ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3450
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เรื่องเล่าจากคลองบางกอกน้อย

[คัดลอกลิงก์]
( พญานาค..เรื่องที่น่ากลัวที่สุด ในคลองบางกอกน้อย..ที่แม่และ ยาย เล่าสืบมา ว่านี่คือเรื่องจริงที่ประสบมาจากตัวแม่และ ยาย เล่าต่อมา )
ในวัยเด็กตอนนั้น สิ่งที่เด็กๆ ฟังผู้ใหญ่เล่า สืบต่อกันมา ในครั้งที่ยังไม่มี น้ำ ไฟฟ้าใช้ ตะเกียง จะเป็นแหล่งพลังงานแสงจากครั้งโบราญ จนมารุ่นผม ไม่เคยมีสิ่งบันเทิงอื่นใด ตอนนั้นที่เกิดไฟฟ้าไม่มี ตู้เย็น ทีวี พัดลม มามีเมื่อไฟฟ้ามาเมื่อ ผมอยู่ ป.5 แล้ว..เรืองที่ผู้ใหญ่เล่า เริ่มที่แม่และ ยาย ..และ แม่ของยาย..ซึ่งเมื่อผมเกิด ก็ไม่เห็นแม่ของยายแล้ว ..มีแต่ยายเท่านั้น ที่อยู่ด้วยกันกับแม่มา...จากวัยที่ผมยังเป็นเด็กเล็กนั้น...
แม่เกิดใน รัชกาลที่ 6 มาจากไปในปี 2553วัย 89 ปี.ในวัยชีวิตของแม่ ในรัชกาลที่ 9 แม่อยู่มา 4 แผ่นดินเช่นกัน..และ ครอบครัวเรา ญาติพี่น้อง ก็เป็นข้ารับใช้ในวัง จากรัชการที่ 6 ในครั้งนั้น นามสกุลผม..” หุตะนาวิน..” ก็เป็นนามสกุลพระราชทาน ลำดับที่ 199 ในปีแรกที่เริ่มประกาศใช้ นามสกุล ในปี 2456 ในรัชกาลที่ 6 ที่บัญญัติให้คนไทยทุกคน ต้องมีนามสกุล
เพราะชื่อที่เรียกกัน เป็นชื่อที่ซ้ำกัน เรียกชื่อ แต่จำแนก บุคคลยาก..จึงมีการ ให้มีนามสกุลเพื่อให้ง่าย ในการรู้จักว่าใครเป็นใคร สืบเชื้อสายมาจากใคร ในชั้นแรก รัชกาล ที่ 6 ท่านก็ตั้งให้คนใกล้ชิดก่อน พร้อมกับเขียนภาษาอังกฤษกำกับไว้ให้ด้วย ในปีแรก 2456 จำปีได้แม่น ก็ให้คนที่ใกล้ชิด คุณตา ก็ได้ในปีแรกนี้ ลำดับที่ 199 แก่ นายเรือโท ฮวด หุตะนาวิน นายทหารชาวเล ( ทหารเรือ ) ซึงเป็นตาของผม และ พี่ชายของตาก็ เป็นหลวง เป็น ขุน บ้าง ในบรรดาศักดิ์ที่ ร.6 ประทานให้ ในครั้งนั้น....และ นามสกุล ที่ลงท้าย ว่า...นาวิน...ในรัชการที่ 6 จะเป็นทหารเรือทั้งนั้น.......
บ้านที่อยู่ตามปากคลองย่อย ของคลองบางกอกน้อย และ คลองบางหลวง ส่วนมากจะเป็นบ้านไม้ ทรงขนมปังขิง เป็นชั้นเดียว หรือสองชั้น มีลวดลาย ตามเชิงชาย และ หลังคาเป็นกระเบื้องว่าว มีบางส่วนที่ต่อเติมจะเป็นหลังคาสังกะสี แต่เดิมทั่วไป จะเป็นบ้านหลังคาจาก หรือไม่ก็เรือนไทย ไม้จั่วแหลม ที่มีมานาน บ้านพวกนี้ จะเป็นบ้านที่พระราชทาน ให้ข้าราชบริพานอยู่..ที่สังเกตง่ายๆจะเป็นเช่นนี้...
เรื่องที่แม่และยาย ช่วยกันเล่านี้ ไม่ทราบว่าเกิดปีไหนของแม่ แต่แม่เล่าว่า แม่ยังเด็กมาก ยังเป็นเด็กเล็ก ..ยาย ช่วย แม่ของยาย ขายของ จากคลองบางกอกน้อย ปากคลองภาวนา ที่อยู่มาในครั้ง รัชกาล ที่ 6 ลงเรือล่องไปในวันหยุด ไปขายของที่คลองปากบางหลวงที่มีวัดกัลยาณ์ตั้งอยู่ โดยออกตั้งแต่เช้า พายเรือออกแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านศิริราช ท่าเตียน วัดอรุณ และถึงคลองบางหลวง ขายของกว่าจะหมดก็เย็น แต่เป็นช่วงน้ำลง
วันนั้น แม่และยายเล่า ว่าน้ำลง ก็ไหลเชี่ยว คือน้ำจะไหลลงไปทางปากน้ำ พูดง่ายๆ ก็น้ำไหลไปหาสะพานพุทธ ในวันนี้...ถ้าน้ำขึ้นก็ไหลไปทางสะพานพระปิ่นเกล้า ในวันนี้ ...
( ตอนนั้นสะพานพระปิ่นเกล้า ยังไม่มี สะพานพระปิ่นเกล้า สร้างเสร็จในปี 2518 และ สะพานพระพุทธยอดฟ้า เป็นสะพานที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อปี พ.ศ. 2472 เนื่องในโอกาสสถาปนากรุงเทพมหานครครบ 150 ปี )...
.ในเหตุการณ์ ที่จะเล่านี้ สะพานทั้งสองสะพาน ยังไม่มีนะครับ.....
ตอนนั้น แม่และยาย เล่าว่า น้ำลงพายไม่ไหว ต้องรอให้น้ำขึ้น ..เพื่อที่จะได้กลับคลองบางกอกน้อยได้ง่าย รอจนเย็นใกล้ค่ำ..น้ำจึงขึ้นมา ตอนนั้นถ้ามืดแล้ว มืดเลย คือห่างนิดหน่อยนี่มองไม่เห็นตัวกัน ได้ยินแต่เสียงพูดคุย..แม่และยายก็ล้าในการพายเรือมาถึงคลองบางหลวง ขากลับที่มีแม่ยายพายท้าย ..ยายพายกลาง..และ แม่พายหัวเรือ ใช้สำปั้นลำใหญ่ ที่บรรทุกพืชผล จากสวน มาขายที่ปากคลองบางหลวงในครั้งนั้น..
พอความมืดมา แม่เล่าว่าเลยวัดอรุณมา ก็มืดแล้ว ถึงหน้าท่าเตียนก็มืดมาก....มองไม่เห็นตัว ตะเกียงที่ติดเรือมา ก็สู้ลมแรงไม่ไหว ดับบ่อยมาก ดับจนไม้ขีดเหลือน้อยแล้ว กว่าจะมาถึงท่าช้าง ไม้ขีดก็หมด พายเรือในความมืด ทั้งๆที่กลัว แต่ต้องมาให้ถึงบ้านให้ได้ พายเรือ ผ่านหน้าศิริราช ก็เริ่มใจชื้นบ้าง เพราะถ้ามาถึงคลองบางกอกน้อย จะไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร
เพราะมีบ้านคนบ้าง ตอนนั้นแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำเชี่ยว บางครั้ง น้ำวน พายเรือไม่ไป ต้องหาทางพายใหม่ จึงจะพ้น...มาถึงที่ ใกล้ปากคลองบางกอกน้อย..ปากคลอง และ ตรงหัวมุมคลองที่มีหอนาฬิการถไฟ ตั้งอยู่ในวันนี้ ..
.ทันใดนั้น แม่และยาย ชี้ให้กันดู ว่ามีแสงแดงๆ มีลูกไฟวาบๆเป็นระยะๆ..ให้รีบพายกันเร็ว ไปขอต่อไฟ มีเรืออยู่ข้างหน้าเรา...ทั้งเรือรีบพายเข้าไป หาจุดกำเนิดแสงไฟนั้น...เมื่อไปใกล้ๆ..จึงเห็นได้ชัด กับสิ่งที่อยู่ต่อหน้า...พญานาค ...พญานาค ครับ...
แม่และ ยาย จะเล่าตอนนี้ให้ฟัง เหมือนกัน ทั้งสอง ว่า พญานาค ที่เห็น มีหงอนใหญ่ ตาแดงเป็นลุกเป็นไฟ มีเปลวไฟอยู่รอบตา ส่งประกายวูบวาบ เป็นเปลวเพลิง แม่และ ยาย ร้องว่า หนีเร็ว แล้วค้างสักพัก ยาย และ แม่ ยกมือท่วมหัว...ว่า เจ้าประคุณ ย่าทำอะไรลูกๆเลย..พวกเรามาเพื่อ จะมาขอ ต่อไฟเท่านั้น..ไม่ได้มาหวังร้าย ต่อท่านเลย...
.พญานาคที่เห็น ค่อยจมตัวลงไปในน้ำ...ทำให้น้ำวนด้วยตัวพญานาคตัวใหญ่นั้น น้ำวนดูดเรือเข้าไป เรือแทบล่ม..ยายร้องให้จับเรือไว้ให้แน่น อย่าให้ล่ม...พญานาค จมหายไปในน้ำแล้ว ..แม่ยาย ยาย และ แม่ตัวเอง...รีบจ้ำเรือเข้าคลองสุดชีวิต กว่าจะหยุดพายเร็วๆ ก็หน้าหลวงพ่อโบสถ์น้อย หน้า อู่เรือพระราชพิธี ..
.แรงค่อยหมด ดีที่เป็นน้ำขึ้น คือน้ำไหลเข้าคลอง แม่และยาย ค่อยพายเรือมาบ้าน ผ่าน วัดสุวรรณาราม วัดใหม่ยายแป้น วัดศรีสุดาราม และ วัดนายโรงมาจนถึงบ้าน ที่ปากคลองบางกอกน้อย...อย่างปลอดภัย....
เมื่อถึงบ้าน แม่ของยาย และยาย...พูดไม่ออก เหมือนคนจับไข้ ...นั่งนอน ตัวสั่น ละเมอ ทำอะไรไม่ได้ สี่ห้าวันจนค่อยซาความกลัว พญานาค ที่แม่เคยเจอ..ส่วนแม่..ต้องคอยต้มน้ำหาข้าวปลา ให้ยาย และ แม่ของยาย กินด้วยตอนนั้นตกในความกลัวมาเยือนทำอะไรไม่ได้..อีกหลายๆวัน .นี่คือเรื่องจริง ที่ยายและแม่เล่าให้ฟัง น่าจะเกิดมาเป็นร้อยๆปีแล้ว ( ยายจากไปในปี 2525 อายุ 87 ปี ) ส่วนแม่ของยาย จากไปไม่ได้บันทึกไว้.......
และหลังจากนั้น ที่ครอบครัว แม่ของเรา เจอพญานาค ที่แม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้กับปากคลองบางกอกน้อย ...พวกยาย และ แม่ ไม่เคยพายเรืออกจากปากคลองบางกอกน้อยนี่เลย...
และแม่ในวัยที่ผมเด็ก จะชี้จุดที่เห็นพญานาคนี้..ให้ผมดูหลายครั้งหลายหน เมื่อนั่งเรือออกจากคลองบางกอกน้อย เป็นร้อยๆ หน จำจุดที่เกิดได้แม่น ทุกครั้ง....
พญานาค ที่แม่ ผม ยาย และ แม่ของยาย ที่เล่าจากความจำเมือเห็น เล่าว่า ตัวขนาดต้นตาล หรือ ต้นมะพร้าว มีหงอนอยู่บนหัว ตาแดง เป็นประกาย มีเปลวไฟรอบดวงตา ทำให้มองไกลๆ เหมือนมีคนจุดตะเกียงบนน้ำ เคลื่อนไหว อย่างช้าๆ ลำตัวที่เห็นบางส่วนสีเขียว เกล็ดเป็นประกาย ไม่เห็นหาง โผล่ช่วงบนมาซักครึ่งต้นมะพร้าว ..ทีแรกที่เห็นสูงกว่าหัวคนยืนสักหน่อย ต่อเมื่อพายเรือเข้าใกล้ เหมือนมีคนส่ายคบเพลิง ต่เมื่อเข้าใกล้จึงเห็นรายละเอียดบ้าง เพราะความมืดเมื่อก่อน มืดมาก เมื่อพยานาคจะจมลงไป หลังจากจ้องมองมาทางคณะแม่ผม เมื่อคิดว่ามาดี จึงจมลงไปอย่างรวดเร็ว น้ำเป็นคลื่น กระเด็นมาถูกเรือแม่ด้วย และเป็นฟองหมุนวน ลงไปในน้ำ และ แม่ กับยาย จ้ำหนีออกจากที่นั้น ไม่คิดชีวิต พายเรือเข้าคลองบางกอกน้อย จนหมดแรง..ค่อยพายเงียบๆกลับบ้าน....
ส่วนผม ไม่เคยกลัวผีเช่นกัน กลัวแต่คน ที่หลอกลวง เท่านั้น
อย่างที่ลูกชาย สีรุ้ง พูดกับพี่ๆสาวทั้งสองว่า......ถามผีหรือยัง...ว่า ผีเห็นผี...และ ..ผีเห็นพ่อ..ถามว่า..ผีจะกลัวใคร.....นี่ตัวผม ..ที่ลูกมองเห็น......



ขอบคุณครับ โตมาย่านนี้ เพิ่งได้อ่านบทความดีๆ เกี่ยวกับแถวนี้
อยู่ไหนครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้