ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6599
ตอบกลับ: 14
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ทำไมพระโพธิสัตว์ต้องฝึกอวิชชา?

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-8-3 08:07

ผู้บำเพ็ญบารมีเมื่อมีบารมีถึงจุดหนึ่งจนได้กายทิพย์เป็นโพธิสัตว์แล้ว และปฏิบัติธรรมจนจิตบริสุทธิ์มากๆ จะปล่อยวาง อุเบกขา และไม่คิดจะทำอะไร ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ซึ่งนั่นไม่ถูกต้อง เพราะเป็นวิถีของพระอรหันต์ที่ต้องการนิพพาน แต่สำหรับวิถีของพระโพธิสัตว์ที่ยอมสละนิพพานเพื่อให้สรรพสัตว์ได้นิพพานก่อนตนนั้น จะทำอย่างนั้นไม่ได้ จะปล่อยวางดูดายไม่ได้ จะเอาแต่สุขส่วนตนไม่สนใจอะไรจะเกิดขึ้นกับมวลสัตว์ไม่ได้ จะต้องกระทำการใดๆ เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์เหล่านั้น แต่ทว่า จิตของท่าน กลับบริสุทธิ์มากจนไม่อยาก ไม่คิด ไม่ปรุงแต่ง ไม่กระทำใดๆ แล้ว แล้วจะช่วยเหลือมวลสรรพสัตว์ได้อย่างไร ดังนั้น จึงต้องให้อสูรซึ่งเป็นสัตว์ในโลกทิพย์ เป็นจิตวิญญาณเข้ามาอยู่อาศัยร่วมในกายของพระโพธิสัตว์ เมื่อถึงจุดนี้ พระโพธิสัตว์จึงต้องฝึกวิชชาอสูร ในบทความฉบับนี้ จะขอกล่าวถึงการฝึกวิชชาอสูรเหล่าต่างๆ ดังจะได้กล่าวต่อไป






วิชชาอสูรเป็นอย่างไร?


อสูร ไม่มีบุญอย่างเทวดา เป็นเทพอสูร จะมีอาหารกินได้ต้องอาศัยฤทธิ์ของตนไปหามา ล่ามา จึงจะมีกิน ดังนั้น เมื่อจิตวิญญาณอสูรมาสู่โลกมนุษย์ มนุษย์จะเดือดร้อนกันมาก ภัยพิบัติและโรคระบาดจะเกิดขึ้นมากมาย แต่มนุษย์โลกนั้น ไม่อาจเลี่ยงจากภัยอสูรได้ เพราะกรรมที่มวลสัตว์ในยุคนี้ทำไว้ ทำให้มนุษย์มีโรคภัยมากมาย มีอสูรร้ายหลายชนิดเบียดเบียนมากมาย อสูรมีสามระดับ คือ อสูรนรก ซึ่งถูกกักอยู่ในนรก ไม่ค่อยมีฤทธิ์ ถ้าหลุดออกมาจะทำให้คนป่วยเป็นโรคจำนวนมาก เพราะพวกมันมีมาก แต่ฤทธิ์ของโรคจะน้อย รักษาได้ง่าย สำหรับอสูรที่ร้ายขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งคือ “เปรตอสุรกาย” ซึ่งไม่มีบุญเลี้ยงตัว ไม่มีอาหารที่ดีพออิ่มแบบเทวดา แต่ต้องกินอาหารวิปริตผิดธรรมชาติ เพราะทำบุญไว้อย่างนั้น เช่น เอาข้าวบูดไปให้พระฉัน แกล้งพระทั้งๆ ที่รู้ เพื่อให้พระไม่กล้ามาบิณฑบาตขอข้าวตนอีก เป็นต้น อย่างนี้ ตายไปเกิดเป็นเปรตก็มี ถ้ามีฤทธิ์มากหน่อยก็เป็นเปรตอสุรกาย เมื่อมารบกวนมนุษย์ก็จะแทรกในกายทำให้คนมีพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ เช่น กินแต่ของหวานอย่างเดียวอย่างหิวโหย จนเป็นโรคเบาหวานตาย, กินแต่เหล้าอย่างเดียวจนตับแข็งตาย ฯลฯ เป็นต้น อสูรแบบสุดท้ายเป็นอสูรที่ร้ายกาจ คือ “เทพอสูร” มีลักษณะกึ่งเทพกึ่งอสูร สามารถแปลงกายเป็นเทพได้ มีกายคล้ายมนุษย์ แต่ความเป็นอยู่ยากลำบากเพราะบุญน้อย ทำให้ต้องมาก่อกวนมนุษย์อยู่เสมอ และมนุษย์ต้องประสบภัยมากเพราะเทพอสูรมีฤทธิ์มาก ที่บ่อยๆ คือ “สงคราม” โดยพวกเทพอสูรจะแทรกเข้ากายมนุษย์ แล้วยึดครองร่างก่อน จากนั้น ก็ยึดครองอาณาเขตที่มนุษย์ผู้นั้นอยู่อาศัย เมื่อแย่งกันไปมา ก็เกิดสงคราม อนึ่งสำหรับวิชชาอสูรนั้น แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มวิชชาอสูรที่มีกายคล้ายมนุษย์ เช่น อสูรทารุณ, อสูรทศกัณฑ์ ฯลฯ อสูรเหล่านี้ จะอาศัยวิชชาทางฤษี ทางพรหมมาเป็นฐาน แต่ไปดัดแปลงหรือฝึกให้ผิดไปจากเดิม ทำให้จากไสยขาว กลายเป็นไสยดำ เช่น พวกคุณไสยต่างๆ คุณไสยที่พรหมสอนจะนับเป็นไสยขาว เช่น เวทย์มนต์ทางพราหมณ์ แต่คุณไสยดำนั้นจะพลิกแพลงไป เช่น คาถาว่าพระนามเทพเจ้าไว้ ก็เอาไปผูกมนต์ใหม่เป็นคาถาทำของใส่คนเช่นคาถาผูกจิต ซึ่งใช้พลังจากพุทธศาสนาเอาไปดัดแปลงเล่นกันเอง จนกลายเป็นไสยดำ ส่วนวิชชาอีกแบบหนึ่งเป็นวิชชาของอสูรที่มีกายแบบสัตว์เดรัจฉาน แต่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ เช่น วิชชาของมังกร, วิชชาของกิเลน เป็นต้น วิชชาเหล่านี้ จะไม่อาศัยคาถาการรจนาหรือจากพรหมที่ใด แต่จะอาศัยความเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นพลังโดยธรรมชาติเช่น มังกรก็มีพลังแบบมังกร มีฤทธิ์แบบมังกรก็กลายเป็นวิชชา “กงเล็บมังกร” ที่วัดเส้าหลินก็มีตกทอดให้เห็น แสดงให้ดูจนถึงปัจจุบัน หลายท่านฝึกกังฟูนั้นมีกายทิพย์เป็นโพธิสัตว์ เมื่อได้สัตว์เทพอสูรมาเป็นพาหนะทรง ก็มักคิดค้นวิชชาของตนเองได้จากการเลียนแบบท่าสัตว์ จิตวิญาณภายในจะขับดันให้เขาไปทำท่าทางแบบนั้นเพื่อเพิ่มอิทธิฤทธิ์เช่น อสูรมังกร อาจนำเจ้าของไปดูงู และเลียนแบบท่างูปรับเป็นท่าต่อสู้กังฟูต่างๆ เหล่านี้ จัดเป็นวิชชาอสูรทั้งสิ้น วิชชาเหล่านี้ไม่ทำให้หลุดพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าจะเรียกว่าเป็น “อวิชชา” เพราะไม่ทำให้หลุดพ้นทุกข์นั่นเอง



ทำไมพระโพธิสัตว์ต้องฝึกอวิชชา (วิชชาอสูร)


๑)    เพื่อประสานการทำงานของจิตวิญญาณตนเอง และจิตวิญญาณอสูรพาหนะทรงที่ตนได้ครอบครอง ให้สามารถทำกิจต่างๆ ร่วมกันได้ในกายสังขารเดียวกัน


๒)    เพื่อเพิ่มฤทธิ์ให้แก่อสูรพาหนะทรง เพื่อประโยชน์ในการป้องกันตนเอง เพราะอสูรเหล่านี้จะเป็นเจตภูตที่คอยปกป้องคุ้มครองภัยในเจ้าของร่างให้ชั้นหนึ่ง


๓)    เพื่อสามารถทำกิจต่างๆ อันสมควรทำได้ เพราะหากจิตบริสุทธิ์มากเกินไปแล้ว จะทำให้ไม่สามารถทำกิจได้ จะปล่อยวาง จะปราบมารก็ไม่ได้เพราะกลัวกรรม






วิชชาอสูรมังกรดำ


วิชชาสำหรับอสูรมังกรดำคือ “วิชชาเก้าอิมดำ” ฝึกแล้วทำให้คนเป็นอสูร แต่ถ้าสำเร็จกายโพธิสัตว์แล้ว มีมังกรดำทรงอยู่แล้ว กำลังจิตภาคขาวมีมากพอคุมมังกรได้แล้ว ก็สามารถฝึกวิชชาอสูรนี้ได้ วิชชานี้จะดูดพลังดำในกายมนุษย์ได้ มนุษย์คนใดมีพลังดำมาก ก่อกรรมทำเข็ญมาก ก็สามารถใช้วิชชานี้ ดูดพลังดำในตัวออกทีละน้อย จนหมดไปได้ โดยผู้ฝึกมักเป็นหญิง และมักมีความงามมาก และหากได้เป็นภรรยาผู้มีอำนาจมาก ก็จะสามารถดูดซับพลังดำจากตัวผู้มีอำนาจผู้นั้นได้ ทำให้สามารถควบคุมความประพฤติผู้มีอำนาจผู้นั้นได้ ไม่ให้โมโหเกรี้ยวกราดหรือโหดร้ายต่อบริวารได้ ซึ่งการที่พระโพธิสัตว์ยอมอุทิศตนเป็นภรรยาคนเหล่านี้ ทั้งยังต้องฝึกดูดพลังดำ ก็เพื่อช่วยมวลมนุษย์นั่นเอง   






วิชชาหงส์ไฟ


วิชชาสำหรับผู้ครอบครองหงส์ไฟหรือวิหคเพลิง คือ วิชชาในกลุ่มธาตุร้อน เช่น วิชชาเก้าเอี๊ยง, วิชชาทานตะวัน (ของพวกขันที) เป็นต้น ในกลุ่มวิชชาเก้าเอี๊ยงจะฝึกได้ต้องมีจิตเป็นผู้ให้ กล่าวคือ การฝึกอิมเป็นการฝึกรับ ฝึกดูดซับ แต่การฝึกเอี๊ยงเป็นการฝึกการถ่ายเท ยิ่งถ่ายพลังให้ผู้อื่น ตนกลับยิ่งมีกำลังสูงขึ้น สมมุติฝึกได้ขั้นที่ห้า เมื่อถ่ายทอดพลังเอี๊ยงให้ผู้อื่นแล้วจนหมด นอนพักไม่นานนักพลังจะฟื้นฟูและเพิ่มพูนขึ้นมากไปอีก กลายเป็นขั้นที่หกได้ (พักสักหนึ่งวัน หากไม่มีอะไรรบกวนสมาธิ อยู่ในที่สงบ พลังก็ฟื้นคืน) เรียกได้ว่าอิมเพิ่มเพราะรับมาก เอี๊ยงเพิ่มเพราะให้มาก ในคนที่ฝึกการทำออร่าบำบัด จะทำการถ่ายพลังออร่าให้คนอื่น ข้าพเจ้ามีเพื่อนท่านหนึ่ง ในช่วงแรกเขาถ่ายออร่าแล้วออร่ายังไม่ดี หมองมัวเยอะมาก แต่เขาก็ฝึกเรียนถ่ายออร่าให้คนอื่นเพื่อช่วยบำบัดโรคทางกายทิพย์ ผลปรากฏว่าไม่นานนัก ออร่าเขาถ่ายใหม่ก็สว่างไสวขึ้นมากทีเดียว แต่สำหรับวิชชาทานตะวันนั้นเป็นวิชชาของอสูร (อสูรจะแก่กล้าได้ต้องดูดซับพลังผู้อื่น กินพลังผู้อื่น หรือพลังจากธรรมชาติเป็นอาหาร เพราะไม่มีบุญจะเลี้ยงตัว) เป็นของพวกขันทีโบราณ เขาจะดูดพลังความร้อนเข้าไปสะสมไว้ในตัว ทำให้ในกายร้อนมากๆ โดยมักจะดูดพลังความร้อนไปสะสมที่จักระหนึ่ง หรือบริเวณอวัยวะเพศทำให้ร้อนที่อวัยวะเพศมาก และสุดท้ายเลยแก้ปัญหาด้วยการ “ตัดอวัยวะเพศทิ้ง” สำหรับพวกขันทีนิยมฝึกวิชชานี้กันมากเพราะต้องถูกตัดอวัยวะเพศอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหา แต่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ขันที หากจะฝึกวิชชานี้ก็ไม่ยาก แต่ต้องเปลี่ยนที่เก็บพลังไฟ เอาไว้ที่จักระที่สองคือ ท้องน้อย ไม่ใช่จักระที่หนึ่งคือ ฝึกอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าสุดถึงท้องน้อยก่อน ทำให้ชิน ก็จะไม่ดูดซับพลังความร้อนไปสะสมไว้ที่จักระที่หนึ่ง (หรืออวัยวะเพศ) ก็จะไม่มีปัญหา สำหรับวิชชานี้ ฝึกแล้วจะร้อนมากๆ ต้องเปลื้องผ้าฝึก เสื้อผ้าจะร้อนเหมือนมีไฟเผาอยู่






บทสรุปท้ายบทความ


ผู้ฝึกเก้าอิมมักเป็นหญิง และมักฝึกเพื่อเตรียมตัวเป็นสนม คอยดูดซับพลังดำ ความดุร้ายของฮ่องเต้ ส่วนผู้ฝึกพลังทานตะวันมักเป็นขันที คอยใช้พลังหงส์ไฟคุมฮ่องเต้ให้อยู่ในความสงบได้ คนทั้งสองประเภทนี้มีความสำคัญต่อมวลสัตว์มาก เพราะจะช่วยให้ประเทศมีความรุ่มเย็นเป็นสุข สงบจากภัยสงครามได้ การทำหน้าที่พระสนมและขันทีที่ดี จะช่วยให้พระราชาอยู่ในอาการสงบ และประเทศก็สงบปลอดภัย แต่ในสมัยนี้ ไม่มีคนสนใจฝึกหรือเรียนอีก เพราะไม่สนใจเรื่องจิตวิญญาณ บทความนี้จึงฝากไว้แค่ให้อ่านเล่นเท่านั้น  



โดย physigmund_foid


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 07:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



พระแม่ทุรคา เป็น ปางปราบมารของพระแม่อุมาเทวี ปางร้ายจะมีลักษณะน่ากลัว

ใบหน้าดุร้าย แลบลิ้นยาวดื่มกินเลือดอสูร มีพระหัตถ์มากมาย ทุกพระหัตถ์ถืออาวุธครบถ้วน

ผู้ที่บูชาปางนี้ จะแคล้วคลาดปลอดภัยจากไสยอาคม ภูตผีปีศาจ และสัตว์ร้ายทั้งปวง

อีกทั้งยังให้อำนาจและพลังศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-3 07:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


ขุนแผนท่านเป็นพระโพธิสัตว์เทพธรรมบาล

ท่านจึงเรียนวิชาอสูรสร้างกุมารทองเพื่อเสริมฤทธิ์แห่งตน
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ทำไมพระโพธิสัตว์ต้องฝึกอวิชชา (วิชชาอสูร)


๑)    เพื่อประสานการทำงานของจิตวิญญาณตนเอง และจิตวิญญาณอสูรพาหนะทรงที่ตนได้ครอบครอง ให้สามารถทำกิจต่างๆ ร่วมกันได้ในกายสังขารเดียวกัน


๒)    เพื่อเพิ่มฤทธิ์ให้แก่อสูรพาหนะทรง เพื่อประโยชน์ในการป้องกันตนเอง เพราะอสูรเหล่านี้จะเป็นเจตภูตที่คอยปกป้องคุ้มครองภัยในเจ้าของร่างให้ชั้นหนึ่ง


๓)    เพื่อสามารถทำกิจต่างๆ อันสมควรทำได้ เพราะหากจิตบริสุทธิ์มากเกินไปแล้ว จะทำให้ไม่สามารถทำกิจได้ จะปล่อยวาง จะปราบมารก็ไม่ได้เพราะกลัวกรรม






ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้