ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
มรดกธรรม เส้นทางสู่ทางสงบในชีวิตและจิตใจ
»
อภัยทาน
1
2
/ 2 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 5458
ตอบกลับ: 15
อภัยทาน
[คัดลอกลิงก์]
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2013-5-7 11:45
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-5-7 11:46
อภัยทาน
การที่เราจะหามิตรกับศัตรูอันไหนจะหาง่ายกว่ากัน???
ถึงเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
วันนี้ผมได้คิดหวลถึงคำพูดคำสอนของหลวงปู่เพื่อจะเป็นแนวทางในการคิดและการกระทำ
หลวงปู่ท่านเคยถามผมว่า การที่เราจะหามิตรกับศัตรูอะไรจะง่ายกว่ากัน หลวงปู่ท่านบอกว่า
หากเราต้องการจะหาศัตรูซักร้อยคน วันเดียวก็หาได้ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่การที่จะหามิตรแท้ดีๆซักคนให้เวลาวันหนึ่งเอ็งจะไปหาได้มั๊ย
และเมื่อเราได้มิตรแท้แล้วเราควรที่จะถนอมรักษาเอาไว้ ยาที่จะรักษามิตรภาพได้ยาวนานคือ
"ยาอภัย" ที่จะทำให้มิตรภาพของเรามีอายุยาวนาน ถ้าเกิดเราทานยาอภัยแล้วอาการยังไม่หาย
เราก็ควรถอยออกห่างโดยยังคงความมีมิตรภาพไว้ เพื่อไม่ให้เป็นการจากไปอย่างศัตรู
วันนี้ผมจึงนำเรื่องอภัยทานมาให้อ่านและพิจารณากัน
Sarayut
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-5-7 11:47
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อภัยทาน
ชีวิตคือการลงทุน
ชีวิตคือการลงทุน ตัวชีวิตคือต้นทุน สิ่งที่ได้มาหลังจากชีวิตคือกำไรทั้งหมด การเกิดมาในโลกนี้ เหมือนการมาเที่ยว หรือไปเที่ยวต่างประเทศ เราชื่นชมได้ทุกอย่างที่เห็น แต่เมื่อจะเดินทางกลับจะต้องวางทุกอย่างไว้ที่เดิม เพราะนั่นเป็นสมบัติของแผ่นดินนั้นเก็บเอาเพียงความสุข ความเบิกบานใจ ไปติดตัวกลับบ้านก็พอ ชีวิตในโลกนี้มีทั้งกำไรที่เป็นสินทรัพย์และกำไรที่เป็นอริยทรัพย์ สินทรัพย์เราทิ้งไว้ให้เป็นสมบัติของโลกต่อไป ให้คนอื่นชื่นชมด้วย หากเรามีโอกาสกลับมาเที่ยว (เกิดใหม่) อีก เราก็มีโอกาสได้ชื่นชมอีก อริยทรัพย์ คือ บุญ ความสุข ความเบิกบานใจ อิ่มใจ พอใจ เป็นสมบัติแท้ของเราตามเราไปได้ทุกแห่งหน
การลงทุนให้ได้กำไร คือหัดทำความพอใจในสิ่งที่เรามีความโชคร้ายของมนุษย์ คือการไม่รู้ว่าตนเองโชคดี
ทุกชีวิตล้วนมีภัย ภัยของชีวิตอาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที ภัยที่เกิดจากภายนอก ไม่ร้ายแรงเท่ากับภัยภายใน
ภัยที่ผู้อื่นสร้างขึ้น กระทบเราน้อยกว่าภัยที่เราสร้างขึ้นเอง บางคนทำผิดแล้ว กลับมานั่งเสียใจในภายหลังก็บ่อย ภัยทั้งหลายล้วนเป็นยาพิษ ที่ปลิดชีวิตจิตใจเราได้ทั้งสิ้น
มนุษย์อื่นทำลายเรา ก็ทำได้เพียงขณะหนึ่ง แต่จิตที่ตั้งไว้ผิดจะทำลายเราข้ามภพชาติ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงสอนเรื่อง “อภัยทาน” คือการยกโทษ แสดงอโหสิกรรมต่อกัน
ไทยเรามีประเพณีอย่างหนึ่งคือ เมื่อจุดธูปขอขมาศพ ก็จะขออโหสิกรรมต่อกัน คืออย่าได้มีเวรต่อกันในภพหน้า ให้ทุกอย่างจบลงที่ภพชาตินี้ แม้ศัตรูคู่อาฆาตก็ต้องอโหสิกรรมต่อกัน
บางครั้ง พิธีสำคัญในชีวิต เรามักจะไปขอพรผู้ใหญ่ และกล่าวว่ากรรมใดที่เราได้ล่วงเกิน ขอให้ท่านยกโทษให้ คือให้สิ่งที่เราทำเป็นอโหสิกรรม ทำให้ใจเราว่างเพียงพอเพื่อรองรับความดี ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ เช่น พิธีบวช เป็นต้น
การแสดงอภัยทานเป็นการชำระใจ แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยาก หากไม่ฝึกทำจนเป็นปกติ เพื่อให้เข้าใจง่ายและอยากทำให้ได้ ขอให้เรามาพิจารณาเหตุผล ถึงความต่อเนื่องของผลกรรมที่มีผลข้ามภพข้ามชาติว่า ให้ผลเผ็ดร้อนเพียงใด และยังเป็นผลที่เราหนีไม่ได้อีกด้วย
เราต้องถามตนเองก่อนว่า เราต้องการยุติการเผล็ดผลของกรรมกับคนๆ นั้นเพียงภพนี้ หรือต้องการจะพบเขา จะเจอเขาอีกต่อไป เราต้องการจะยุติปัญหาเหล่านี้เพียงภพชาตินี้ หรือต้องการลากยาวไปถึงภพชาติข้างหน้า เรามีสิทธิเสรีในตัวเรา
บางคนรักมาก หลงมาก เพราะเขาดีมาก ก็ปรารถนาให้พบกันทุกภพทุกชาติ บางคนก็อธิษฐานไม่ขอร่วมเดินทาง แต่ก็ไม่ยกโทษ ในที่สุดผลของการไม่ยกโทษ คือไม่ยอมให้อภัย ก็เหมือนการผูกสิ่งที่เราไม่ชอบไว้ที่เอวตนเองตลอดเวลา
การให้อภัย จะทำใหเราสามารถยุติปัญหาต่างๆ ได้ เหมือนคนล้างแก้วน้ำสะอาด ทำให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ที่เทลงไปใหม่ เหมือนการโยนของที่เราไม่ชอบทิ้งเสีย โดยไม่ต้องเสียดาย
การให้อภัย คือการแสดงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อภัยทาน เวลาจะให้ ไม่ต้องไปขอใคร ไม่เหมือนใครมาของเนเรา เราต้องควักกระเป๋าให้ แต่ให้อภัย เราไม่ต้องหาจากไหน และไม่รู้สึกว่าเป็นการศูญเสีย
ขอให้เราภูมิใจ เมื่อมีใครมาขอโทษ เมื่อมีใครให้อภัยเรา หรือเมื่อสำนึกได้ว่า เราได้ทำอะไรผิดพลาดไป ก็ขอโทษกัน การขอโทษหรือการให้อภัย มิใช่การเสียหน้า หรือเสียรู้ มิใช่การได้เปรียบเสียเปรียบแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชำระใจให้สะอาด เหมือนภาชนะสกปรก ก็ชำระล้างให้สะอาด
ใครจะคิดอย่างไรมิใช่ประเด็น แต่สำหรับเราผู้แสดงออกว่า เราให้อภัยในเรื่องนี้ต่อบุคคลผู้นี้แล้ว นั่นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสิ่งนั้นจะถูกบรรจุลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์คือจิตของเราทันที
การผูกอาฆาต ความพยาบาท ความอิจฉา โกรธ เกลียด ความคิดแก้แค้น ทิฐิมานะ เป็นต้น เป็นเสมือนเชื้อไวรัส อภัยทาน คือ เครื่องมือแอนตี้ไวรัส ส่วนจิตของเรา เหมือนคอมพิวเตอร์
ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ อาจจะดูเหมือนยาว แต่มีใครบอกได้ว่าเราจะอยู่ได้ปลอดภัยถึงวันไหน เราต้องการความทรงจำที่เลวร้ายหรือต้องการความทรงจำที่ดีในชีวิต
เราต้องการนั่งนอนอย่างมีความสุข มีชีวิตอยู่ด้วยความอิ่มเอิบ หรือต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยการถอนหายใจ ด้วยความทุกข์และกังวลใจ สิ่งเหล่านี้ กำหนดได้ที่ตัวเราเอง กำหนดวิธีคิดให้ถูกต้อง
ความคิดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก สุขหรือทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิด คิดเป็นก็พ้นทุกข์ คิดไม่เป็น แม้แต่เรื่องมิใช่เรื่อง ก็อาจเกิดเรื่องได้
ขอให้เรามาคิดดูว่า ในชีวิตของเราคนหนึ่ง อย่างเก่งก็อยู่ได้ ๙๐ ปี เกินนี้ไปถือเป็นกำไรชีวิต ทำไมเราจะเสียเวลามาครุ่นคิดเรื่องไร้สาระ ทำไมเราจะต้องเสียเวลามาทำเรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์
การยอมกันเสียบ้าง ก็เป็นความสุขได้ไม่ยาก บางครั้ง การยอมแพ้ อาจเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ข้ามภพชาติ การยกโทษ อาจดูเหมือนเรายอม เราไม่ติดใจ ไม่เอาเรื่อง แล้วเขาจะได้กำเริบ ส่วนเราเสียเปรียบความจริงไม่ใช่ เรากำลังบำเพ็ญบารมีขั้นสูง คือ “อภัยทาน” อันเป็น “ทานบารมี” ที่สูงส่ง
เราอาจคิดว่า การให้อภัยบ่อยๆ แก่คนบางคน เขาอาจจะไม่ปรับตัว ยังก่อเหตุอยู่เสมอๆ งานก็ไม่สำเร็จ ยังเหลวไหลอยู่เหมือนเดิม นั่นอาจเป็นเหตุผลในการทำงาน แต่สำหรับเหตุผลของใจนั่น เมื่อให้อภัย ในเราก็เบา เพราะหมดห่วง หมดทุกข์ หมดสนิมที่จะมากัดใจให้ผุกร่อน
วิธีคิด มีความสำคัญมากสำหรับชีวิตของคน เรามักได้ยินเสมอๆ ว่า แพ้หรือชนะ อยู่ที่กำลังใจ แท้จริงแล้ว คำว่า “กำลังใจ” ก็คือวิธีคิดนั่นเอง พลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์คือ การที่ใจมีกำลัง
มนุษย์เราจึงต้องสร้างกำลังใจให้แก่กันและกัน กำลังใจเป็นสิ่งที่ให้ไม่รู้จักหมด ยิ่งเราให้คนอื่นได้มากเท่าไร กำลังใจก็จะยิ่งเกิดขึ้นแต่เรามากเท่านั้น เหมือนวิชาความรู้ ยิ่งให้ยิ่งพอกพูน ยิ่งหวงไว้เฉพาะตัว ก็ยิ่งหดหาย
การให้อภัย อาจพูดง่าย แต่ทำยาก แม้จะเป็นเรื่องยาก เพราะในไม่อยากทำ แต่ก็สามารถทำได้เมื่อเราฝืนใจทำ และจะเป็นความสุขใจในภายหลังเมื่อครวญคำนึง
มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง เป็นเรื่องที่มีอุทาหรณ์และคติน่าคิดมาก เกี่ยวกับเรื่องของคนที่ไม่ยอมให้อภัยใคร และเป็นคนผูกโกรธ ผูกเกลียด ผูกอาฆาต พยาบาท มองเห็นคนอื่นเป็นศัตรูคู่ต่อสู้ตลอดเวลา กระทั่งวันหนึ่งตายไปพร้อมกับจิตใจที่ขุ่นมัวและผูกอาฆาต
ท่านเล่าว่า เขาอธิษฐานไปเกิดเป็นลูกของศัตรู เพื่อจะได้ทำร้ายจิตใจอย่างใกล้ชิด แนบเนียนที่สุด จะได้เผาผลาญคนนั้นให้ถึงที่สุดให้ทุกข์ที่สุด ให้สาละวนอยู่กับเรื่องทุกข์ตลอดเวลา เขาเป็นลูกเกเร ผลาญทรัพย์ ทำลายวงศ์สกุล นำความทุกข์เดือดร้อนเข้าบ้านทุกวัน
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเป็นหลักใจว่า คนที่ตายขณะจิตเศร้าหมอง ย่อมไปสู่อบาย แม้คนพวกนี้ จะไม่เชื่อเรื่องอยาย เรื่องนรกที่เป็นภพภูมิ แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงนรกคือความเร่าร้อนรุนแรงที่คุกรุ่นภายในใจ ในขณะยังมีชีวิตอยู่ ส่วนคนที่ตายขณะจิตผ่องใส จะไปสู่สวรรค์ คือสภาพที่ใจปลอดโปร่งโล่งเบา ก็จะมีแก่ผู้นั้น
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-5-7 11:49
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สิ่งที่น่าคิดก็คือ ข้าพเจ้าทราบจากนักปราชญ์บัณฑิตโบราณ ท่านพูดเอาไว้ว่า การที่เราโกรธใคร เราไม่ให้อภัยเขา หรือเราไม่ไปขออโหสิกรรม ความโกรธนั้นจะเป็นกรรมหนักติดตัว คืดติดใจเราไปยาวนานข้ามภพข้ามชาติ แปลว่า ไม่ว่าเราจะไปเกิดภพใดชาติใดกรรมนั้นก็จะตามไปไม่สิ้นสุด
ยิ่งไปกว่านั้น การที่กรรมส่งผลข้ามภพข้ามชาตินั้น เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เราได้ทำอะไรกับใครไว้บ้างในครั้งอดีต
คนบางคนเกิดมามักถูกใส่ร้ายตลอดเวลา ไม่ว่าจะหันไปทำอะไร จะมีแต่คนคอยจ้องจับผิด คิดร้าย นินทาลับหลังให้ต้องเสียใจอยู่เสมอ บางคน คิดทำอะไรขึ้นมา พอจะสมหวังก็กลับมีอันต้องเป็นไปให้ผิดหวัง พลาดหวังอยู่บ่อยๆ เราก็คิดว่าเป็นเรื่องของโชควาสนาไป แต่ความจริงคือเรื่องอดีตกรรมที่เราไม่ยอมแก้ไข ทั้งๆ ที่แก้ไขได้
ยิ่งไปกว่านั้น บางคนต้องทุกข์เพราะคนใกล้ตัว ทุกข์เพราะคนที่เรารัก ที่เป็นตัวชีวิตของเราเอง เช่น มีลูกเกเร ทำให้พ่อแม่เสียใจ มีลูกผลาญทรัพย์ มีลูกไม่อยู่ในโอวาท มีลูกอกตัญญู มีลูกทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล พ่อแม่คิดถึงลูกทีไร ก็มีแต่เรื่องร้อนใจตลอดเวลา
เราจะเห็นว่า บางครอบครัว ญาติพี่น้องต้องทะเลาะกันเหมือนเป็นข้าศึกศัตรูกันมาหลายภพหลายชาติ บางทีต้องฆ่ากันเป็นทอดๆ ถามว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร ปัญญาธรรมดาของมนุษย์อย่างพวกเราพอจะทำความเข้าใจได้หรือไม่ กฎหมายที่มีอยู่สามารถคลี่คลายปมปัญหาได้ไหม คำตอยคือยาก เพราะนี่เป็นเรื่องของเศษกรรมที่ยังมิได้รับ “อโหสิ” ระหว่างเราและเขา
ฉะนั้น ถ้าไม่ต้องการเสวยวิบากกรรมอันเลวร้ายข้ามภพ ข้ามชาติ ท่านต้องหัดให้อภัยแก่คนทุกคน แก่สัตว์ทุกชนิด ให้อภัยแม้ศัตรูที่คิดจะทำร้ายหมายปองชีวิตเรา อภัยต่อทุกอย่างที่เขาทำไม่ดีกับเรา ให้ทุกอย่างเป็นอโหสิกรรมทั้งหมด เพื่อเราจะได้ไม่ต้องมีปัญหาในอนาคต
บางครั้ง เราเห็นเรื่องจริงในชีวิตจริง หรืแม้แต่ที่ปรากฏเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ หากเรามองย้อนคิดให้ดีสักนิด นิ่งคิดให้ละเอียดลึกซึ้งสักหน่อย เราก็จะเข้าใจได้ว่า การไม่ให้อภัยกันนั้น มีผลร้ายข้ามภพข้ามชาติได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
บางคนเราไม่รู้จักกันมาก่อน แต่พอเห็นหน้าก็รู้สึกไม่ชอบทันทีเลย จะพูด จะคุย จะทำอะไร ดูจะเกะกะลูกตาของเราไปหมด แม้แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเราก็เช่นกัน นั่นเป็นเพราะอดีต เราไม่ยอมให้อภัยกัน
สิ่งที่มนุษย์เรารักกันมากที่สุด คือ สามี ภรรยา ลูก แต่ทำไมบางที เมื่อแต่งงานกันแล้ว สามีสามารถฆ่าภรรยาได้ หรือภรรยาก็สามารถฆ่าสามีทิ้งได้อย่างง่ายดาย นั่นเป็นเพราะอะไร ไม่มีสิ่งใดที่จะอธิบายได้ดีเท่ากับบอกว่า นั่นคือผลกรรมที่เกิดจากการไม่ยอมให้อภัยกันในอดีตชาติ และส่งผลมาถึงภพนี้ จึงต้องมาแก้แค้นชำระโทษกัน
การที่เราไม่ยอมให้อภัย เหมือนเราไม่ยอมล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเรา แม้ว่าเราจะไปที่ไหน สวมใส่เสื้อผ้าชิ้นใด งามเพียงไรร่างกายของเราก็ยังคงสกปรก และตามไปทุกหนทุกแห่ง ความงามของเรือนร่างที่ประดับด้วยเครื่องเพชร ด้วยเสื้อผ้า ก็ไม่อาจทำให้ร่างกายสะอาดได้ การให้อภัย เปรียบเหมือนการอายน้ำชำระร่างกาย
ข้อนี้ เปรียบเสมือนเมื่อเราไม่ให้อภัยใคร ใจเราย่อมดิ่งอยู่กับคนนั้น และตัวเขาก็จะถูกผูกไว้กับความรู้สึกของเรา เหมือนความสกปรกของร่างกายที่ตามเราไปตลอดเวลา เพราะไม่ยอมชำระล้างให้สะอาด
ท่านทั้งหลายอาจลืมคิดไปว่า ลูกหลานที่เกิดมาแล้วผลาญทรัพย์ ทำลายชื่อเสียง ทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนนอนทุกข์นั้น แท้จริงก็คือศัตรูในชาติที่แล้วที่เรามิได้อโหสิกรรมให้เขา เราไม่ได้ยกโทษให้เขา คือเราไม่ได้แก้ปมที่เคยผูกไว้ให้หลุดออกไป กรรมระหว่างเรากับเขาจึงติดตามกันมาเผล็ดผลถึงวันนี้
บางที คนที่เขาโกรธเรา หากเราโกรธตอบ ก็จะเป็นการตอบรับกระแสกัน เหมือนเราโทรศัพท์ถึงกัน ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดโทรศัพท์รับ ฝ่ายที่โทรถึงก็หมดสิทธิ์จะคุยกับเราเพราะกระแสไม่ถึงกัน
การตอบรับซึ่งกันและกัน ถ้าเป็นความดี เป็นความรัก ความอบอุ่นก็ดีไป แต่ถ้าเป็นความเกลียด ความโกรธ สิ่งที่จะตามมาคือการรับรู้และเก็บอารมณ์ทั้งโกรธและเกลียดนั้นไว้ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย
เมื่อรู้แล้วก็ควรสละอารมณ์นั้นด้วยตัวเราเองก่อน เพื่อป้องกันจิตเรามิให้เป็นทุกข์เพราะคนนั้นเป็นเหตุ เราอาจคิดเสมือนหนึ่งเขาไม่ได้มีอยู่ในโลกนี้เลยก็ได้ การให้อภัยเขา คือคิดถึงเขาในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ไม่สมควรจะไปยึดเป็นรักเป็นชัง
ก็เมื่อแม้แต่รัก ท่านยังสอนให้เราละทิ้ง เพื่อมิให้ยึดติด แล้วทำไมเราจะยังมองเห็นโกรธ เป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นอยู่ได้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
4
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-5-7 11:50
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การที่เราเห็นสิ่งผิดปกติในชีวิตเราบางครั้ง เช่น มีแต่เรื่องให้เกิดทุกข์ มีแต่คนทำให้ใจขุ่นมัว มีลูกไม่ดี มีหลานไม่สมประสงค์ ทำให้เราต้องเก็บมาคิดเสมอ ขอให้เราถือว่า นี่คือเศษเสี้ยวแห่งผลกรรมที่ติดอยู่ในความคิดตั้งแต่อดีตชาติ ซึ่งบัดนี้เผล็ดผล งอกงามออกมาอยู่ใกล้ตัวเราที่สุด
วิธีแก้คือ ต้องอภัยให้แก่ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่วินาทีนี้ทันที เพื่อภพชาติต่อไปเราจะได้ไม่ต้องรับรู้ความทุกข์ของใครต่อใครอีก พึงทราบว่า คนที่ทำให้เราทุกข์ใจที่สุด คือคนที่เรารักที่สุด คือผู้อยู่ใกล้เราที่สุด
บางครั้ง ศัตรูยอมอธิษฐานจิตแห่งความพยาบาท ให้มาเกิดเป็นลูกของเรา เป็นหลานของเรา เป็นญาติของเรา เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเราก็มี เพื่อเขาจะได้ทำลายน้ำใจ ชื่อเสียง วงศ์สกุลของเราให้ถึงที่สุด นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้อโหสิกรรมต่อเขา หรือไม่ได้แสดงอภัยทานต่อเขาจากชาติที่แล้วนั่นเอง
ฉะนั้น ทุกครั้งที่เราเห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับชีวิตใครหรือแม้แต่เกิดกับเราเอง และเราเองไม่สามารถจะวิเคราะห์ได้ด้วยปัญญาธรรมดา ขอให้ลองมองผ่านกฎเกณฑ์แห่งกรรมดูบ้าง ก็จะช่วยให้จิตใจของเราโปร่งเบาขึ้นมาได้
การคิดถึงกฎแห่งกรรม หาใช่การคิดแบบทอดธุระ หรือโยนบาป โดยไม่คิดจะแก้ปัญหาไม่ การคิดเรื่องกฎแห่งกรรม เป็นหลักการสัญข้อหนึ่งในการแก้ปัญหาทางใจตามหลักพระพุทธศาสนา หลักธรรม เป็นกฎเกณฑ์ที่ให้ผลได้แยบยลทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ตก ที่สลัดไม่ออก ที่ไม่มีทางจะหลบลี้หนีได้ เป็นสิ่งที่เราต้องแบกรับด้วยชีวิต เราต้องพิจารณาความจริงย้อนหลัง และยอมรับเหตุการณ์นั้นให้ได้
สิ่งหนึ่งที่ควรคิดคือ เรื่องผลกรรมที่เกิดขึ้นจากกรรมในอดีตที่เราไม่ได้ทำให้เป็น “อโหสิกรรม” คือไม่ยอมให้อภัยในภพชาติที่แล้ว และวันนี้สิ่งที่เกิดกับเรา จึงเป็นสิ่งสมควร สมเหตุสมผล
วิธีแก้คือ เราต้องยอมรับความจริงของสิ่งที่เกิดกับตัวเรานั้นให้ได้ หากคิดได้เช่นี้ ก็จะทำให้จิตใจเราเยือกเย็นและอ่อนโยนลงได้
ความทุกข์ส่วนใหญ่ มักเกิดจากการไม่ยอมรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความทุกข์ของมนุษย์ส่วนมาก มักเกิดจากต้องการเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนไม่ได้ หรือไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง แต่กลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น
ถามว่าการให้อภัยในความผิดพลาดของคนๆ หนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำยากหรือง่าย คำตอบคือ ทำง่าย หากเราฝึกหัดทำเป็นประจำ
ขอให้เราฝึกเสมอๆ ว่า ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรกับเรา ขอให้เราฝึกให้อภัยทุกวัน ทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ ขอให้เราทำทุกครั้ง ทำทุกวินาที ทำเหมือนกรวดน้ำหลังทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่
เมื่อเราสร้าง “อภัยทาน” ให้เป็นลักษณะนิสัยตลอดเวลาได้แล้ว เราจะรู้สึกว่า การให้อภัยแก่ใครนั้น เป็นเรื่องง่ายดาย เป็นเรื่องธรรมดาๆ คือทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจทำ
ขอให้เราทราบไว้ว่า เมื่อเราหัดสร้าง “อภัยทาน” เป็นปกติแล้ว เศษกรรมต่างๆ แทนที่จะติดตามเราไปข้ามภพข้ามชาติ ก็จะถูกสลัดออก คือตามไปไม่ได้ เพราะมิได้เป็นกรรมอีกต่อไป หากแต่เป็นแต่เพียงกิริยาที่แสดงออก เพราะเราให้อภัยเสียแล้ว
เมื่อเราให้อภัยเสียแล้ว ใครๆ ที่ผูกอาฆาตพยาบาทเราไว้ แรงพยาบาทของเขา ก็จะหมดโอกาสติดตามเรา เพราะกรรมนั้นหมดแรงส่ง เนื่องจากเราได้ “อโหสิ” เสียแล้ว
จึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย มาฝึกปฏิบัติ “อภัยทาน” และ “อโหสิกรรม” ตั้งแต่บัดนี้กันเถิด เพื่อยุติสนิมในใจ คือความอาฆาตพยาบาท เพื่อยุติแรงส่งของกรรมที่ตามไปเผล็ดผลอันเผ็ดร้อนข้ามภพข้ามชาติ
พึงหลับตาให้ใจสงบครู่หนึ่งก่อน แล้วตั้งใจกล่าวคำแผ่เมตตาเบาๆ ดังนี้
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
อเวรา โหนตุ จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย
อัพยาปัชฌา โหรตุ จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียน
ซึ่งกันและกันเลย
อนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ จงเป็นผู้มีสุข รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น
เทอญฯ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
5
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-5-7 11:50
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตายไม่มี
“สัตว์ทุกชนิดกลัวตาย เพราะคิดว่าความตายเป็นภัยร้ายแรงของชีวิต ผวาว่าความตายใครๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เกิดความสิ้นหวังท้อแท้ว่าความตายไม่อาจรักษาด้วยการเยียวยาใดๆ แต่ความจริงแล้วความตายนี้แลคือทิพยโอสถชนิดเลิศ ที่ธรรมชาติใช้รักษาโรคร้ายทุกชนิดของธาตุขันธ์ ความตายจึงมิใช่สิ่งที่น่ากลัวเพราะความตายเป็นทิพยโอสถของชีวิต”
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณามรณสติเพื่อบรรเทาความมัวเมาในชีวิต ในเวลา ในความประมาท ก็เพราะต้องการให้คนมีสติตื่นตัว ให้รู้ว่า ความตายอยู่แค่ปลายจมูกเท่านั้น เรารู้วันเวลาเกิดได้ แต่เวลาตายเราไม่รู้ และไม่มีทางจะรู้ด้วยหากไม่เจริญมรณสติเป็นประจำ
การเจริญมรณสติ คือนึกถึงความตายบ่อยๆ อย่างนี้ จะสอนใจให้กล้าเผชิญความจริงได้ไม่ยาก
เมื่อพิจารณาความจริงอีกขั้นหนึ่ง เหนือจากสมมติสัจจะคือ พิจารณาให้เห็นความจริงตามหลักธรรมชาติ มองทุกอย่างให้เห็นเป็น อนัตตา ปราศจากตัวตนที่ควรเข้าไปยึดมั่น อย่างที่ตรัสแสดงใน อนัตตลักขณสูตร เราก็จะเข้าใจได้ว่า ความตายไม่มี และไม่มีอะไรตาย สิ่งที่เราเรียกว่าตายเป็นแต่เพียงการปรับตัว และเปลี่ยนสภาพของธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ กับวิญญาณของธาตุเท่านั้น
ตามธรรมดาของร่างกายเป็นทุกข์และอยู่ได้ยาก ต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา เราเห็นกันทุกคน แต่มีน้อยที่ใส่ใจ
ขอให้พิจารณาง่ายๆ ดังนี้ จากเล็กสุดในท้องแม่ เลือดก้อนหนึ่งค่อยเจริญเติบโตมาเป็นตัวคน เมื่อโตมากก็จำต้องออกมาอยู่นอกท้องแม่ มิฉะนั้นจะเกิดปัญหา เราสมมติเรียกว่า “เกิด” แท้จริงการเกิดก็คือวิธีเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ทนได้ยากอย่างหนึ่งของธรรมชาตินั่นเอง จากนั้นก็เป็นก้อนเลือดมีชีวิต นอนแบเบาะ หัดกิน หัดพูด หัดคลาน หัดรับสัมผัสจากโลกใบใหญ่นอกครรภ์แม่ การพึ่งตัวเองมีมากขึ้นตามลำดับ
เขาต้องกินเอง ดื่มเอง หัดเดินเอง และการที่ได้คิดเอง ทำเองนี่แล เป็นความปรารถนาสุดยอดของชีวิต
ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ได้รับอิสรภาพตามลำดับ เป็นอิสระทั้งกายและใจตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องวิมุติ ความหลุดพ้น แท้จริงแล้วก็คืออิสรภาพนั่นเอง เพราะหลุดพ้นจากบ่วงจึงเป็นอิสระแล้ว อะไรคือบ่วงคล้องชีวิต
ต่อมาเมื่อโตขึ้นอีกหน่อย เขาก็หัดเดินเอง วิ่งเอง วินาทีแรกที่เขาเกินเองได้โดยที่ไม่มีคุณแม่คอยประคอง เป็นวินาทีแห่งความสุข เมื่อเขายืนด้วยลำแข้งของตนเองได้เป็นอิสระไม่เป็นภาระของใคร เป็นตัวของตัวเองแล้ว ความภูมิใจจะเกิดขึ้นทันที
เขาจะรู้สึกมั่นใจในชีวิต แต่ก็มั่นใจเพราะมีคุณพ่อคุณแม่ยืนเคียงข้าง เพราะภายในจิตลึกๆ ก็ยังต้องการที่พึ่งอยู่ ใจยังต้องมีที่พักพิงที่มั่นคง นั่นคือที่พึ่งอันอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่
วัยเด็กนี้เอง เป็นวันที่หนูน้อยต้องได้รับการอบรมบ่มเพาะปลูกฝังจริต นิสัย ใจคอ เรียนรู้ดีชั่ว ควรมิควร เรียนรู้ ถูกกับผิด จากคุณพ่อคุณแม่ ก่อนที่จะออกไปสู่โลกกว้าง ทางไกล
การเรียนรู้ถูกกับผิดนั้น เรียนได้จากทุกสถานที่ เพราะเป็นขาวกับดำชัดเจน และมีกฎเกณฑ์ตายตัว ส่วนการจะรู้ว่าอะไร ควรไม่ควร นั้นยาก ต้องใช้ใจต่อใจ ใช้จิตสำนึกแทนตัวอักษร ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นจะให้เราได้ดีกว่าใครๆ ในข้อนี้
บางครั้งสิ่งที่ว่าถูกต้องนั่นเองกลับเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่ควรพูด ไม่ควรคิด เรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ คนที่จะกล้าบอกเรา ก็มีแต่คนที่รักเราจริงๆ เท่านั้น แล้วใครเล่าจะรักเราบริสุทธิ์ มีความเมตตาอาทร และอ่อนโยนเท่ากับพ่อแม่
โตมาหน่อย เราก็ต้องเรียนรู้โลกกว้าง มีการศึกษา มีงานทำ มีครอบครัว แล้วชีวิตใหม่ต้วน้อยก็ถือกำเนิดมาดูโลกกับเราอีก เจ้าหนูน้อยก็เป็นอย่างที่เราเคยเป็น เขาเริ่มต้นชีวิตอย่างที่เราเคยเริ่มต้นมา วันผ่านไป วัยก็ตามมา แต่สิ่งที่ผ่านมามิใช่เพียงกาลเวลาที่ผ่านไป ทุกอย่างได้จารึกปรัชญาชีวิตเอาไว้ให้เราได้รำลึกถึงทุกเหตุการณ์ณ์เสมอ แม้ความจำจะลืมบางอย่างไปแต่ใจยังจดจำ
ขณะที่ลูกเจริญไปข้างหน้า ความชราตามหาเรา วัยเราเจริญลง วัยลูกเจริญขึ้น ก็มาถึงช่วงวัยแก่เฒ่า เราอาจคิดว่าตัวเองแก่ เพราะเห็นหน้าตาเหี่ยวย่น ผมหงอก ฟันหลุด เจ็บปวด ป่วยไข้ไม่สบาย เรี่ยวแรงหมด นั่งโอย แม้นอนก็ยังโอย เราคิดว่านี่คือวัยชรา
ความเป็นจริงเราชรามาตั้งแต่เกิด ชรามาเยือนเราตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ แต่เราไม่คิดกันเท่านั้นเอง
คำว่า “วัย” ที่เราพูดว่าเจริญวัย แท้จริงก็คือเจริญความเสื่อมเพราะคำว่า “วัย” แปลว่า “เสื่อมสินไป” เราแก่ตั้งแต่เกิด เรามิได้แก่เฉพาะวันนี้เท่านั้น
และแล้วก็มาถึงบั้นปลายของชีวิต เราเรียกว่า “ตาย” ความจริงตายไม่มี ตายเป็นเพียงคำสมมติเรียกชื่อ “ทิพยโอสถ” ที่สามารถรักษาโรคร้ายทุกชนิด
ที่เราสมมติเรียกว่าตายนั้น เป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ปรับความสมดุลเท่านั้นเอง
ความสมดุลของธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ คือการดำรงอยู่อย่างเป็นสุขของชีวิต ถ้าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ขาดความสมดุล ชีวิตก็เป็นทุกข์เพราะความเจ็บ ก็คือความไม่สมดุลของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ ๕
เมื่อเจ็บมาก ก็แสดงว่า ธาตุตัวใดตัวหนึ่งทำงานบกพร่อง เช่น อาหารไม่ย่อยเราก็เป็นทุกข์ แสดงว่าธาตุไฟไม่ทำงาน ธาตุดินมีปัญหา ระบบเลือดแย่ แสดงว่าธาตุน้ำเดินไม่สะดวก เป็นต้น
เมื่อธาตุทั้ง ๔ ทำงานไม่ได้ หรือทำงานไม่คล่องตัว ตัวชีวิตก็รวนเร ทรงตัวอยู่ไม่ได้ ก็จำเป็นต้องปรับสภาพเพื่อให้อยู่ได้ วิธีปรับสภาพอาจจะด้วยวิธีใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย มีเยียวยา หรือผ่าตัด สุดแท้แต่ความเหมาะสม
ในโลกแห่งเทคโนโลยี มนุษย์เราช่างอาจหาญพากเพียรต่อสู้เอาชนะความตายด้วยวิธีการต่างๆ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ เพราะเป็นการพยายามที่ฝืนระบบธรรมชาติ หากไม่ฝืนธรรมชาติ วินาทีธาตุขันธ์แยกจากกัน ก็จะเป็นความสงบสุขมากกว่านี้ เพราะไม่ได้ถูกบีบบังคับ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
6
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-5-7 11:52
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความจริง
คนเราเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ควรจะปล่อยให้ธรรมชาติเยียวยาดีกว่า มิใช่ยอมให้เทคโนโลยีมาก้าวก่ายจนเกินไป ชีวิตมาจากธรรมชาติ ก็จำเป็นต้องใช้ธรรมชาติเยียวยา มิใช่เทคโนโลยีจนนาทีสุดท้าย
ธรรมชาติคือหมอที่ดีที่สุดของชีวิต เมื่อธาตุ ๔ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเองขั้นสุดท้าย ขอยืนยันว่า มิใช่เทคโนโลยี มิใช่เครื่องมือทางวัตถุ ต้องเป็นธรรมชาติ มนุษย์เราควรปล่อยให้ตัวชีวิตเป็นอิสระก่อนสิ้นลมจะดีกว่า เพื่อให้ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ปรับสภาพเข้าหากันให้ลงตัว ให้จบลงอย่างเป็นสุข
ธรรมชาติไม่เคยทำลายใคร ไม่เคนก่อทุกข์ให้ใคร การฝึกต่างหากที่เป็นการก่อทุกข์ ขอให้มั่นใจในระบบการทำงานของธรรมชาติเพราะตัวตนของเรามาจากธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น ความตายไม่มี มีแต่เพียงการปรับเปลี่ยนสภาวะของธาตุขันธ์เท่านั้น เหมือนกับตะวันออกตะวันตกไม่มี มีเพียงการเคลื่อนไหว หมุนตัว (วัฏฏะ) ของลูกโลก เมื่อมองจากจุดที่อยู่เหนือโลก (โลกุตระ) หรือนอกโลกเรา คือมองจากความเป็นจริงมิใช่มองจากสิ่งที่เราเห็นด้วยตา เช่น มุมมองจากยานอวกาศ เราก็จะเห็นเพียงลูกโลกดวงกลมๆ ไม่มีที่ใดบอกว่าตะวันออกด้านนี้ตะวันตกด้านโน้น ทุกอย่างเป็นวงโคจรการทำงานตามธรรมชาติในระบบสุริยจักรวาล
เมื่อมองจากสภาวะที่เป็นจริงของชีวิตในมุมที่เป็นจริง เกิดแก่เจ็บตายก็เป็นการทำงานตามระบบธรรมชาติเท่านั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงเป็นเพียงวงจรการเดินทาง (สังสารวัฏ) ของชีวิต เหมือนเราเห็นพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็เดินทางไปสู่การอัสดง นั่นเป็นการมองตามที่ตาเห็นเท่านั้น
เมื่อเราไม่เห็นดวงอาทิตย์ เราคิดว่าอาทิตย์ตกดิน แต่ความจริงมิใช่ดวงอาทิตย์ตกดิน และก็มิใช่ว่าไม่มีดวงอาทิตย์ วินาทีที่หายไปจากสายตาเรานั่นเอง ดวงอาทิตย์ก็ไปปรากฏแก่สายตาของคนอีกผากหนึ่งของมุมโลก
อีกมิติหนึ่งของชีวิตก็เช่นกัน เมื่อธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ แยกกันตามธรรมชาติเราร้องไห้เสียใจ เพราะมองว่าเป็นการตาย มองเห็นเหมือนอาทิตย์อัสดง แต่อาจจะมีมิติหนึ่งที่กำลังหัวเราะดีใจรับชีวิตใหม่เหมือนกับคนอีกฟากหนึ่งกำลังรอให้พระอาทิตย์อุทัยแสงในมุมของตน
นี่คือสิ่งที่พิจารณาตามความจริง ทั้งระบบสุริยจักรวาลและระบบของชีวิต ซึ่งชีวิตเองเป็นเพียงเศษธุลีของ สุริยจักรวาลเท่านั้น
มนุษย์เกิดมาสู่โลก นึกว่าโลกนี้เป็นของเรา เราเป็นเจ้าของจึงยึดยื้อฉุดแย่งแบ่งปันกันเป็นเจ้าของ ความยึดมั่นครอบครองจึงเกิดขึ้น เพราะมนุษย์ยึดติด กำโลกไว้แน่นนี่เอง เขาจึงเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เนื่องจากไม่เคยสมหวังในสิ่งใดจริงๆ พอกำสิ่งนี้ไว้ได้ อย่างอื่นก็หลุดมือ ต้องคว้าหาใหม่ตลอดเวลา เมื่อได้มาก็ดูเหมือนดีใจ แต่พอเสียไปก็เป็นทุกข์
ความจริงแล้ว ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ที่เข้าไปยึดถือแล้วไม่ทำให้เราเจ็บตัว แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม
ท่านจึงสอนให้อยู่ในโลกนี้อย่างบางเบา สัมผัสสมบัติของโลกแต่เพียงแผ่วเบา อย่าหอบหิ้ว แบกหาม กอดกำ เหนี่ยวรั้ง คือ เมื่อทำชีวิตบนโลกให้บางเบา แล้วเราจะพอหาความสุขในชีวิตได้บ้าง แต่ถ้าพิจารณาความจริงของชีวิตและของโลก ต้องให้หนักแน่น ทำแผ่วเบาไม่ได้
แปลว่า ถึงจุดหนึ่ง ต้องไม่คิดแบกหามยึดมั่นมาก เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ แม้สิ่งที่เรามีกรรมสิทธิ์วันนี้ สุดท้ายก็มิใช่ของเรา สิ่งที่เรารักที่สุดก็ไม่อาจอยู่กับเราได้ เพราะสุดท้ายปลายทางเราต้องจากสิ่งนั้นไป ทิ้งทุกอย่างไว้ให้คนข้างหลังดูแล
ชีวิตเป็นของน้อยอย่างนี้
มีเรื่องเล่าว่า เหล่าเทพบุตรเทพธิดากำลังเก็บดอกไม้บนสรวงสวรรค์ เทพธิดาตนหนึ่งลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลดี มีสามี มีลูก มีทรัพย์สมบัติมาก ทำบุญทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิปัญญาในพระพุทธศาสนา ทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินมาก เมื่ออายุได้ ๙๐ กว่า ก็สิ้นอายุ เธอไปเกิดเป็นเทพธิดาอีกครั้ง หัวหน้าเทพเมื่อเห็นเธอจึงถามว่า เมื่อเช้านี้เธอหายไปไหน
เธอก็เล่าให้ฟังว่า เธอไปเกิดในมนุษย์โลก มีครอบครัวแสวงหาสมบัติ เกลือกกลั้ว เกลื่อนกล่นอยู่กับการมี การเป็น มีสามี มีลูก มีเกียรติ มียศ มีเพื่อนฝูง มีบริวาร เลี้ยงลูกจนเติบโต มีหลาน มีเหลนไม่น้อย และเธอก็มีอายุยืนถึง ๙๐ ปี ด้วยอานิสงส์บุญเมื่อตายลงจึงมาเกิดที่นี่อีก
เทพบุตรฟังแล้วถึงกับตะลึงว่า ชีวิต ๙๐ ปีในโลกมนุษย์นั้นเป็นเพียงชั่วเวลาเช้าถึงเที่ยงของเทวโลกเท่านั้นหรือ
บางท่านอาจไม่เข้าใจ แต่เมื่อมองดูภพภูมิต่างมิติระหว่างมนุษย์เรากับสัตว์เดรัจฉานก็น่าจะเห็นได้ชัด สัตว์บางตัวมีอายุเพียง ๗ วัน ๑๕ วัน ๑ เดือน เขาก็เต็มที่แล้ว ขณะที่เรามีอายุขัย ๘๐ หรื ๙๐ ปี หรือสัตว์เดรัจฉานบางชนิดก็มีอายุมากกว่าเราหลายเท่า เช่น เต่า ช้าง เป็นต้น
การเรียนรู้ชีวิต ต้องมองให้เห็นความจริงทั้งในภพกว้างและมุมแคบ เพื่อคลายความติดยึดอันรุนแรง ที่ท่านเรียกว่า "อุปทาน” ตัวติดยึดนี่เอง คือจุดกำเนิดแห่งทุกข์ทั้งปวง
เราอยู่ในโลกยุคเทคโนโลยี โลกทั้งโลกอยู่ในกำมือเราก็จริงแต่ไม่อาจกำทุกสิ่งไว้ในอำนาจ ทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
การมองชีวิตตามหลักสัจธรรม ตามธรรมชาติ แก้ทุกข์ได้ยิ่งคราที่ใจได้ทุกข์ถึงที่สุดเราต้องกล้าหาญ มองให้เห็นความจริง กล้าเผชิญรากแก้วความจริงอันประเสริฐ (อริยสัจ) นี้ให้ได้ เพราะความจริงทำให้คนฉุกคิดได้ ความจริงตามธรรมชาติไม่เคยทำร้ายใคร หรือทำลายใคร ท่านจึงบอกว่าประเสริฐ สิ่งที่ทำให้คนลุ่มหลงต่างหากที่ประทุษร้ายคน
ความตายไม่มี มีเพียงการปรับสภาพของธาตุขันธ์
เมื่อปรับเปลี่ยนได้ที่ ซ่อมแซมจุดบกพร่องได้แล้ว ก็มารวมตัวกันใหม่ เราก็สมมติว่า “เกิด” เมื่อเกิดแล้วโต แก่เฒ่า และทำงานหนัก เมื่อชำรุดทรุดโทรมก็จำเป็นต้องซ่อม หากซ่อมไม่ไหวก็แยกส่วน ซึ่งเราสมมติเรียกว่า “ตาย"” และก็วนเวียนกันอยู่เช่นนี้ เกิด-ตาย เกิด-ตาย เป็นวังวนแห่งสังสารวัฏ ชีวิตมีเท่านี้จริงๆ
“ความตายไม่มี มีแต่การปรับเปลี่ยนเพื่อความสมดุลของธรรมชาติเท่านั้น”
คำนี้สำคัญ ที่เราควรใคร่ครวญพิจารณาทุกเช้า หลังตื่นนอน ก่อนออกจากบ้าน แม้ในที่ทำงาน
ขณะที่ย่ำเท้าเปล่าลงบนยอดหญ้า ก่อนจะลงมือทำอะไรทั้งหมดในวันนั้น ให้พิจารณาความจริงตรงนี้ก่อน ให้รุ่งอรุณของแต่ละวันเป็นรุ่งอรุณที่สดใส เป็นรุ่งอรุณที่งดงามกับชิต
ขณะที่พระอาทิตย์ทอแสงส่องโลก ปัญญาต้องทอแสงส่องใจ
การปรับเปลี่ยนชีวิตต้องการวิถีธรรมชาติ มิใช่เทคโนโลยี หมอที่ดีที่สุดที่จะปรับความสมดุลของธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ คือธรรมชาติ
การเข้าใจระบบการทำงานของธรรมชาติ ต้องเท้าเปล่าสัมผัสดิน ต้องทำใจให้อยู่เหนืออารมณ์ มองโลกตามความเป็นจริง เมื่อเข้าใจธรรมชาติ ก็จะเข้าใจสัจธรรม และการกล้าเผชิญความจริงของชีวิตเท่านั้น ที่จะช่วยรักษาเยียวยาคราวที่ทุกข์สัมผัสใจ
โอกาสตรงนี้ ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะหรือฐานะใด เพียงแต่ใครจะเริ่มต้นเรียนรู้ก่อนใครเท่านั้นเอง
........................................................................................................................................
ขอขอบคุณที่มาบทความ : หนังสือ อภัยทาน รักบริสุทธิ์ โดย ปิยโสภณ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
7
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-5-7 11:53
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-5-7 11:55
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
8
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-5-7 11:55
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Sornpraram
Sornpraram
ออฟไลน์
เครดิต
36164
9
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2013-5-7 11:56
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
sritoy
sritoy
ออฟไลน์
เครดิต
3631
10
#
โพสต์ 2013-5-8 16:20
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอบคุณครับ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
หน้าถัดไป »
1
2
/ 2 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...