ตนสามารถทำได้ทุกอย่าง
ได้ทุกอย่าง
|