ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 8585
ตอบกลับ: 35
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ~

[คัดลอกลิงก์]


ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร


วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย
ต.บางลึก อ.เมือง จ.ชุมพร



๏ อัตโนประวัติ

“หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร” เป็นพระมหาเถระผู้มีปฏิปทาจริยวัตรอันงดงามยิ่ง ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันโดยไม่ขาด ท่านเป็นพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในการเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐานอย่างยิ่งยวด รักในความสงบ สันโดษ มักน้อย พูดน้อย สำรวมระวังกาย วาจา ใจ และฉันอาหารเพียงวันละมื้อเดียว นับเป็นพระอริยบุคคลผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง

หลวงปู่สงฆ์ มีนามเดิมว่า “สงฆ์” เป็นนามที่ชาวกรุงเทพมหานครเรียกชื่อท่านด้วยความเคารพเลื่อมใส นามสกุลไม่ทราบ เพราะท่านไม่ได้บอกใคร เกิดเมื่อวันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ.2433 ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล อันเป็นแผ่นดินในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นลูกชาวนาวิสัยใต้ บ้านแหลมนาว อ.สวี จ.ชุมพร โยมบิดาชื่อ นายแดง โยมมารดาชื่อ นางนุ้ย (ไม่ทราบนามสกุล)

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x

ขอบคุณครับ
สาธุกราบหลวงปู่ขอรับ
33#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-20 10:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ข่าวมาถึงหลวงปู่ หลายวันต่อมา ท่านก็ไม่พูดอะไร ได้แต่อธิฐานจิตขออย่าได้จองเวรต่อกันเลย และทำการอโหสิกรรมแก่หลวงพ่อบ่าว ด้วยใจจริงแล้วท่านหาได้อาฆาตอะไรถึงขั้นจะทำให้ตายไปจากกันไม่ และเมื่อหลวงพ่อบ่าวจากไปแล้ว ท่านก็ไม่นึกถึงอะไร ปฏิบัติกิจของท่านต่อไป หาเอาใจใส่ไม่ ฟ้าดินต่างหากที่ไม่เป็นใจต่อการกระทำของหลวงพ่อบ่าว

หลวงปู่สงฆ์กำหนดจิตรู้ด้วยอำนาจอนาคตังสญาณรู้เรื่องราวต่อไป แม้ยังไม่เกิดขึ้นว่า ต่อไปในบริเวณนี้วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง คนที่เคยอยู่ คนที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนจะได้มาพบกันจะไม่ว่างเว้น คนทั่วไปมาเยี่ยมเยือน ณ สถานที่แห่งนี้

ดังนั้น หลวงปู่สงฆ์จึงตัดสินใจรับนิมนต์ และจำพรรษาที่วัดนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซึ่งตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๓ เมื่อสมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช

หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เวลานั้นมีอายุ ๓๐ ปี พรรษาที่ ๑๐ และได้บูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในบริเวณวัดขึ้นใหม่ทั้งหมดพร้อมกับตั้งชื่อวัดตามกาลตามสมัยว่า วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร

ภายหลังจากที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร มาจำพรรษาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ซึ่งแต่ก่อนอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก ไม่มีเสนาสนะใด ๆ ทั้งสิ้น กลับมีถาวรวัตถุก่อสร้างขึ้นมากมาย

ด้วยเหตุที่ว่า หลวงปู่สงฆ์เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบศีลจริยวัตรงดงาม จนเป็นที่เลื่องลือแพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางผู้คนก็หลั่งไหลกันเข้าไปยัง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ดุจดังมีงานประจำปี ปีแล้วปีเล่าชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ต่างมีงานทำทุกวัน สภาพชาวบ้านแถบนั้นเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น ถนนหนทางสมันนั้นก็ยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ ฐานะการเป็นอยู่ของชาวบ้านเริ่มมั่งมีขึ้นโดยอาศัยบุญบารมีของ หลวงปู่สงฆ์ เพราะชาวบ้านออกค้าขายตั้งแต่อาหารจนกระทั่งของที่ระลึกให้กับผู้เข้าไปเยี่ยมเยือนนมัสการการท่านทุกวัน ๆ สภาพสังคมที่ถูกทอดทิ้งมานานเริ่มส่งผลให้แก่ชาวบ้านมีความอยู่ดีกินดีขึ้นเช่นกัน

ด้วยอำนาจคุณงามความดีของ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาในป่าเขาถ้ำเหวต่าง ๆ ทนสู้กับอุปสรรคเภทภัยนานาประการนี้ ยังส่งผลให้กับชาวบ้านได้อยู่ดีมีความสุขถ้วนหน้า ก็เพราะคุณธรรมของท่าน

วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ที่เคยถูกทิ้งมาเป็นเวลานานจนกลายมาเป็นวัดโอ่อ่า เสนาสนะครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งนี้เพราะ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เป็นพระสุปฏิปันโน และมีศีลจริยวัตรที่เลื่อมใสของประชาชนทั้งหลาย

ความเมตตาของหลวงปู่สงฆ์กว้างขวางไม่มีขอบเขตท่านสงเคราะห์ทั้งมนุษย์และสัตว์ด้วยเมตตาธรรม จนเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้เข้าไปนมัสการท่านจนปัจจุบันนี้

การที่หลวงปู่มีความเมตตาต่อสัตว์ทุกชนิดนั้นท่านเล่าเป็นเหตุผลว่า

“สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ขนาดไหนก็ตาม แม้แต่มด ปลวกมันก็มีชีวิตจิตใจ รู้จักรัก รู้จักโกรธ รู้จักกลัว รู้จักหิว รู้จักสุขทุกข์เช่นเดียวกับคนเหมือนกัน

แต่ที่เขาต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น ก็เพราะกรรมส่งผลให้เขามาเกิด เกิดมาเพื่อเสวยผลของกรรมเก่าของเขา เมื่อเขาพ้นจากสภาพสัตว์ต่างๆ เหล่านั้นแล้วเขาอาจกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ก็ได้

ดังนั้นเราควรมีเมตตากับสัตว์ทุกชนิดจงพิจารณาดูว่า บาปกรรมนั้นเป็นของมีจริง เหตุนี้ผู้มีปัญญาที่ชาญฉลาดที่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นโอกาสที่ประเสริฐแล้ว ควรแต่ประกอบคุณงามความดี มีศีลมีธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อันจะเป็นการจองเวรจองกรรมกันต่อไป เพื่อเราจะได้ไม่ต้องเกิดมาใช้กรรมใช้เวรกันต่อไปอีก

ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรก่อกรรมทำเข็ญ ด้วยการทำลายชีวิตผุ้อื่น ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ แม้แต่มดหรือปลวกก็มีบาปเหมือนกัน
32#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-20 10:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในคืนนั้นเอง

หลวงปู่ก็ได้รับการเยี่ยมเยือนอีกครั้งจาก มนต์ดำ ที่ลอยมากระทบประตู ในตอนเช้าท่านเปิดประตูออกมาเพื่อจะออกบิณฑบาต ก็ได้เห็น หนังหมูที่มีเข็มเย็บผ้าจำนวนมาก หล่นอยู่หน้าประตูกุฏิ ท่านจึงนำไปฝังที่โคนต้นไม้

ศิษย์ของหลวงปู่มีอยู่ ๒ คน คือผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน และนายเกตุ

ผู้ใหญ่บ้านนั้นได้รับวิชาไปจากหลวงปู่ไปหลายอย่างและมีอายุสูงกว่านายเกตุ มีความสุขุมและยึดมั่นในหลักคำสอนของหลวงปู่เป็นอย่างดี เรียกว่า พอจะมีความรู้ทางไสยเวทย์พอคุ้มตัวได้

และในคืนต่อมานั้นเอง หลวงปู่ก็พลาดท่า เพราะสิ่งที่หลวงพ่อบ่าวส่งมานั้นได้เล็ดลอดเข้ามาจากประตูหน้าเข้ามาจนกระทั่งถึงตัวและเข้าไปสู่ท้องของหลวงปู่ได้

ท่านต้องเอามือกุมไว้ไม่ยอมให้สิ่งนั้นหมุนอยู่ในท้อง เพราะมันเป็นมีดหมออาคม ถ้าหากให้มันหมุนได้ ตับไตไส้พุงจะฉีกขาดหมด หลวงปู่ต้องเก็บความเจ็บปวดไว้จนรุ่งเช้า บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดมาพบ แล้วช่วยกันนำเอาสิ่งนั้นออกมาจากท้องของท่าน

สิ่งที่ออกมาจากปากของหลวงปู่ก็คือมีดสองคม

ท่านให้มันออกมาทางปาก ท่ามกลางความตกใจของลูกศิษย์ที่เห็นอยู่ในขณะนั้น หลวงปู่ไม่พูดอะไรเรื่องนี้ เพียงแต่ให้ลูกศิษย์ไปตัดไม้ไผ่เหลาให้บาง ๆ

“พ่อหลวงจะทำอะไร”

ลูกศิษย์ผู้นั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย

หลวงปู่นั่งนิ่งเอ่ยปากขึ้นว่า

“ควายธนู เขาทำเราหลายครั้งแล้วถ้าเราไม่ตอบ เขาจะว่าเราขี้ขลาดตาขาว เราต้องสั่งสอนบ้าง”

เมื่อลูกศิษย์ตัดไม้ไผ่มาแล้ว หลวงปู่ก็ลงมือเหลาจนบางเบาด้วยมือของท่านเอง ระหว่างการเหล่านี้ได้มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวได้รับคำสั่งให้มาดูว่าหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้าง เพราะผลจากการส่งมีดสองคมมาทักทายเมื่อคืน

แต่เมื่อมาถึงกุฏิ เห็นหลวงปู่นั่งเหลาไม้อยู่ ก็กลับไปบอกแก่หลวงพ่อบ่าวทันที ท่านได้รับรายงานก็สะดุ้ง รู้ด้วยจิตสำนึกทันทีว่า หลวงปู่นั้นอาคมสูงกว่า เพราะส่งมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล แม้แต่มีดสองคมก็ไม่อาจระคายผิวของหลวงปู่ได้

หลวงพ่อบ่าวไม่รู้ว่ามีดสองคมนั้นได้ผล แต่ยังไม่ถึงกับทำให้หลวงปู่ตายไปทันทีได้ ท่านแก้ไขในเวลาอันรวดเร็วหรือเรียกว่าพลาดท่าไปแล้วก็ได้ ถ้าหากไม่ใช่หลวงปู่ รับรองว่าคนนั้นจะต้องตายไปเพราะสองคมของมีดกรีดไส้พุงขาด

เพราะข่าวที่ว่าหลวงปู่เตรียมรับมือด้วยควายธนูอย่างแน่นอน หลวงพ่อบ่าวจึงเผ่นหนีออกจากวัดหายไปแต่บัดนั้น

ความจริงหลวงปู่หามีเจตนาจะทำร้ายถึงเลือดตกยางออกไม่ เพียงแต่ต้องการสั่งสอนให้หลวงพ่อบ่าวได้ทราบว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน

ฝ่ายหลวงพ่อบ่าวออกจากวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยก็ไปอยู่ที่วัดวิหาร ห่างออกมาจากบางลึก ไกลพอประมาณ ความเจ็บแค้นเรื่องนี้กลายเป็นอาฆาต หลวงพ่อบ่าวจัดว่ามีวิชาอาคมสูงองค์หนึ่ง ได้เตรียมสูตรใหม่ที่จะเล่นงานหลวงปู่ด้วยการเอาข้าวเหนียวดำที่สุกแล้วมาปั้นเป็นตัวคน

ตอนเย็นวันนั้นหลวงพ่อบ่าวได้ลงจากกุฏิมากวาดลานวัดดังเคยชิน ปรากฏว่าได้เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง จนทำให้ต้นยางหน้าวัดกิ่งหักกระเด็นลงมา เหมือนมีคนเอากิ่งยางทุ่มใส่หลวงพ่อบ่าว กิ่งยางหล่นลงมาทับร่างหลวงพ่อบ่าวซึ่งกวาดลานวัดถึงแก่มรณภาพทันที
31#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-20 10:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศึกไสยเวทย์

ความจริงอีกมุมหนึ่งของวัดร้าง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนี้ มีพระภิกษุอยู่ก่อนหน้านี้แล้วองค์หนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหาพอสมควร คือ หลวงพ่อบ่าว ท่านอยู่อีกมุมหนึ่ง มีกุฏิเล็ก ๆ พอได้อาศัยจำวัด

หลวงพ่อบ่าวเป็นพระภิกษุที่มีวิชาอาคมพอตัว มีลูกศิษย์ลูกหา และได้รับความเคารพนับถือจากชาวบ้านตามสมควร แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบ เพราะลูกศิษย์ของท่านออกจะเป็นนักเลงไปสักหน่อย ด้วยถือดีว่ามีพระอาจารย์คงกระพัน

การมาของหลวงปู่นั้น หลวงพ่อบ่าวทราบดีทุกระยะ ท่านก็สงบนิ่งไม่ว่าอะไร เพราะต่างคนต่างอยู่ ว่ากันไป น้ำคลองไม่ปะปนกับน้ำบ่อ ฉันใดฉันนั้น เมื่อหลวงปู่มาอยู่ได้นานวันก็มีคนมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ต่อมาปรากฏว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่เกิดมีเรื่องกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวถึงขนาดลงไม้ลงมือกัน ลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นฝ่ายชนะไม่บอบช้ำ

บรรดาคนหนุ่มต่างก็เฮมาหาหลวงพ่อสงฆ์กันมากขึ้น และนั่นคือต้นเหตุของเมฆหมอกของความขุ่นเริ่มขึ้น น้ำบ่อเริ่มไหลเข้ามาสู่น้ำคลอง ด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเองมีวิชาอาคมจะไปเกรงกลัวทำไมกับหลวงปู่

จากแรงยุกระตุ้นของศิษย์จึงเกิดให้เกิด ศึกไสยเวทย์ ระหว่างหลวงพ่อบ่าวกับหลวงปู่ขึ้นด้วยประการดังนี้

ในคืนนั้น

ขณะที่หลวงปู่นั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิของท่านดึกพอสมควร สักสองยามเห็นจะได้ ท่านก็ได้ยินเสียงแมลงชนิดหนึ่งบินวนเวียนไปมาอยู่หน้าประตูกุฏิ เมื่อท่านลืมตาขึ้นมองออกไป เสียงแมลงนั้นก็ตกลงหน้าประตู หลวงปู่ยิ้มให้กับตนเองในความมืดแล้วเปิดประตูออกมาดู ตรงหน้าประตูมีใบไม้สดหล่นอยู่หนึ่งใบ ท่านก็หยิบใบไม้สดนั้นขึ้นมาพิจารณา แล้วขยี้ขว้างทิ้งลงไปจากกุฏิ

สิ่งนั้นเตือนให้หลวงปู่ได้ทราบว่า บัดนี้ฝ่ายตรงข้ามได้เริ่มทักทายท่านแล้วด้วยใบไม้ที่เสกเป็นแมลง หวังจะให้มาต่อยท่าน แต่หมดแรงลงเสียก่อน

นี่อาจจะเป็นยกแรกของการต่อสู้แบบไสยเวทย์

เป็นธรรมดาของคนเล่นอาคม เมื่อผิดหวังครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง และครั้งต่อๆ ไป จนกว่าจะชนะ ไม่ยอมแพ้แก่กันเพราะถือว่าเป็นการชิมลางสำหรับครั้งแรก หลวงปู่ก็รู้ว่าจะต้องมีต่อไปจนกว่าฝ่ายนั้นจะพบความสำเร็จในวิชาที่ตนเองร่ำเรียนมา

คืนต่อมา

ในเวลาดึกสงัดหลวงปู่ยังหาได้จำวัดไม่ ท่านกำลังนั่งเจริญภาวนาตามแนวทางของวิปัสสนา กสิณ ในความแจ่มแจ้งของดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ในเพศสมณะ หลวงปู่ได้มองเห็นสิ่งหนึ่งดำมะเมื่อมลอยเคว้งคว้างตรงมายังกุฏิของท่าน ความรู้สึกบอกตัวเอง

“มันมาอีกแล้ว”

ท่านก็หาหวั่นไหวแต่อย่างใดไม่ คงหลับตาเจริญภาวนาของท่านต่อไปในความมืด

ถึงแม้จะหลับตา แต่ท่านก็สามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติที่ลอยเลื่อนตัวตรงเข้ามาหา แต่ว่าไม่อาจจะลอยเข้าในกุฏิได้ สิ่งนั้นวนเวียนอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็หล่นวูบตกลงหน้ากุฏินั่นเอง

เมื่อหลวงปู่เปิดประตูกุฏิออกมาดูก็พบว่า สิ่งนั้นคือหนังควายแผ่นใหญ่เท่าฝ่ามือหล่นอยู่หน้ากุฏิ อันวิชานี้เป็นมนต์ดำหรือ อวิชชาในด้านการเสกเข้าท้องฝ่ายตรงข้าม

ในตอนเช้าเมื่อญาติโยมลูกศิษย์ลูกหามาที่วัด ท่านก็ไม่พูดอะไร แต่ได้พูดคุยเป็นปริศนาธรรมแก่ญาติโยมในเรื่องเกี่ยวกับมนต์ดำ ทำนองว่าคนที่เรียนวิชานี้ไม่ควรจะนำมาใช้ทำร้ายผู้อื่นเพราะเป็นบาป ถ้าหากนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค ช่วยเหลือผู้คนดีกว่า มิฉะนั้นจะเป็นบาปและเข้าตัวเองได้

การพูดทำนองตักเตือนหลวงพ่อบ่าว เพราะหลวงปู่รู้ว่าในกลุ่มชาวบ้านที่มานั่งรายล้อมอยู่นี้น่าจะมีลูกศิษย์หลวงพ่อบ่าวอยู่บ้าง อาจจะเป็นเพราะวิชาอาคมของหลวงพ่อบ่าวยังไม่ถึงหรือเป็นเพราะการเทศน์ปริศนาธรรมกระทบมาก็ไม่ทราบได้
30#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-18 12:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตามปกติ หลวงปู่สงฆ์ชอบใช้ยาเส้น (ยาฉุน) สีปากแล้วอมเอาไว้ ดังนั้น ยาเส้นที่ท่านใช้แล้ว จะกลับกลายเป็นของวิเศษศักดิ์สิทธิ์ ครั้งหนึ่ง ได้มีคนมาหาหลวงปู่ ท่านได้มอบยาเส้นให้ไป เมื่อได้แล้วก็นำเก็บไปไว้ในตู้เซฟ รวมกับเอกสารและทรัพย์สินของมีค่ามากมาย

หลังจากนั้น ได้มีขโมยเข้าบ้านชายคนนี้ เมื่อขโมยเปิดตู้เซฟ ต้องเบือนหน้า เพราะในตู้เซฟไม่มีสมบัติทรัพย์แม้แต่ชิ้นเดียว ภายในเซฟมีแต่ยาเส้นกองเต็มไปหมด ไม่มีของมีค่า จึงต้องหลบหนีกลับไปมือเปล่า

แต่ทว่า หัวขโมยนี้ก็ไปไม่รอด โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวและเตรียมดำเนินคดี แต่ไม่มีของกลาง เพราะไม่ได้ทรัพย์สินกลับไป โดยบอกกับตำรวจว่า “ในเซฟมีแต่ยาเส้น ใครจะเอาไปทำไม” ในความเป็นจริง ยาเส้นในตู้เซฟนั้น มีเพียงก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น



หลวงปู่สงฆ์ ยังมีวิชารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานา เคยทำการรักษาโรคของผู้ป่วยทุกคน จนอาการทุเลาดีขึ้น ครั้งหนึ่ง มีผู้ป่วยชาวนครศรีธรรมราชที่มีอาการปวดท้องมานาน 10 กว่าปี ไปรักษาที่ไหนตามโรงพยาบาลต่างๆ เสียเงินไปเป็นแสนบาท นายแพทย์เก่งขนาดไหนก็รักษามาแล้ว ที่ไหนว่าเก่งๆ พอเจอโรคบุคคลนี้เข้าไป รักษาไม่หาย ผู้ป่วยจึงได้หอบสังขารชนิดผอมติดกระดูก เดินทางมาหาหลวงปู่ด้วยความศรัทธา เพื่อขอให้หลวงปู่รักษาโรค โดยได้นำน้ำปลาไปให้ท่านเพ่งกระแสจิตนานกว่า 10 นาที

หลวงปู่นำน้ำปลานั้นมาให้และบอกว่าให้กินน้ำปลานี้แทนยา ด้วยความศรัทธาในองค์หลวงปู่ ผู้ป่วยได้เปิดขวดน้ำปลาดื่มเข้าไป แม้ว่าน้ำปลาจะมีรสเค็ม แต่เวลาน้ำปลาผ่านลำคอไปแล้ว รู้สึกเย็นๆ พอไปถึงท้อง อาการปวดเสียดนั้นหายเป็นปลิดทิ้งทันที และไม่เกิดอาการปวดในภายหลังอีกแต่อย่างใด และมีอาการยิ้มแย้มทันที ผู้ป่วยคนนั้นก็ล้มลงกราบหลวงปู่สงฆ์ด้วยความศรัทธา

29#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-18 12:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้




ว่า แล้วก็เปิดกรงที่นำมาจะให้หลวงปู่ดูสัตว์ชนิดนั้น (บางคนว่าเป็นกระต่าย)  แต่พอเปิดกรงนกตัวหนึ่งก็บินปร๋อออกจากกรงไป   ทุกคนที่มาด้วยกับข้าราชการท่านนั้น  ต่างพากันตกตะลึงในความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น
28#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-18 12:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้




เรื่อง ที่ ๑ ครั้งหนึ่งทางราชการจังหวัดชุมพร  ได้นิมนต์พระสงฆ์และพระเถระหลายรูป  จากวัดต่าง ๆ มาที่ศาลากลาง เพื่อร่วมในพิธีถวายพระพรชัย   ต้อนรับในหลวงและสมเด็จ พระบรมราชินี ที่จะเสด็จมาเยี่ยมราษฎรชาวชุมพร  ขณะนั้นใกล้เวลาที่ในหลวง หรือพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาถึง   บรรดาพระสงฆ์และพระเถระจากวัดต่าง ๆ ได้พากันมาถึงที่บริเวณพิธีหมดแล้ว   ยังขาดแต่พ่อหลวงสงฆ์หรือหลวงปู่สงฆ์ที่ยังไม่มา   ทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อนใจเป็นอันมาก
ข้าราชคนหนึ่งจึงถูกส่งไปให้ไปนิมนต์หลวงปู่สงฆ์ ที่วัดศาลาลอยให้รีบมา   แต่หลวงปู่สงฆ์กลับบอกแก่ข้าราชการที่ไปตามว่า “วันนี้ในหลวงยังไม่เสด็จ   ถ้าในหลวงเสด็จมาเราจึงจะไป”  



แล้ว ท่านก็นิ่งเฉยเสีย ทำความไม่พอใจให้กับข้าราชการคนนั้นมาก   เนื่องจากสำนักพระราชวังได้มาเตรียมจัดสถานที่ประทับไว้พร้อมแล้ว  ข้าราชการจึงกลับไปแจ้งกับผู้ว่าราชการจังหวัด   ผู้ว่าราชการจังหวัดคิดในใจว่า หลวงปู่สงฆ์แก่มากแล้วจึงเลอะเลือน  เมื่อไม่มาก็ตามใจท่าน  จนกระทั่งถึงกำหนดเวลาที่ในหลวงจะเสด็จ  
การเสด็จของในหลวงครั้งนั้น  จะเสด็จจากจังหวัดนราธิวาสมาจังหวัดชุมพร  โดยทางเฮลิคอปเตอร์  ขณะที่ข้าราชการจังหวัดชุมพรต่างยืนรอรับเสด็จ   ก็ได้รับวิทยุจากจังหวัดนราธิวาส  แจ้งว่า
“ล้นเกล้า ฯ ทั้งสองพระองค์ไม่สามารถจะเสด็จมาได้  เพราะทัศนวิสัยไม่ดี ท้องฟ้ามืดมิดเต็มไปด้วยเมฆฝน และกระแสลมแรงจัด”
เป็นอันว่าวันนั้น  ในหลวงไม่ได้เสด็จมาชุมพร  แต่เสด็จมาในวันอื่น   เป็นเรื่องที่ชาวชุมพรพูดถึงกันเสมอเมื่อเล่าถึงเรื่องวาจาสิทธิ์ของหลวงปู่ สงฆ์
“อีกครั้งหนึ่งมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่   ไปเยี่ยมกราบไหว้หลวงปู่สงฆ์ พร้อมกับนำสัตว์เลี้ยงสี่เท้า  ใส่กรงไปถวาย   ในเรื่องไม่ได้บอกว่าเป็นสัตว์อะไร แต่หลวงปู่สงฆ์ไม่เลี้ยงสัตว์แบบขังกรง   ท่านต้องการให้สัตว์ได้อยู่ตามธรรมชาติจึงพูดว่า “นั่นโยมเอานกมาทำไม?”  ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนนั้นรีบพูดแย้งว่า
“ไม่ใช่นกหรอกครับหลวงปู่แต่เป็น...”
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้