ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 24283
ตอบกลับ: 13
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค ~

[คัดลอกลิงก์]
ประวัติหลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค


                เกิด                     วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน 2426  ณ ต.บ้านแพรก อ.มหาราช พระนครศรีอยุธยา  เป็นบุตรของนายหมี  นางล้อม  โกสะลัง

                อุปสมบท              ณ พัทธสีมาวัดเขียนลาย ต.บ้านแพรก เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2477

                มรณภาพ               วันที่ 30 มกราคม 2518  เวลา 15.00 น. ณ โรงพยาลบ้านหมี่  ลพบุรี

                รวมสิริอายุ             91 ปี 71 พรรษา

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 12:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อพรหม ถาวโร ถือกำเนิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม ตรงกับวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2426 ณ ตำบลบ้านแพรก อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บุตรนายหมี – นางล้อม โกสะลัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 4 คน คือ
1.       นางลอย
2.       นายปลิว
3.       หลวงพ่อพรหม
4.       นางฉาบ


                หลวงพ่อพรหม ในขณะยังเยาว์วัย ได้ศึกษา อ่านเขียน กับพระในวัดใกล้บ้าน พออ่านออกเขียนได้ หลวงพ่อเรียนอักษรขอมควบคู่กับภาษาไทย จึงมีความรู้ภาษาขอมพอสมควร ตั้งแต่ก่อนอุปสมบท


                เมื่ออายุครบบวช ได้อุปสมบทที่วัดเขียนลาย ตำบลบ้านแพรก อำเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ 15 มีนาคม พ.ศ. 2447 ได้รับฉายา “ถาวโร” โดยมีหลวงพ่อถมยา วัดเขียนลาย เป็นอุปัชฌาย์ และได้ศึกษาเล่าเรียนภาษาขอมจนชำนาญ และเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน


                หลวงพ่อพรหม เคยเล่าให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ท่านเริ่มศึกษาวิชาไสยศาสตร์และคาถาอาคม จากอาจารย์ซึ่งเป็นฆราวาส ชื่ออาจารย์พ่วง หลังจากอุปสมบทแล้ว จึงได้ศึกษาอสุภกรรมฐาน สมถกรรมฐาน วิปัสสนา จากหลวงพ่อดำ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ไม่ทราบวัดอยู่ประมาณ 4 ปี ใน พรรษาที่ 5 อาจารย์พ่วง ซึ่งเป็นอาจารย์คนแรกได้พาไปฝากอาจารย์ปู่วอน ซึ่งเป็นฆราวาส ศึกษาวิชาแขนงต่าง ๆ เป็นเวลา 5 ปีเต็ม กระทั่งอาจารย์ปู่วอนถึงแก่กรรม ซึ่งต่อมาท่านได้นำกระดูกมาเก็บไว้ที่วัดช่องแค จากนั้นไม่ได้ไปศึกษาวิชากับอาจารย์ท่านใดโดยตรงอีกเลย โดยอ้อมนั้น อาจมีการแลกเปลี่ยนวิชากับอาจารย์รุ่นพี่ และรุ่นเดียวกันระหว่างธุดงค์ เช่น หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ เป็นต้น
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 12:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลายท่านอาจสงสัยว่า อาจารย์ของท่านมาจากสายใด สำนักไหน ท่านเคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า อาจารย์พ่วงเป็นศิษย์หลวงปู่มา วัดบางม่วง ซึ่งเป็นสาย พระอาจารย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ส่วนอาจารย์ปู่วอน ซึ่งเป็นฆราวาส เป็นศิษย์หลวงปู่นิล วัดแควป่าสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ หลวงปู่แสง วัดมณีชลขันธ์ จังหวัดลพบุรี และ อาจารย์เพ็งซึ่งเป็นฆราวาส อาจารย์ทั้งสามท่านเป็นพี่น้องกัน และหนึ่งในสามท่าน คือ หลวงปู่แสงเป็นอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง

              หลวงพ่อพรหม จะเดินธุดงค์ทั้งเส้นทางใกล้และไกล โดยหลวงพ่อเคยเดินธุดงค์ไปประเทศพม่าถึงเมืองร่างกุ้ง และได้มีโอกาสที่มนัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง และเดินธุดงค์ผ่านทางด่านเจดีย์สามองค์ ผ่านเทือกเขาน้อยใหญ่ และธุดงค์อยู่ในประเทศพม่าเป็นเวลานาน จึงเดินทางกลับประเทศไทยทางด่านแม่ละเมา จ.ตาก และเดินเรื่อยๆไปจนถึงเขาช่องแค ต.พรหมนิมิตร อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เกิดฝนตกหนัก หลวงพ่อพรหม ได้หลบเข้าไปอยู่ในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลวงพ่อพรหม เห็นว่าเป็นที่วิเวกเหมาะแก่การบำเพ็ญธรรม จึงเริ่มปลูกต้นไม้แห่งศรัทธาลง ณ. ช่องเขาแห่งนี้

ขณะที่หลวงพ่อพรหมจำศีลปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ที่วัดช่องแคมีพระภิกษุจำพรรษาอยู่แล้ว 2 รูป แต่ยังไม่มีเจ้าอาวาส ภายในวัดยังไม่มีเสนาสนะใดๆ บริเวณวัดรกร้าง

         ต่อมาชาวบ้านในแถวนั้นซึ่งมีความนับถือเลื่อมใสหลวงพ่อได้นิมนต์ให้หลวงพ่อพรหมลงมาจำพรรษาข้างล่าง คือวัดช่องแคในปัจจุบัน หลวงพ่อพรหม จึงเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดช่องแค โดยที่ชาวบ้านได้ร่วมกันบริจาคที่ดินเพิ่มขึ้น หลวงพ่อพรหมได้เริ่มต้นสร้างวัดจากวัดที่รกร้างไม่มีเสนาสนะใดๆ เมื่อปี 2460 มาเป็นวัดที่มีกุฏิ ศาลาการเปรียญ โรงครัว ซึ่งส่วนหนึ่งของทรัพย์สินมาจากการขายสมบัติส่วนตัวและมรดกของหลวงพ่อเอง ต่อมาเมื่อทางวัดจะสร้างโบสถ์ ซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์สูง คณะกรรมการของวัดจึงขอ อนุญาติหลวงพ่อสร้างวัตถุมงคลขึ้น

หลวงพ่อพรหม ชอบระฆัง การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อจึงมีรูประฆังและกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหลวงพ่อพรหม
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 12:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ล.พ พรหม ถาวโร เมื่อมาจำพรรษาและเป็นเจ้าอาวาสวัดช่องแคแล้ว ไม่ได้ย้ายไปอยู่วัดใดอีกเลย ตลอดระยะเวลา 58 ปี ท่านลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ. 2514 รวมเป็นเจ้าอาวาสวัดช่องแคเป็นเวลา 54 ปี (พ.ศ. 2460 – 2514) เพื่อให้พระปลัดแบงค์ ธมฺมวโร เป็นเจ้าอาวาสสืบแทน ตลอดเวลาที่จำพรรษาอยู่วัดช่องแค ได้สร้างคุณประโยชน์โดยการทำนุบำรุงศาสนา รักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในการก่อสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัด ให้การอุปถัมภ์โรงเรียนวัดช่องแค ซึ่งตั้งอยู่ในวัด จนกระทั่งมรณภาพลงเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2518 เวลา 15.00 น. ณ โรงพยาบาลบ้านหมี่ จ.ลพบุรี รวมอายุ 91 ปี 71 พรรษา

หลังจาก ล.พ. พรหม มรณภาพแล้วคณะกรรมการวัดได้บรรจุศพของท่านไว้ในโลงแก้ว อยู่บนศาลาการเปรียญ ศพของท่านไม่เน่าเปื่อย มด ไร มอด และแมลง ไม่ได้รบกวนทำลายชิ้นส่วนใดในร่างกายของท่านแม้แต่น้อย   คล้ายกับหลวงพ่อนอนหลับอยู่   แม้ว่าท่านจะมรณภาพมานานแล้วก็ตาม

สิ่งมหัสจรรย์ที่เกิดขึ้นเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป  คือ
1.       เส้นผมงอกยาว 5 – 6 มิลลิเมตร
2.       เส้นขนคิ้วงอกยาว 5 – 6 มิลลิเมตร
3.       เส้นขนตางอกยาว 1 เซนติเมตร
4.       หนวดงอกยาว 5 – 6 มิลลิเมตร
5.       เคราใต้คางยาว 5 – 6 มิลลิเมตร
6.       เล็บมืองอกยาว 1 เซนติเมตร
7.       เล็บเท้างอกยาว 4 – 5 มิลลิเมตร
ซึ่งทุกประการที่กล่าวนี้ ยังคงสภาพเหมือนเดิมจึงอยากให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายไปพิสูจน์ด้วยตนเองที่วัดช่องแค
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 12:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ล.พ. พรหม มีวิธีการปลุกเสกวัตถุมงคลไม่เหมือนใคร ส่วนใหญ่จะปลุกเสกหลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว โดยเอาวัตถุมงคลต่าง ๆ ใส่ลงในบาตร ถ้ามีเทียนชัย หลวงพ่อจะจุดเทียนชัยหยดน้ำตาเทียนลงในขันน้ำมนต์ แล้วนำเทียนชัยวนโดยรอบวัตถุมงคล 9 รอบ แล้วจึงเอาแป้งดินสอพองมาเจิมที่วัตถุมงคล เอามือคนไปรอบ ๆ โดยที่หลวงพ่อลืมตาเพ่งกระแสจิต อัดพลังต่อมาก็เอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรมวัตถุมงคลทั้งหลาย แล้วจับภาชนะใส่วัตถุมงคลเพ่งกระแสจิตอีกครั้ง จนกระทั่งเห็นวัตถุมงคลเหล่านั้น มีรังสีพุ่งออกมา จึงเอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรมวัตถุมงคลอีกครั้ง จึงเสร็จพิธี
                เราจะสังเกตได้ว่าพระเครื่องเนื้อผงของหลวงพ่อหลายรุ่น จะมีรอยบิ่น เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เพราะเกิดจากหลวงพ่อเอามือคนนั่นเอง

วัดช่องแค ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 ตำบลช่องแค เป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี 2458 โดยหลวงพ่อพรหม ถาวโร พระเกจิชาวพระนครศรีอยุธยา หลังจากที่ท่านได้แวะธุดงค์ที่บ้านช่องแค ขณะที่นั่งสมาธิในถ้ำท่านได้เกิดปัญญาขึ้นโดยฉับพลัน ท่านจึงได้สร้างวัดขึ้นและถวายเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา ปัจจุบันศิษยานุศิษย์ได้นำร่างที่ละสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อพรหม ถาวโร มาให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาได้กราบไหว้ที่วัด

บุญญาภินิหารปรากฎ
          มีศิษย์ของหลวงพ่อพรหมคนหนึ่ง ถูกเกณฑ์ทหาร และได้รับเลือกเป็นทหาร  ได้มากราบ
หลวงพ่อพรหม  ท่านได้มอบสิ่งหนึ่งให้คือ ผ้าขาวม้า โดยได้จารยันต์โสฬส ด้วยมือท่านเอง  หลัง
จากนั้นศิษย์ผู้นี้ได้ถูกฝึกและส่งไปเป็นทหารปราบปรามผู้ก่อการร้าย สมัยก่อนผู้ก่อนการร้ายชุงกว่า
ยุมเสียอีก  และศิษย์ผู้นี้ทุกครั้งที่ราดตระเวณ จะนำผ้าขาวม้าผืนนี้ผูกเอวไว้  และวันหนึ่งก็เกิดเรื่อง
เข้าจนได้ กองราดตระเวณที่ชายผู้นี้อยู่ ปะทะกับผู้ก่อนการร้ายเข้า โดนยิงด้วยปืนเอ็ม 16
พรุนทั้งร่างเจ้าตัวสลปเข้าใจว่าตาย เพื่อน ๆ ทหารเข้าใจว่าตายเช่นกัน  พอจะนำร่างศิษย์ของท่านกลับ แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เสื้อพรุนไปทั้งร่าง แต่กระสุนไม่ระคายผิว แถมยังมีลมหาย
ใจอยู่ เพียงแค่สลปด้วยความเจ็บที่กระสุนกระทบร่าง 30 กว่านัด  แต่ไม่สามารถที่จะกระชากวิญญาณจากร่างได้   ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่ว ทำให้ผู้คนทั้งสิบทิศที่ทราบข่าว มุ่งสู่วัดช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 12:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วาจาสิทธิปรากฎ

       ผ้าขาวม้าหลวงพ่อพรหมนี้ทุกคนต้องการมาก ๆ มีเท่าใดก็หมดจากวัดในเวลาอันรวดเร็วใน
สมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่  มีพระลูกวัดอยู่รูปหนึ่ง จัดหาผ้าขาวม้ามา และเขียนยันต์เอง และนำมาจำหน่าย
ภายในวัด  โดยที่ท่านไม่ทราบเรื่อง  ภายหลังท่านทราบเรื่องดังกล่าว เรียกไปตำหนิ พลั้งเผลอพูดว่า
ท่านจะบ้าหรือ ทำอย่างนี้ได้อย่างไร เท่ากับหลอกเงินชาวบ้าน  หลังจากนั้นไม่กี่เดือนพระรูปนั้น วิกลจริตตามที่ท่านได้พลั้งเผลอพูดไป


ไฟฟ้าแรงสูงช็อตไม่ตาย

         มีชายผู้หนึ่ง คล้องเหรียญสรงน้ำ (ถ้าจำไม่ผิด)  ได้ขับมอเตอร์ไซด์ฝ่าฝนที่ตกหนัก คน
เราถึงคราวเคราะห์  เสาไฟฟ้าในสมัยก่อนเป็นไม้ และด้วยแรงลมประกอบกับความเก่า สายไฟฟ้า
แรงสูงได้ห้อยลงมา  ประกอบกับฝนตกหนัก ชายผู้นั้นไม่เห็นขับฝ่าฝน ร่ายกายโดนสายไฟฟ้าที่
ห้อยลงมา เท่านั้นแหละ ไฟฟ้าแรงสูงช็อตทันที มอเตอร์ไซด์ไหม้ ตัวกระเด็นออกมา สร้อยคล้อง
พระเสตนเลสละลาย เสื้อขาดเป็นช่วง ๆ ประกอบกับร่างกายมีรอยดำดำ ด่าง ๆ รอยไหม้ เลือด
ออกทางตา จมูก และหู แต่เหรียญหลวงพ่อพรหม อยู่ที่หน้าอกชายผู้นี้  ชายผู้นี้ได้ถูกนำส่งตัวที่
โรงพยาบาลทันที สลปไปประมาณ 2 เดือน แต่รอดชีวิตครับ  ทีมแพทย์ที่รักษาในสมัยนั้น บอก
กับญาตว่า 1 ในล้าน ที่รอด ส่วนใหญ่โดนไฟฟ้าแรงสูงเป็น 1000-2000 วัตต์ ตายสถานเดียว
เหลือเชื่อมาก ๆ เป็นหมอมาทั้งชีวิต เห็นรายนี้รายแรก อัศจรรย์มาก ๆ (ไม่ต้องมากหรอกครับ
เพียงไฟบ้าน 220 วัตต์ ถ้าโดนดูดตายทันทีครับเห็นมาหลายรายแล้ว)
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 12:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ฟ้าผ่าไม่ตาย

      มีชาวนาผู้หนึ่งคล้องพระท่าน ใส่เกี่ยวข้าวและวันนั้นฝนตก ฟ้าคะนอง จึงเดินกลับที่พัก
ระหว่างเดินกลับ ฟ้าผ่าลงมาที่ร่างชาวนาผู้นี้ เสื้อผ้าขาด ร่างกายเป็นรอยไหม้  แต่ไม่ตายครับ
เรื่องนี้เป็นที่กล่าวขวัญอีกครั้ง และล่ำลือไปทั่วจังหวัดนครสวรรค์ และชื่อเสียงกระจายทั่วภาค
กลางในเวลาต่อมา


ตกจากหลังคาโบสถ์ และห้ามลม ฝน

       ผมเคยรู้จักกับเจ้าของโรงงานไดนาโม ย่านฝั่งธนท่านหนึ่ง  เห็นเฮียคล้องเหรียญ
หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค รุ่นสรงน้ำอยู่  เฮียคนนี้เพื่อนแนะนำให้รู้จัก  จึงเอ๋ยปากขอเช่า
พระ  แต่เฮียเขาบอกปลอมนะ  ผมมั่นใจสายตาบอกว่าปลอมก็เช่า ของปลอมไม่มีค่า แต่
ผมให้ 500 บาท ซื้อพระปลอม แกเงียบไปสักพักหนึ่ง บอกว่าไม่ปล่อย ดูเป็นหรือเรา
       หลังจากนั้นมีการพูดคุยกันถูกคอ เฮียเล่าให้ผมฟังว่า สมัยหนุ่ม ๆ ญาตได้ชวนไป
ทำบุญยกช่อฟ้าโบสถ์ ที่วัดช่องแค  ตัวเฮียไม่รู้จักหรอกว่าหลวงพ่อมีชื่อเสียง แต่รู้ว่าไปถึง
วัดคนมาร่วมบุญจำนวนมากอยู่   เวลายกช่อฟ้าจะต้องมีคนอย่างน้อยประมาณ 3-4 คน อยู่
บนหลังคาโบสถ์ช่วงที่จะนำช่อฟ้าไปติดตั้ง ผลปรากฎว่าวันนั้นมีชายผู้หนึ่งพลัดตกลงมา
คนเอะอะโวยวายกันใหญ่  เฮียก็ไปดูกับเขาด้วยเห็นปฐมพยาบาลสักครู่ ชายผู้นั้นลุกเดิน
เสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น
และได้ไปโรงพยาบาล  ภายหลังทราบว่าแค่ฟกช้ำดำเขียว
เฮียแกแปลกใจตั้งแต่ตกลงมาแล้วว่าทำไมถึงไม่เป็นไร และลุกขึ้นเดินได้ แกมารู้ภายหลังว่า
ไปโรงพยาบาลตรวจเช็ค ร่างกายเพียงฟกช้ำ แพทย์ลงความเห็นว่าไม่เป็นไร ปลอดภัย
        หลังจากนั้นพอใกล้ฤกษ์ยกช่อฟ้า ฟ้าที่สว่าง แดดเปรี้ยง กลับมืดคลื้มประดุจเวลาพลบค่ำ
กรรมการวัด และชาวบ้านเห็นเข้ารู้ทันทีว่า พายุเข้าฝนตกหนักแน่นอน  กรรมการวัดได้ไปกราบ
หลวงพ่อพรหม ซึ่งท่านนั่งอยู่ในเต้นท์ว่า  ต้องเลื่อนการยกช่อฟ้าออกไปอากาศไม่อำนวย
หลวงพ่อพรหม ไม่พูดอะไร ให้ศิษย์ไปหยิบธูปมากำใหญ่กำหนึ่ง และจุดธูปให้ท่าน ท่านถือธูปไป
กลางแจ้ง ยกมือภาวนา ปักธูปกำใหญ่ลงไปในพื้นดิน  และถอดจีวรออก สะบัดไปสี่ทิศ

คนในงานมองเป็นตาเดียว และงงกันเป็นแถว ๆ ว่าหลวงพ่อทำอะไร  เฮียแก่เล่าว่าเหลือเชื่อมาก
มาก ฟ้าที่มืดคลื้ม กับสว่างที่ละเล็กละน้อย และสว่างมากขึ้นเป็นลำดับ แดดเปรี้ยงดังเดิม ทั้งเฮีย
และผู้คนในงาน งง เป็นไก่ตาแตก และเรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันมาก  เฮียถึงบูชาพระเครื่องท่าน
มาประมาณ 20 เหรียญ พร้อมพระผงจำนวนหนึ่งครับ  และหลังจากเหตุการณ์นั้น ฝนไม่ตก
ที่อำเภอตาคลีเป็นเวลา 3 ปี  ชาวบ้านรุ่นเก่า ๆ ทราบดี เฮียแกเล่าให้ฟัง
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 12:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วาระสุดท้าย และสังขารอันเป็นที่อัศจรรย์

       หลวงพ่อพรหม ถาวโร ท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2518 ที่โรงพยาบาล
บ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี สิริอายุ 91 ปี 71 พรรษา  คุณงามความดีของท่านที่ทำประโยชน์ให้กับ
ศาสนามีมากมาย  และศพของท่านปัจจุบันไม่เน่าเปื่อย และเส้นผมที่ศรีษา หนวด เล็บมือ เล็บเท้า
เส้นขนคิ้ว งอกเองเรื่อย ๆ ทุกปี ทางวัดต้องทำพิธีปลงผม ปลงเล็บให้   วัตถุมงคลของท่าน
สร้างออกมามากมาย และที่สำคัญที่วงการพระเครื่องยอมรับ คือ พระเครื่องท่านไม่เสื่อม
แสดงถึงความมั่นใจในพระเวทย์ และสมาธิจิตขั้นอภิญญาจารย์ของท่าน
  เพราะเคยมีศิษย์ถามท่านว่า
คล้องพระรอดราวตากผ้าเสื่อมไหม ท่านถามกลับว่ามึงเกิดจากอะไร ของกูไม่มีคำว่าเสื่อม ถึง
แตกหักก็ไม่เสื่อม ขออย่างเดียว อย่าด่าพ่อแม่ และผิดภรรยาหรือสามีชาวบ้านแล้วกัน



วาทะอันแหลมคมของพระคุณเจ้า

        เคยมีคนเรียนถามว่าพระเครื่องของท่าน พุทธคุณด้านไหนบ้าง ท่านตอบว่า
ฉันใส่ไปหมดทุกอย่าง เมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน โชคลาภ มีอย่างเดียว
ที่กันไม่ได้ คือกันคนอิจฉาริษยา เพราะฉันไม่มีคาถาห้ามปากและใจคน

เคยไปกราบสังขารท่านแล้วครับ
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-8-3 15:38
เคยไปกราบสังขารท่านแล้วครับ

ไปกับใครครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้