พระลูกศิษย์ก็นำมาให้ผู้เขียน (คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต) ดู บอกว่า ไม่ทราบว่าของใคร นำมาฝากท่านอาจารย์จวนไว้ ผู้เขียนเห็นตรากระทรวงมหาดไทยและเห็นมุมซองที่แสดงว่าเป็นเอกสารจากผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมก็ร้องด้วยความดีใจ ... เราหากันแทบจะพลิกแผ่นดิน (ตรงบริเวณเครื่องบินตก) ... เอกสารซองนี้อยู่ในบาตรของท่านอาจารย์นี่เอง!! คุณสมพร กลิ่นพงษา (ขอประทานออกนาม) ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (ในขณะนั้น) ได้เดินทางมาในเครื่องบินลำที่เกิดเหตุนี้ด้วย ท่านนั่งด้านท้ายเครื่องบินจึงโชคดี ไม่เสียชีวิต แต่ก็บาดเจ็บสาหัส เมื่อมีผู้ไปช่วยเหลือ ท่านยังพอมีสติอยู่จึงบอกกับผู้ที่ไว้ใจได้ทันว่า ท่านได้นำเอกสารสำคัญชิ้นหนึ่งติดตัวมาด้วย เอกสารนี้เป็นความลับของประเทศ หากตกไปอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามจะเกิดอันตรายเป็นผลเสียหายอย่างร้ายแรง ขอให้ช่วยหาให้ได้
คุณสมพร กลิ่นพงษา
เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยหาไม่พบก็มาติดต่อกับผู้เขียนให้ช่วยหาด้วย และเมื่อไม่พบจริงๆ ก็ได้แต่ภาวนาขอให้เอกสารนั้นถูกอัดหายเข้าไปในดินโคลนตม สูญหายไปเลยดีกว่าจะถูกค้นพบจนตกไปอยู่ในมือฝ่ายตรงข้าม หรือถูกนำไปเปิดเผยให้เสียหายแก่บ้านเมือง สองวันเต็มๆ ที่ใจคอไม่ดีกัน แล้วก็มาพบจนได้ ... จึงโทรศัพท์เชิญทางกระทรวงมหาดไทยมาดู ท่านก็ยืนยันว่าใช่... เป็นเอกสารที่ต้องการจริงๆ ขณะนั้นนึกเพียงว่า ประหลาด... ทำไมคุณสมพรนึกยังไงถึงได้เอาซองเอกสารสำคัญไปฝากท่านอาจารย์จวนไว้ ไม่เก็บไว้กับตัว หรือเกิดสังหรณ์อะไรจึงเอาไปฝากไว้ หรือท่านอาจารย์ "รู้ล่วงหน้า" ก็เลยเรียกให้เอาไปฝากไว้? ว่าจะถาม แต่คุณสมพรตอนนั้นก็เจ็บหนัก ไม่ควรไปกวน ต่อมาเมื่อท่านหายเจ็บแล้ว ตามวิสัยคนกรุง...เรื่องผ่านไปแล้วก็ลืมไปเลย แม้พบคุณสมพรภายหลังก็พูดคุยกันเรื่องอื่นไปหมด จนกระทั่งเมื่อจะจัดตั้งเครื่องบริขารในห้องพิพิธภัณฑ์ คิดจะแยกเป็นกลุ่ม เพื่อแสดงบริขารที่ท่านอาจารย์จวนใช้ในวันเครื่องบินตกโดยเฉพาะ พอเห็นบาตรบุบจึงนึกขึ้นได้ว่าจะเรียนถามท่านสักหน่อยว่า คุณสมพรเอาไปฝาก...หรือท่านอาจารย์เรียกให้เอาไปฝาก โทรศัพท์ติดต่อกับท่านได้เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๒ และท่านก็อุทานดังลั่นเมื่อทราบเรื่อง "อะไรนะครับ!! ซองเอกสารนั่นหรือครับ...ได้มาจากบาตรท่านอาจารย์จวน!?" "ค่ะ" "ผมไม่ทราบเลย... เพิ่งทราบจากพี่เดี๋ยวนี้เอง โอ... ผมขนลุกไปหมด!!" "ทำไมคะ?" "ก็ผมไม่ได้เอาไปฝากท่าน... อยู่กับตัวผมตลอดเวลาจนเครื่องตก! เอกสารลับเป็นความเป็นความตายอย่างนั้น ใครจะให้คลาดจากตัว... แล้วเข้าไปอยู่ในบาตรท่านได้อย่างไร! ผมขนลุกจริงๆ! พี่บอกว่า บาตรบุบยุบอัดแน่น เปิดไม่ได้ จนพระต้องช่วยกันงัด ... เท่ากับท่านช่วยไว้ไม่ให้ใครไปพบก่อนพวกเราจะพบ...!!"
แล้วคุณสมพรก็เล่าเรื่องเท้าความให้ฟังว่า วันเกิดเหตุนั้น คุณสมพรเดินทางมาจากนครพนมเพื่อจะมารับรางวัลชนะเลิศการปราบยาเสพติด (กัญชา) ซึ่งกำหนดจะมีการมอบรางวัลกันในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๒๓ โดยปกติแล้ว ทางบริษัทเดินอากาศไทย (ซึ่งเวลานั้นยังไม่ได้มารวมกิจการกับบริษัทการบินไทย) จะสำรองที่นั่งไว้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเก้าอี้แถวที่หนึ่งเสมอ แต่เมื่อมาถึงอุดรธานี พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็มาขอร้องให้ยกที่นั่งให้คณะของท่านอาจารย์จวนที่ขึ้นเครื่องบินที่นั่น คุณสมพรจึงย้ายไปอยู่กลางลำ จากนั้นก็มีสองสามีภรรยามาบอกว่า เดินทางมากับลูกเล็กอีกคนหนึ่ง แต่ได้ที่นั่งตรงข้างคุณสมพรเพียงสองที่ จึงอยากจะขอแลกที่เพื่อให้ได้มาอยู่รวมกัน คุณสมพรเห็นใจก็เลยยอมย้ายไปนั่งแทนตรงท้ายเครื่องบิน ... ก็เลยกลายเป็นโชคดีไป เพราะผู้โดยสารทางส่วนท้ายของเครื่องบินรอดตายหลายคน! "แล้วสามคนพ่อแม่ลูกนั่นล่ะคะ?" "หมดเลยครับ ... ผมยังต้องทำบุญให้เขา ... เท่ากับเขามาตายแทนผมแท้ๆ เชียว ... โธ่!!" คุณสมพรเล่าต่อไปว่า "เรื่องเอกสารนั้น พอเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าหาได้แล้ว เอามาให้ผมดูให้รู้ว่าใช่ก็โล่งใจ และให้จัดส่งกันไปตามระเบียบ ... โอย! ไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านอาจารย์เอาเข้าไปไว้ในบาตรให้" "คุณเรียนท่านหรือระแคะระคายให้ท่านทราบเรื่องเอกสารนี่ไหม?" "โธ่พี่... จะเรียนท่านได้อย่างไร... เอกสารลับนะครับ" ความจริงผู้เขียนก็ทราบอยู่แล้วว่า ผู้ถือเอกสารลับย่อมต้องรักษาสุดชีวิต แม้ตัวจะตายก็ต้องยอม แต่ที่ถามย้ำก็เพื่อให้แน่ใจจนสิ้นสงสัยในประเด็นของท่านอาจารย์จวนต่างหากว่า... ท่านทราบได้อย่างไรว่าคุณสมพรมีเอกสารนั้น? และในวินาทีที่ความเป็นความตายกำลังคุกคามทุกคนอยู่นั้น ท่านอาจารย์จวนก็อยู่ในวินาทีแห่งความเป็นความตายด้วย แล้วท่านจะมีเวลารับกระแสภาวนาเพื่ออ่านจิตของทุกคนทั่วทั้งเครื่องบินได้ไหม? ทุกคนในเครื่องบินกำลังภาวนาหาที่พึ่ง แล้ว "ข่ายอริยญาณ" ของท่านอาจารย์จวนก็แผ่ไปเป็นปริมณฑลโดยรอบ จนเห็นว่าควรช่วยคุณสมพรซึ่งกำลังกังวลถึงเอกสารลับของประเทศ ท่านก็เลยช่วย? ... และต้องคิดด้วยว่าจะช่วยวิธีใด? และในขณะจิตนั้นเอง...วินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง ท่านก็จะต้องทำจิตของท่านด้วย ... หรือว่าท่านผู้สิ้นแล้วจากอาสวกิเลสทั้งหลายเป็น “ผู้เสร็จกิจ จบพรหมจรรย์ ไม่มีกิจอื่นที่จะต้องทำอีกต่อไป” เวลาจะละขันธ์ ท่านจึงไม่ต้องระวังรักษาจิตของท่าน? เราเคยได้ยินกันแต่เรื่องที่ท่านเมตตาช่วยในเวลาอื่น ... แล้วเมตตาช่วยในเวลาที่ขณะจิตกำลังละขันธ์นี้ ท่านทำอย่างไร? หรือ ... ฯลฯ ... หรือ ... ฯลฯ ... ? โอ...นี่เองที่สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "วิสัยของพระอริยเจ้าเป็นอจินไตย... เป็นของไม่ควรคิด... เพราะเหลือวิสัยที่ปุถุชนคนธรรมดาคนใดจะคิดได้ ... ขืนคิดไปจะเป็นบ้า"!!!
ที่มา : หนังสือ "กุลเชฏฐาภิวาท" โดย คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต http://panyayan.tnews.co.th/contents/200737/
|