ท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
เรื่องนี้..เป็นเรื่องของลุงเปล่ง..ซึ่งเป็นบุคคลต้นวิชชาที่ชอบมาเล่าเรื่องราวของหลวงปู่ให้หลวงพ่อธัมมชโยฟังบ่อยๆ อีกทั้งยังเคยมาวัดฟังธรรมตั้งแต่ครั้งยังเป็นทุ่งนาฟ้าโล่งอีกด้วย
ลุงเปล่งเป็นทานบดีของวัดปากน้ำ..ที่ชอบมาถวายภัตตาหารกับหลวงปู่..พร้อมกับภรรยาอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลุงเปล่งคุ้นเคยกับหลวงปู่ แต่ทว่า..แม้คุ้นเคยกับหลวงปู่มากสักแค่ไหน ลุงเปล่งก็ไม่เคยจะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สักเท่าไรที่บอกอย่างนี้ไม่ใช่เพราะลุงเปล่งไม่เคารพหรือลบหลู่หลวงปู่ แต่เป็นเพราะลุงเปล่งไม่ค่อยเข้าใจและตามไม่ทันในเรื่องการทำวิชชาของหลวงปู่ โดยลุงเปล่งจะชอบพูดว่า “หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป” อีกทั้งยังไม่ค่อยเชื่อในอานุภาพวิชชาธรรมกายอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้....ลุงเปล่งจึงเป็นคนพิเศษเพียงคนเดียว ที่แม้ยังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย แต่หลวงปู่ท่านก็เอ็นดู และอนุญาตให้เข้าไปในโรงงานทำวิชชาซึ่งก็คือกุฏิของท่าน เพื่อให้ลุงเปล่งได้ประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์ของพระธรรมกายด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่ในสมัยนั้น ผู้ที่จะเข้าไปในโรงงานทำวิชชาได้ ต้องเป็นพวกที่เข้าถึงพระธรรมกายเท่านั้น แต่สำหรับลุงเปล่งแล้ว หลวงปู่จะพาท่านไปที่ประตูของโรงงานทำวิชชาแล้วบอกว่า..
“เปล่ง..เวลาเอ็งเข้ามาที่นี่ เอ็งเอามือล้วงข้างล่าง..แล้วดันไม้อย่างนี้นะ แล้วประตูมันจะเปิดเอง และถ้าเอ็งเข้าไปแล้ว..ก็ให้นั่งเฉยๆ นะ..อย่าส่งเสียงพูดอะไร เพราะเขากำลังทำวิชชากัน”
ซึ่งพอลุงเปล่งลองเข้าไปจริงๆ ท่านก็ออกมาเล่าว่า “พอเข้าไปแล้ว..เราเหมือนคนบ้านะ เพราะไม่รู้เขาพูดอะไรกัน พูดกันอยู่ 2 คำ คือ ทำให้ละเอียด..ละเอียดลงไป ..ละเอียดหรือยัง ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงก็จะตอบหลวงปู่ว่า ละเอียดแล้วเจ้าค่ะ ถ้าเป็นพระก็จะตอบว่า ละเอียดแล้วครับ คือ ฟังแล้ว..ไม่เห็นจะมีอะไร มีแต่คำว่าละเอียด และพอหลวงปู่ถามพวกที่ทำวิชชาว่า สว่างหรือยัง เขาก็ตอบออกมาว่า สว่างแล้วเจ้าค่ะ..”
จากนั้นหลวงปู่ก็บอกลุงเปล่งว่า “..เออ เปล่ง!! ไหนเอ็งลองออกไปดูสิ ท้องฟ้าสว่างหรือยัง” ซึ่งลุงเปล่งก็ได้ยินแต่ไม่เข้าใจ คือ ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกัน แต่พอเปิดประตูออกมาดูนอกโรงงานทำวิชชา ทันใดนั้น..ลุงเปล่งก็เห็นท้องฟ้าสว่างจ้าเลย แต่ลุงเปล่งก็แค่นึกในใจว่า “..เอ..!! ตอนเราเข้ามาวัดใหม่ ๆ ท้องฟ้ายังมืดตื้ออยู่เลย...มืดจนน่ากลัว เอ๊ะ..!! แต่ทำไมตอนนี้มันสว่างจ้าเลย..”
จากนั้นก็กลับเข้ามารายงานหลวงปู่ทั้งๆ ที่ยังงงไม่หายว่า.. “สว่างแล้วครับ” ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านก็นิ่งๆ ต่อไปโดยไม่พูดอะไร จากนั้นลุงเปล่งก็คิดในใจว่า.. “เรานั่งมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไร มีแต่พูดคำว่าละเอียด..ออกไปดีกว่า..ขืนอยู่ในนี้ต่อไป..บ้ากันพอดี”
ในช่วงนั้น..นอกจากลุงเปล่งจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการทำวิชชาแล้ว ลุงเปล่งยังเชื่อและศรัทธาในวิชาโหราศาสตร์อีกด้วย เพราะในช่วงที่ลุงเปล่งหัดเป็นหมดดู ท่านจะชอบมาคุยอวดให้หลวงปู่ฟังว่าตำราโหราศาสตร์...มันดีอย่างนั้น..อย่างนี้ แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้ ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านก็บอกว่า “..สู้ “สัมมา อะระหัง” ไม่ได้หรอกวะ เพราะเป็นทางมรรคผลนิพพาน”
แต่ลุงเปล่งก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร แถมยังยืนยันความเชื่อของตัวเองอยู่ดี คือ เมื่อลุงเปล่งมาหาหลวงปู่ทีไร ก็จะบอกแต่ว่าโหราศาสตร์แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้..อยู่เรื่อย จนหลวงปู่รำคาญ จึงพูดกลับไปว่า.. “เปล่ง..ข้าให้เอ็งดูแม่นสัก 10 ปี คือ ในช่วง 10 ปีนี้..เอ็งจะแม่นมากทีเดียว แต่หลังจากนั้น ตอนท้ายของชีวิตนี่..เอ็งจะจำได้แค่ “สัมมา อะระหัง” วิชาอย่างอื่นเอ็งจะลืมหมดเลย..!!
ซึ่งตอนนั้น..ไม่ว่าหลวงปู่จะพูดยังไงลุงเปล่งก็ไม่เชื่อ หนำซ้ำยังไม่คิดจะเป็นไปได้เลย เพราะช่วงนั้นลุงเปล่งเป็นหมอดูที่แม่นมาก คือ แม่นในระดับเทพเรียกทวด เพราะไม่ว่าลุงเปล่งจะจับตำราเล่มไหนมาอ่าน ก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งหมด แถมยังแตกฉานถึงขนาดเขียนตำราหมอดูเองได้ แต่หลังจาก 10 ปี ผ่านไปเท่านั้นเอง...ลุงเปล่ง..เกิดเป็นอะไรไปก็ไม่ทราบ ทายใครก็แค่เกือบถูก ซึ่งก็แปลว่าไม่ถูก แถมไม่แม่นเหมือนเก่า เพราะที่เคยศึกษามา มันลืมไปจริงๆ ซึ่งลุงเปล่งบอกว่า ที่พอจะจำได้บ้าง..ก็เป็นพวกคาถาอาคม และเมื่อเป็นอย่างนี้ ลุงเปล่งก็เลยเกิดอาการเสียเซลฟ์ (Self) เพราะอะไร..ทำไมมันดูไม่แม่น ซึ่งท่านก็ตอบลุงเปล่งไปว่า “..ก็มันครบ 10 ปี แล้วนี่หว่า”
ซึ่งลุงเปล่งนับเวลาดู ท่านก็ต้องทึ่ง เพราะเมื่อนับเวลาดูแล้วมันเลย 10 ปีไปแค่ 1 วันเท่านั้นเอง ลุงเปล่งก็กลายเป็นหมอดูที่ดูไม่แม่นแล้ว และที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้น คือ ในบั้นปลายชีวิตของลุงเปล่ง ก็เป็นไปตามที่หลวงปู่บอกไว้เป๊ะเลย คือ ลุงเปล่งบอกว่า..” เป็นไงก็ไม่รู้ คาถง..คาถา หมอดง..หมอดู อะไรที่เคยเรียนมามันลืมไปหมดเลย เหลือแต่ “สัมมา อะระหัง” อย่างเดียวจริงๆ ซึ่งทำไมมันลืมก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่พยายามนึกๆ แล้ว แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก”
ซึ่งภรรยาลุงเปล่งเล่าให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยฟังที่อาคารดาวดึงส์ “คุณเปล่งเขาจำอะไรไม่ได้เลย จริงอย่างที่หลวงพ่อพูดไว้ไม่มีผิด คือ ไม่รู้..คุณเปล่งแกเป็นอะไร เขาบอกจำอะไรไม่ค่อยได้เหลือแต่ “สัมมา อะระหัง” อย่างเดียวเท่านั้น”
จากการที่ลุงเปล่งไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่เลยทำให้มีคนไปถามลุงเปล่งว่า ทำไม..ถึงไม่ค่อยเชื่อหลวงพ่อ? ซึ่งลุงเปล่งก็จะตอบทันทีเลยว่า “ก็จะให้เชื่อได้ยังไง เพราะเคยเห็นเกจิอาจารย์แทบทุกคนเลย เวลาเขาจะทำของขลัง หรือทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไร เขาจะมีพิธีรีตอง จะต้องท่องคาถา ต้องเขียนเลขสักยันต์ หรือไม่ก็เสกเป่าอะไรเลยสักอย่าง คือ พอเราพูดหรือขออะไรเสร็จ..แป๊ปเดียว..ยังไม่ทันไรเลย..หลวงพ่อท่านก็พูดกลับมาว่า..เรียบร้อยแล้ว หรืออย่างขณะที่หลวงพ่อกำลังนั่งฉันอยู่ พอมีญาติโยมเข้ามาขอบารมีให้ท่านช่วยอะไรสักอย่าง ท่านก็ทำแค่ส่งเสียง อือๆ..แถม อือ..ไป..ฉันไปอีกต่างหาก..”
อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่ง ลุงเปล่งก็ขนเอาผ้าเช็ดหน้าที่พิมพ์รูปหลวงปู่ ที่ทำไว้แจกญาติโยมที่มาร่วมงานมุทิตาหลวงพ่อ ในครั้งที่ท่านได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นจำนวนร้อยๆ ฝืน.. มาให้หลวงปู่ช่วยทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งลุงเปล่งก็เอาไปวางไว้ข้างๆ สำรับอาหารของหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ว่าให้วางไว้นั่น แล้วท่านก็นั่งฉันไปเรื่อยๆ และพอฉันเสร็จ ท่านก็บอกลุงเปล่งว่า “เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ็งยกออกไปได้เลย”
|