ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6646
ตอบกลับ: 27
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ฤๅวิกฤตต้มยำกุ้งวนมาอีกรอบ

[คัดลอกลิงก์]

เข็น  "ส่งออก" ไม่ขึ้น
ส่อติดลบหนัก ลาม "จีดีพี"
ถอยรูดต่ำ 3%


ฤๅวิกฤตต้มยำกุ้งวนมาอีกรอบ








มติชนสุดสัปดาห์ 10-16 กรกฎาคม  2558






จากตัวเลขส่งออกเดือนพฤษภาคม 2558  ที่ติดลบหนักถึง 5.01% ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ทำให้ 5 เดือนแรกปีนี้ ส่งออกไทยติดลบ  4.2% หรือมีมูลค่า 88,694  ล้านเหรียญสหรัฐ


โดยติดลบจากสินค้าส่วนใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม  ภาคเกษตรและเกษตรแปรรูป ติดลบเฉลี่ย 10% ด้านตลาดส่งออกส่วนใหญ่ก็ติดลบแม้ตลาดความหวัง อย่างอาเซียน  ก็ติดลบ 7.2% ญี่ปุ่นติดลบ 4.1% เกาหลีใต้ติดลบ 15.9% สหภาพยุโรป (อียู) ติดลบ 13.7%  ที่ยังดีอยู่แต่ขยายตัวก็ไม่สูง ทั้งสหรัฐ โต 0.4% จีน โต 3.3% ออสเตรเลียโต 18.2% และกลุ่มซีแอลเอ็มวี  (กัมพูชา-ลาว-เมียนมาร์-เวียดนาม) โต 3.5%


ผนวกกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค  ยังติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6  เช่นกัน


ซึ่งทางวิชาการระบุแล้วว่าเป็นภาวะเงินฝืดทางเทคนิค  นั่นสะท้อนถึงประชาชนทั่วไปยังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ  และชะลอการใช้จ่ายหรือทำกิจกรรมที่ต้องเพิ่มรายได้


เมื่อดูองค์ประกอบด้านอื่นๆ  ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย ทั้งการลงทุนภาครัฐ ยังถูกมองว่าล่าช้ากว่าแผนงานที่ได้ระบุไว้  ไม่ว่าจะการก่อสร้างโครงการด้านขนส่ง โครงการปรับปรุงสนามบิน หรือ การประมูล 4 จี  และยังไม่มั่นใจต่อแผนการดึงตัวเลขส่งออกในอนาคต ทำให้ภาคลงทุนของเอกชนชะงักลง  ดูได้จากตัวเลขการนำเข้าในกลุ่มทุนและกลุ่มวัตถุดิบเพื่อการผลิต ลดลงอย่างมาก  จนทำสถิติใหม่ต่ำสุดอีกครั้งรอบ 10 ปี  ล้วนเป็นแรงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น


จะพูดว่าเกิดความรู้สึกระส่ำก็ได้...เพราะหลังจากตัวเลขต่างๆ ออกเผยแพร่สู่สาธารณะ ผลที่ตามมา คือ ทุกหน่วยงานรัฐ เอกชน และนักวิชาการ  ต่างออกมาส่งสัญญาณถึงการปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)  ทั้งสิ้น


และทั้งหมดเห็นพ้องว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ ขยายตัวไม่เกิน 3%  แน่นอน






เริ่มจากสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สภาผู้ส่งออก)ออกแถลงปรับลดคาดการณ์ตัวเลขส่งออก จากเดิมมองโอกาสเป็น 0% เป็นติดลบ 2%  เพราะเชื่อว่าครึ่งปีมูลค่าการส่งออกก็จะไม่เพิ่มจากครึ่งปีแรกมากนัก ซึ่งหากจะให้ส่งออกปีนี้เป็น 0%  เฉลี่ยต่อเดือนของครึ่งปีหลังจะผลักดันมูลค่าให้เกิน 19,200  ล้านเหรียญสหรัฐ


ตรงกันข้าม ดูความเป็นไปได้  หากมูลค่าการส่งออกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตอนนี้คือ 18,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อเดือน การส่งออกจะติดลบทันที  3.5%


ตามด้วยผลวิเคราะห์จากสถาบันการเงินและนักวิชาการ  ปรับลดมุมมองการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดีสุดไม่เกิน 3% แล้วทั้งสิ้น ยกเว้น ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และหอการค้าไทย ยังมองในภาพบวกโต 3.2% แม้ส่งออกไทยอาจติดลบ 1-2%  เช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์ ยังคงเป้าหมายจะผลักดันส่งออกโต 1.2% บนพื้นฐานเศรษฐกิจโต 3% แม้กระทั่งทีม  ครม.เศรษฐกิจ ก็เริ่มหวั่นไหว ออกมาเปรยๆ ถึงว่าหากการส่งออกติดลบหนัก  ห่วงกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่หวังไว้ 3-4% คงไม่ได้เห็น!


ดังนั้น  ปลายเดือนกรกฎาคมนี้ ก็จะเห็นการปรับตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  ที่เดิมคาดการณ์โตเกิน 3% สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่เดิมคาดไว้  3.7%


โดยทุกภาคส่วนมองบนปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ ทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัว  ตั้งแต่ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเมืองโลกยังสูง เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังฟื้นตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์  ศักยภาพและขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไม่ดีขึ้น ปัญหาด้านโลจิสติกส์ต้นทุนสูงและไม่เพียงพอ  ปัจจัยที่ดูจะเข้มข้นขึ้นในช่วงนี้  คือวิกฤตหนี้ของกรีซอาจลุกลามไปทั่วยุโรป






สถานการณ์ภัยแล้งสลับการเกิดพายุยังไม่อาจประเมินได้ว่าจะก่อความเสียหายต่อผลผลิตและรายได้รากหญ้าแค่ไหนหรือค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงและดอกเบี้ยนโยบายปรับลดถึง 2 รอบ ก็ยังส่งผลโดยตรงต่อการส่งออก ซึ่งทางวิชาการระบุว่าต้องใช้เวลาหลังจากปรับลด 3-4 เดือนอย่างช้า  หรือจนกว่าสัญญาที่ทำไว้เดิมจะหมดลง


รวมถึงต้องต่อสู้กับการเพิ่มกฎระเบียบทางการค้าของนานาชาติไม่แค่ปัญหาองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ไอเคโอ) ปักธงแดงไทย ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) ซึ่งจะชี้ชะตาในปลายไตรมาส  3


เฉพาะไอยูยูหากถูกขึ้นบัญชีดำไทยจะกระทบต่อการส่งออกสินค้าทะเลไปอียูหายไปทันทีกว่า700ล้านเหรียญสหรัฐ ยังจะมีเรื่องสิทธิประโยชน์และกฎระเบียบจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)  ที่จะเริ่มใช้สมบูรณ์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2559  แต่รัฐบาลไทยยังไม่ขยับอะไร


เหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นร้อนต่อเศรษฐกิจไทย  ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้เป็นต้นไป....และดับฝันเศรษฐกิจไทยโต 3%  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ทำให้ภาคเอกชนออกมาเตือนให้รัฐบาลรับมือแล้วว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระดับต่ำแค่ปีละ2-3% ต่อเนื่องอีก 2-3 ปี จากปัจจัยที่เกิดขึ้นกับไทยในช่วงนี้


หากปรับตัวทัน คือพยายามพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้อยลง จากปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 60%  เพิ่มการพึ่งพาภาคท่องเที่ยว การบริโภคและลงทุนในประเทศ ก็น่าจะพอทดแทนได้  แต่ในความจริงคงต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี






หลายฝ่ายจึงมองว่าทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้คือจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีอารมณ์ในการบริโภคและกระตุ้นให้ประชาชนใช้เงินตามปกติ ถือว่าเป็นเรื่องท้าทายของรัฐบาล และเป็นการบ้านหนักของทีมเศรษฐกิจ  เพราะตามหลักวิชาการหรือในภาวะปกติเมื่อผู้มีรายได้น้อยมีรายได้ มีเงินในกระเป๋าเพิ่มก็จะใช้จ่ายทันที  หากรัฐสามารถลงเงินเข้าระบบเศรษฐกิจไม่ว่าทางใด คิดคร่าวๆ ในภาวะปกติ หากลงเงิน 1 แสนล้านบาท ไม่เกิน  1-2 เดือน จะเพิ่มเงินในระบบเศรษฐกิจอีก 4-5 เท่า หรือ 4-5  แสนล้านบาท


อีกทางออกที่ต้องเร่งทำ คือ ผลักดันการท่องเที่ยว  ที่ดีอยู่ให้ดีขึ้นๆ อีกเป็นเท่าตัว รัฐต้องเร่งลงทุนให้ได้ตามแผนที่กำหนดไว้  ควบคู่กับการเร่งการใช้จ่ายภาคเอกชน ผ่านความช่วยเหลือด้านการเงินการคลัง  แต่ก็ไม่อยากให้ทำแบบใช้เงินงบประมาณแบบสุรุ่ยสุร่ายเหมือนที่ผ่านมา  โดยรัฐบาลต้องปรับวิธีการกระตุ้นที่เจาะลงไปกลุ่มมีปัญหาและรากหญ้าให้มากขึ้น แต่ไม่ใช่การใช้เงิน  แต่มองเรื่องศักยภาพงานที่จะเกิดขึ้น


ช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือคงต้องลุ้นต่อ  เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าวิกฤตหรือยัง หากย้อนหลังเมื่อครั้งวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 เศรษฐกิจไทยติดลบ 1.37%  แต่ส่งออกปีนั้นโต 28.04% ถัดมาเศรษฐกิจติดลบ 10.51% ส่งออกโต 24.43% หรือครั้งวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์  เศรษฐกิจไทยติดลบ 2.33% ขณะที่ส่งออกติดลบ 11.22%


ล่าสุด  เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองไทยก่อนมีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าบริหารประเทศ เศรษฐกิจไทยโต  2.87% แต่ส่งออกติดลบ 2.43% และในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยโต 0.7% แต่ส่งออกติดลบ  0.3%


เมื่อปีนี้ทุกฝ่ายประเมินว่าส่งออกไทยอาจติดลบ 2% และถึงติดลบ 3.5% จากปัญหาเศรษฐกิจโลก  จึงห่วงว่าเศรษฐกิจไทยอาจใกล้วิกฤตต้มยำกุ้งหรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์หรือไม่


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1436784882
28#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-9-29 17:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้บริหารปาร์คนายเลิศ รับพิษศก. ต้นเหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ยันชดเชยแรงงานตามกม.
  
วันที่: 29 ก.ย. 59 เวลา: 09:42 น. by วรวิทย์




ผู้บริหารปาร์คนายเลิศ รับพิษศก.คือต้นเหตุการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ยันชดเชยแรงงานตามกม.

เมื่อวันที่ 28 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกโซเชียลได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอ รวมถึงภาพการติดประกาศแจ้งพนักงานของ น.ส.ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร กรรมการผู้จัดการบริษัทโรงแรมปาร์คนายเลิศ จำกัด เรียกประชุมพนักงาน ก่อนแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์โรงแรมว่า วันนี้สถานการณ์ธุรกิจโรงแรมมีการแข่งขันสูง มีโรงแรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมาทุกที่ของมุมถนน ที่ผ่านมาคณะผู้บริหารทุกท่านต่างอดทนและทำงานหนัก เพื่อประคับประคองสถานการณ์ เพื่อความอยู่รอดของโรงแรมมาตลอด แต่สุดท้ายทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง  ซึ่งครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

“วันนี้จึงต้องแจ้งให้พนักงานทุกคนทราบว่า มีความจำเป็นต้องหยุดดำเนินกิจการในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 เป็นต้นไป ทุกคนในห้องนี้คงรู้สึกใจหาย สิ่งที่พูดไปเป็นอะไรที่สะเทือนใจ และลำบากใจที่สุดเท่าที่เคยทำมาในชีวิต อย่างที่พูดตอนต้นว่า เราจะดูแลกันมาตลอด จึงแจ้งให้ทุกคนทราบว่า เราจะจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายกำหนดทุกประการ และจะจ่ายโบนัสอีก 1 เดือนกับพนักงานที่มีสิทธิได้รับตามกฎของบริษัท  และสินน้ำใจจากครอบครัวอีกจำนวนหนึ่ง” น.ส.ณพาภรณ์ กล่าว
น.ส.ณพาภรณ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากบริษัทพันธมิตรที่จะรับพิจารณาพนักงานที่สนใจทำงานต่อไป ซึ่งจะแจ้งรายละเอียดเป็นระยะๆ กับฝ่ายบุคคล จึงขอความร่วมมือพนักงานทุกคนให้ช่วยกันทำงานในหน้าที่จนวันสุดท้าย และสุดท้ายนี้ ในฐานะกรรมการผู้จัดการต้องขอขอบคุณพนักงานทุกคนจากใจต่อการทำงานให้ปาร์คนายเลิศมาตลอด ถ้าไม่มีพนักงานทุกคนโรงแรมคงไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ จึงขอฝากปาร์คนายเลิศให้อยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป

http://www.matichon.co.th/news/302211





27#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-15 07:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กระทู้นี้ตั้งมาเพื่อเตือนกันในการใช้ชีวิต


ไม่ให้ประมาทในการใช้จ่าย


ไม่มีเจตนาจะว่าร้ายกล่าวโทษใคร


26#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-6 04:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สำหรับผมคงยืมคำพูดของ  อ.วีระ ธีระภัทร คลื่น 96.5 ที่ชอบพูดอยู่บ่อยๆ ว่า " ยุคนี้อย่าหวังพึ่งคนอื่นครอบครัวใครครอบครัวมันดูกันเอาเอง "  บางครั้งเราหวังดีเตือนไปกลับหาว่ายุ่งอีก....
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-1 08:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กระทู้นี้ตั้งมาเพื่อเตือนกันในการใช้ชีวิต


ไม่ให้ประมาทในการใช้จ่าย

ไม่มีเจตนาจะว่าร้ายกล่าวโทษใคร



23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-8-1 07:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


'เทียร์ 3' อาวุธมะกันทุบไทย ประมงส่งออก
เป้าหลัก เสี่ยงหายนะ 4 แสนล้าน


หลังจากที่ กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยรายงาน การจัดอันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Trafficking In Persons (TIP) Report) ประจำปี 2558 เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยยังคงจัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำสุด คือ Tier 3 เป็นปีที่ 2 กระทั่ง กระทรวงต่างประเทศ ได้มีการแถลงตอบโต้ ว่า รายงานดังกล่าวไม่สะท้อนถึงความพยายามและความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อต้านการค้ามนุษย์ของไทยที่เกิดขึ้นจริงในช่วงปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอต่อสายตรงไปยัง นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องการค้ามนุษย์ เพื่อมาให้ข้อมูลที่กระชับ ตรงประเด็น และเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในเรื่องของ Tier 3 จากการจัดอันดับการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ ที่ยังคงเป็นข้อสงสัยของใครหลายคนในขณะนี้...
                 จอห์น แคร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา                 (ภาพ: AFP)“กระชับ-ตรงเป้า” ทำความรู้จัก Tier คือ ?!

การจัดอันดับการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ (Tier) หรือ TIP Report โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
Tier 1 คือ ประเทศที่ไม่มีปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ หรืออาจจะมีปัญหา แต่สามารถแก้ได้แล้ว ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับประเทศกลุ่มนี้ มี 31 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน อิสราเอล ฯลฯ
Tier 2 คือ ประเทศที่มีปัญหา ที่ยังไม่สามารถแก้ได้ แต่ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นคือ รัฐบาลสหรัฐฯ จะคอยเฝ้าติดตามเพื่อกดดันอยู่เรื่อยๆ มี 89 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย โคโซโว ตุรกี ฯลฯ
Tier 3 คือ ประเทศที่มีปัญหามาก แต่ไม่ดำเนินการแก้ปัญหา หรือไม่มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง มี 23 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีเหนือ คิวบา ไทย รัสเซีย ฯลฯ
                 นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องการค้ามนุษย์ “ประเทศ Tier 3” เครื่องมือทุบเศรษฐกิจไทย เสียหาย 2 แสนล้าน ?!
ทั้งนี้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในระดับ Tier 3 จะเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายเศรษฐกิจ หรือใช้มาตรการในการกีดกันสินค้า รวมถึงประเทศอื่นๆ ร่วมกันรณรงค์ไม่ซื้อสินค้าของประเทศกลุ่ม Tier 3 ซึ่งหากประเมินมูลค่าความเสียหายจากการกีดกันสินค้าด้านการส่งออกของประเทศไทย คาดว่าอาจได้รับความเสียหายประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมการประมง อาหารทะเล อาหารทะเลแช่แข็ง อาหารที่แปรรูปจากอาหารทะเล รวมถึงสินค้าอื่นๆ เช่น เสื้อผ้า เป็นต้น เนื่องจากอาจถูกกล่าวหาว่า สินค้าดังกล่าวมาจากการค้ามนุษย์ ดังนั้น โดยภาพรวมจะส่งผลให้ภาพลักษณ์ของประเทศกลุ่ม Tier 3 ได้รับความเสื่อมเสีย
                 การส่งออกของประเทศไทย คาดว่าอาจสูญเสีย มูลค่า 2 แสนล้านบาทต่อปี“ไทย” ยังคง ประเทศ Tier 3 ซ้ำเป็นปีที่ 2 เพราะ ?!

นายวันชัย กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์จริง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องของเรือประมง เนื่องจากเรือประมงจำเป็นต้องมีลูกเรือ จึงจะสามารถออกเรือได้ ซึ่งยอมรับว่า ลูกเรือประมงค่อนข้างหายาก ทำให้จะต้องมีนายหน้าที่จะต้องทำหน้าที่แสวงหาลูกเรือ โดยที่ผ่านมาปัญหาของเรือประมง เช่น เมื่อออกเรือไปแล้ว ลูกเรือเกิดความรู้สึกทนไม่ไหว เมาเรือ และไม่ยอมทำงาน ทำให้มีการลงไม้ลงมือ ซ้อม ทุบตี หรือทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น เนื่องจากมีการจ่ายค่านายหน้าไปแล้ว จึงกลายเป็นเรื่องของการค้ามนุษย์
                 แรงงานลูกเรือประมง                 อุตสาหกรรมการประมงนโยบาย “ไทย” VS “มาเลเซีย” ต่างกัน จริงหรือ ?!

“การจัดอันดับให้มาเลเซียได้ขึ้นไปอยู่ระดับ Tier 2 ไม่ใช่เพราะมาเลเซียดำเนินการแก้ปัญหามากกว่าประเทศไทย แต่เป็นประเด็นทางการเมืองล้วนๆ เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลไทยไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เป็นเหตุให้โดนกดดันค่อนข้างมาก รวมถึงในระยะหลังไทยให้ความสำคัญกับจีน ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้สหรัฐอเมริกาไม่พอใจเท่าที่ควร ขณะที่มาเลเซียกำลังเดินหน้าจับมือกับสหรัฐอเมริกามากกว่าจีน” นายวันชัย แสดงทรรศนะ
Tier มีผลต่อทั่วโลก เพราะ ?!

อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องการค้ามนุษย์ เผยอีกว่า ที่ผ่านมาไม่มีประเทศใดในโลกที่ลุกขึ้นมาจัดอันดับการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ทำให้กลายเป็นมาตรฐานเดียวที่หลายประเทศสามารถนำไปใช้ในการอ้างอิงได้
อย่างไรก็ตาม การจัดอันดับการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นไปตามข้อเท็จจริง เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยมีการดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการขึ้นทะเบียนแรงงานอย่างถูกกฎหมาย ทำให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ รวมถึงการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรือประมง โดยการตรวจสอบสัญญาจ้างให้เป็นไปตามมาตรฐานในการคุ้มครองแรงงาน เป็นต้น
                 หลายประเทศรณรงค์ไม่ซื้อสินค้า ประเทศกลุ่ม 'เทียร์ 3' ส่งผลต่อการส่งออกของประเทศไทย“การจัดอันดับการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านและกดดันให้ประเทศนั้นๆ ดำเนินการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ซึ่งจะมีผลในอีก 3 เดือน หรือ 90 วัน โดยรอฟังว่า ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ จะตัดสินใจใช้มาตรการคว่ำบาตรประเทศไทยหรือไม่” นายวันชัย กล่าว
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาประเทศไทยดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์มาตลอด โดยเฉพาะยุคของรัฐบาล คสช. ไม่ว่าจะเป็นกรณีการดำเนินคดีโรฮีนจา จำนวน 100 กว่าคนที่ผ่านมา โดยมีทั้งทหาร ตำรวจ นักการเมืองท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ซึ่งในขณะนี้มีการรวบรวมสถิติการดำเนินคดีมากขึ้น รวมถึงการเปิดแผนกเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ในชั้นศาล
                 มาตรการการกีดกันสินค้า ส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศ กลุ่ม 'เทียร์ 3' ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร. ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาอย่างจริงจังให้ไทยหลุดพ้นจากประเทศกลุ่ม 'เทียร์ 3' ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไทยดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์อย่างจริงจังและเต็มที่มาโดยตลอด รวมถึงสอดส่องการทำงานและวิธีการแก้ปัญหาของหลายประเทศ เพื่อเป็นแนวทางในการเปรียบเทียบและดำเนินการแก้ไขต่อไป
                 รองศาสตราจารย์ ดร. ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงการดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ในระยะยาว คือ 1. รับฟังและทำตามกฎกติกาที่สหรัฐฯ ชี้แจง 2. เชิญสหรัฐฯ มาตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลไทยตลอดทั้งปี ซึ่งหากทำเช่นนี้ได้ วิธีนี้จะทำให้สหรัฐฯ ได้ทราบถึงข้อเท็จจริงว่า แต่ละปีประเทศไทยดำเนินการแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง ขณะเดียวกัน หากว่าวิธีนี้ไม่สามารถทำได้จริง ทางรัฐบาลไทยจะต้องมีการท้วงติงไปตั้งแต่ต้น เกี่ยวกับข้อเท็จจริงด้วยเหตุและผลว่า ไทยดำเนินการแก้ไขอย่างไรไปแล้วบ้าง และ 3. ต้องมองการณ์ไกลว่า ถ้าต้องการก้าวผ่านปัญหาการค้ามนุษย์ จะต้องใช้วิธีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการใช้แรงงานทั้งระบบ จึงจะสามารถเข้าไปสู่ตลาดแรงงานใหม่ได้ ทั้งยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับการค้ามนุษย์ครั้งต่อไป
                 การส่งออกไทย กำลังจะเหือดหายอย่างไรก็ตาม วิธีการแก้ไขปัญหาเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายนัก แต่หากมีการดำเนินการแก้ปัญหาไปอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มจะส่งผลดีในระยะยาวได้ ทั้งนี้ ไทยควรจับมือร่วมกันกับสหรัฐฯ มากขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ ก็จะได้ประโยชน์จากการซื้อสินค้าที่มีคุณภาพดีและราคาถูกอีกด้วย

http://www.thairath.co.th/content/515228



22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-29 15:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
[url=][/url]



'ชูวิทย์'ชี้รวยหรือจนก็เจ๊งเหมือนกัน'ชูวิทย์' เผยชาวบ้านห่วงปากท้อง 'พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน' รวยหรือจนมันก็เจ๊งได้เหมือนกัน                                                                  

                                ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อเวลา 18.43 น. วันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา  นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ภาพ ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ชูวิทย์ I'm No.5 'รวยหรือจน ก็เจ๊งเหมือนกัน'


                                " วันนี้วันอาทิตย์ ผมไปเดินเล่นที่สวนจตุจักร ถือโอกาสทักทายปราศรัยกับพ่อค้าแม่ขาย พบว่า ทุกคนบ่นเหมือนกันว่าลูกค้าน้อย นักท่องเที่ยวก็ไม่มี มีแต่ทัวร์จีนลงมาเดินเล่น

                                ผมหยุดพักที่ร้านกาแฟข้างถนนซื้อโอเลี้ยงกินดับร้อน และถามเจ้าของร้านว่าค้าขายเป็นอย่างไรบ้าง ? พอจำได้ว่าเป็นชูวิทย์ ก็ตอบว่า 'โอ๊ย จะตายแล้ว ทุกวันนี้แค่ประคองตัวไปวันๆ อย่างวันนี้ยังขายได้ไม่กี่ร้อย ไม่รู้จะหาเงินพอค่าข้าวสารกรอกหม้อเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานหรือเปล่า'

                                ไม่ใช่เฉพาะพ่อค้าแม่ค้าริมถนนตลาดนัดเท่านั้น ศูนย์การค้ายักษ์ใหญ่อย่าง 'เอ็มควอเทียร์' ที่เพิ่งเปิดตัวย่านสุขุมวิทใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน มีแค่คนเดินตากแอร์ถ่ายรูป แต่ไม่มีคนซื้อ

                                หรือแม้แต่ห้างบิ๊กซี โลตัส ผู้คนก็ไปจับจ่ายใช้สอยเฉพาะของจำเป็นในชีวิตประจำวัน อะไรโปรโมชั่นก็ซื้อ ถ้าไม่โปรโมชั่นก็เอาไว้ก่อน

                                ผมไม่รู้ว่าเมื่อปีกว่าที่ผ่านมาเราทะเลาะกันแทบเป็นแทบตาย จะเลือกตั้งก่อนปฏิรูป หรือจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง อย่างไหนดีกว่ากัน แต่ตอนนี้ชาวบ้านตอบออกมาเหมือนกันหมดว่า 'ใครจะเลือกอะไรก็ช่าง ปากท้องสำคัญที่สุด'

                                วันนี้ประชาชนเริ่มหวนคิดแล้วว่า เราต่อสู้เพื่ออะไรกันแน่ ? เพราะผลกระทบสำคัญที่สุดดันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด คือ 'พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน ?'

                                รวยหรือจนมันก็เจ๊งได้เหมือนกัน "

http://www.komchadluek.net/detail/20150727/210523.html

21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-29 15:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
[url=][/url]
[url=][/url]





‘ลูกทุ่งอ่วม’งานโชว์ตัวหด‘หญิง ธิติกานต์’ชิงลดค่าตัว“ลูกทุ่งอ่วม” งานโชว์ตัวหด“หญิง ธิติกานต์” ชิงลดค่าตัว                                                                  

          เศรษฐกิจฝืด ความบันเทิงคนรากหญ้าเหงา คนลูกทุ่งงานหดหาย หญิง ธิติกานต์ ทนพิษความเศร้าไม่ไหวว่างงานกว่า 3 เดือน ประกาศลดค่าตัว เรียม ดาราน้อย วอนรัฐช่วย ด้าน บ่าววี ชี้ต้องปรับตัวจะอยู่ได้

          หญิง ธิติกานต์ อาร์สยาม เจ้าของเสียงเพลง “ทนพิษความเศร้าไม่ไหว" กล่าวกับผู้สื่อข่าว หลังประกาศลดค่าตัวทางเฟซบุ๊กว่า
          “พอหญิงโพสต์ข้อความลงที่เฟซบุ๊กปุ๊บ เจ้าภาพโทรเข้ามาเต็มเลยทั้งทางไลน์ ทางเฟซบุ๊ก ถามเลยว่าลดราคาจริงเหรอ ถ้าจริงเขายินดีที่จะช่วยเรา จ้างเราเหมือนเดิมเพราะว่าเจ้าภาพแต่ละคนพูดเหมือนกันหมดว่า กำลังจ้างเขาน้อยลง แต่เขาอยากได้เราไปงานเขานะ แต่เขาไม่สามารถจริงๆ เพราะเขาเองก็ไม่ได้กำไรเยอะพอที่จะจ้างนักร้องได้ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ ถ้าหญิงลดราคาให้แก่เขาๆ ก็ยินดีจ้าง ส่วนหนึ่งเขาบอกว่าจ้างหญิงไปแล้วเขาคุ้ม เพราะว่าเพลงที่หญิงร้องมีเยอะกว่านักร้องรุ่นใหม่ๆ ที่มีซิงเกิลเดียว แล้วเอาเพลงคนอื่นมาร้อง คนดูก็ไม่ชอบคนจ้างก็มองว่าไม่คุ้มกับราคาเพราะเขาจ้างนักร้องที่ไม่มีค่ายก็ได้”

          ผู้สื่อข่าวถามว่ากว่า 3 เดือนที่ไม่มีงานปรับตัวอย่างไร และเพื่อนนักร้องคนอื่นๆ มีการพูดคุยปรึกษากันหรือไม่ นักร้องที่เพิ่งมีผลงานเพลง “กุหลาบในใจน้อง” เล่าต่อว่า
          “ต้องยอมรับโลกเปลี่ยนไป เศรษฐกิจก็เปลี่ยนเราต้องปรับตัวให้ได้ สมมุติว่าเราทำงานเหนื่อย 100 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิมแต่ค่าตอบแทนได้น้อยลงกว่าเดิม แต่มันเป็นอาชีพที่เรารักก็หยวนๆ กันไป น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เจ้าภาพอยู่ได้เราก็อยู่ได้ แฟนเพลงก็ได้ดูคอนเสิร์ตเรา ดีกว่าที่เราจะนั่งอยู่เฉยๆ เครียดกันหมดทั้งเรา เจ้าภาพ แฟนเพลงเอาเพลงเป็นตัวประโลมจิตใจสร้างความเข้มแข็งให้กันและกันดีกว่า เพื่อนนักร้องที่คุยกันตอนนี้นักร้อง 80 เปอร์เซ็นต์ ที่ว่างงานกัน บางคนกินเงินเก่าที่เก็บมา ตัวหญิงเองก็ใช้เงินเก็บอยู่ ตอนนี้ 3 เดือนที่ผ่านมา หญิงมีเวลาไปเที่ยวตรงนั้นตรงนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเวลาขนาดนี้ พอมานั่งคิดมันเกิดอะไรขึ้นกับอาชีพร้องเพลงของเรา นอกจากนั้นยังกระทบธุรกิจอย่างอื่นของหญิงด้วยที่ผ่านมา ยอดครีมคุณหญิงที่ตัวหญิงลงทุนทำเองก็ลดลง 50 เปอร์เซ็นต์บางคนไม่เคยซื้อผ่อนก็มาขอซื้อผ่อน รายได้เขาลดลง โอทีก็ไม่มี หญิงก็ให้ ถ้าเป็นลูกค้าประจำมันมีผลหมด เราต้องทำยังไงที่จะขับเคลื่อนไปให้ได้ ยิ่งถ้าเราเว้นช่วงออกงานเพลงไปด้วย แต่ตอนนี้มีเพลงใหม่ เราปรับราคาก็น่าจะมีอะไรดีขึ้น พอเราบอกปรับราคางานก็เข้ามาเลยแต่ยังไม่เท่าเดิม"


http://www.komchadluek.net/detail/20150729/210641.html

20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-28 07:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การบินไทย"อาการหนัก"
จ้างออกพนง.กว่า 1,400 ตำแหน่ง
หลังยกเลิกเที่ยวบินไปแอลเอ-โรม


"รอยเตอร์ส"รายงานว่า สายการบิน"ไทย แอร์เวย์  อินเตอร์เนชั่นแนล"หรือการบินไทย มีแผนที่จะปรับลดพนักงานผ่านโครงการเกษียณอายุโดยสมัครใจเป็นจำนวน  1,401 อัตรา ภายในปีนี้ และระงับการให้บริการบินไปยังเมืองลอสแองเจลิส ของสหรัฐ และกรุงโรม ของอิตาลี  ในแผนปรับโครงสร้างใหม่ของการบินไทย

รายงานระบุว่า การบินไทยมีแผนที่จะลดค่าใช้จ่าย  และลดจำนวนการจุผู้โดยสารลง  20 เปอร์เซ็นต์ภายใต้แผนปรับโครงสร้างองค์กรที่จะใช้เวลา 2 ปี  รวมทั้งการขายเครื่องบินของสายการบิน และการลดพนักงานสายการบินด้วย  โดยสายการบินเป็นหนึ่งในหลายบริษัทภายใต้รัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลทหาร  ที่มุ่งเป้าที่จะปฎิรูปภายหลังขึ้นสู่อำนาจเมื่อปี 2014




โดยนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด  (มหาชน) เปิดเผยกับรอยเตอร์สว่า การบินไทยได้ตั้งเป้าจะลดค่าใช้จ่ายจากโครงการเกษียณอายุโดยสมัครใจนี้  เป็นจำนวนเงิน 151.86 ล้านบาท โดยถือเป็นสิ่งธรรมดาที่การบินไทยต้องตัดลดค่าใช้จ่ายและปรับลดเที่ยวบินลง  เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน  และว่า  การบินไทยมุ่งเป้าหมายที่จะลดค่าใช้จ่ายให้ได้มากกว่า  9 พันล้านบาทในปีนี้

รายงานระบุว่า  การบินไทยมีกำหนดจะยุติเที่ยวบินกรุงเทพ-ลอสแองเจลิส และกรุงเทพ-โรม ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.นี้  ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของการบินไทยได้กว่า 100 ล้านบาทต่อปี  และถือเป็นปิดฉากการให้บริการทุกเที่ยวบินไปยังสหรัฐ  หลังจากก่อนหน้านี้การบินไทยได้ระงับเที่ยวบินไปนิวยอร์ก ตั้งแต่ปี 2008  เนื่องจากเป็นเส้นทางบินที่ไม่ทำกำไร รวมทั้งลดจำนวนเที่ยวบินไปเมืองกัลกัตต้า ของอินเดีย  และเพิ่มเที่ยวบินไปยังไฮเดอราบัด ของอินเดีย,ฉางชา ของจีน และหลวงพระบาง ของลาว   ให้กับสายการบิน"ไทย สมายล์"ของการบินไทย

ทั้งนี้ ในการออกแถลงการณ์ก่อนหน้านี้  การบินไทยระบุว่า มีเที่ยวบินเป็นจำนวน 50 เที่ยวบินที่ทำให้การบินไทยขาดทุนหรือมีรายได้ต่ำ  



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437976744
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้