พระเขมาภิกษุณี เอตทัคคมหาเถรีเลิศทางปัญญา คัดลอกจากสารานุกรม พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
ทำไมต้องมีผู้หญิงนอนอยู่กับพัดใบตาล เรื่องมันเกิดจาก พระนางเขมา (มเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร) เป็นผู้หญิงที่มีรูปโฉมงดงามเป็นผู้มัวเมาในรูปโฉมของตนเอง พระนางได้ยินเรื่องราวของพระพุทธเจ้าว่ามักจะกล่าวโทษของร่างกาย ว่าเป็นของไม่งามไม่เที่ยงอย่ายึดมั่นถือมั่น จึงไม่กล้าที่จะเข้าเฝ้า วันหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสารอยากให้พระนางได้เข้าเฝ้า จึงหาวิธีให้นางไปโดยสั่งให้คน ไปร้องเพลงที่บอกถึงวัดพระเวฬุวัน(ที่ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่) ว่างามอย่างไรให้นางได้ยิน จนนางอยากจะไป เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าพระนางกำลังมา จึงได้ทรงเนรมิตรนางฟ้าถือก้านใบตาลพัดให้พระพุทธเจ้า เมื่อนางเขมาเห็นจึงคิดในใจว่าสตรีท่านนี้ช่างงามเหลือเกิน นางจึงยืนมองอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงเนมิตรให้นางฟ้าค่อยๆแก่และตายไปต่อหน้าพระนางเขมา แล้วตรัสแสดงธรรมแก่พระนางเขมา จนบรรลุเป็นพระอรหันต์
พระเขมาภิกษุณีบังเกิดในราชสกุล ตระกูลกษัตริย์ พระบิดา พระนามว่า พระเจ้ามัททราช กรุงสาคละ แคว้นมัททะ มีพระนาม ว่า พระนางเขมา ทรงมีพรรณะดั่งทอง มีพระฉวีเสมือนทอง พระนางเจริญวัยเป็นราชกุมารีแล้ว ก็ไปเป็นพระเทวีของพระเจ้าพิมพิสาร ครั้งเมื่อพระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันก็ยังเป็นผู้มัวเมาในพระรูปพระโฉม ทรงเกรงว่าพระศาสดาจะทรงแสดงโทษในรูป จึงไม่เสด็จไปเฝ้าพระศาสดา พระราชาโปรดสั่งให้ผู้คนทั้งหลายเที่ยวประกาศพรรณนาพระเวฬุวัน ทำให้พระเทวีทรงเกิดความคิดที่จะไปชมพระวิหาร เมื่อพระเทวีทรงดำริว่า จำเราจักชมพระวิหาร ก็ทรงสอบถามพระราชา
พระราชาตรัสว่า เธอไปพระวิหารไม่พบพระศาสดาก็อย่าได้กลับมา แล้วทรงให้สัญญาแก่พวกราชบุรุษว่า พวกท่านจงให้พระเทวีเฝ้าพระทศพล โดยพลการให้จงได้ พระเทวี เสด็จไปวิหาร เวลาล่วงไปครึ่งวัน ไม่ทรงพบพระศาสดาเริ่มเสด็จกลับ
ลำดับนั้น ราชบุรุษทั้งหลาย นำพระเทวีแม้ไม่ทรงปรารถนา เข้าไปเฝ้าพระศาสดาจนได้ พระศาสดาทรงเห็นพระเทวีนั้นกำลังเสด็จมา ทรงเนรมิตหญิงคล้ายนางเทพอัปสรด้วยฤทธิ์ ทำให้ถือพัดใบตาลถวายงานพัดอยู่ พระนางเขมาเทวีทรงเห็นหญิงนั้น ทรงดำริว่า
หญิงนี้มีส่วนเปรียบด้วยนางเทพอัปสร ยืนอยู่ไม่ห่างพระผู้มีพระภาคเจ้า เราไม่พอที่แม้แต่จะเป็นหญิงรับใช้ของหญิงเหล่านั้นได้เลย เราต้องเสียหายด้วยอำนาจจิตชั่ว เพราะเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ทรงถือเอานิมิตประทับยืนมองดูหญิงนั้นคนเดียว เมื่อพระนางกำลังทอดพระเนตรดูอยู่ หญิงนั่นก็ล่วงปฐมวัย มัชฌิมวัย ถึงปัจฉิมวัยแล้ว ฟันหัก ผมหงอก หนังเหี่ยว ล้มกลิ้งลงพร้อมกับพัดใบตาล ด้วยพระกำลังอธิษฐานของพระศาสดา
จากนั้น เพราะเหตุที่ทรงบำเพ็ญบารมีไว้ พระนางเขมาทอดพระเนตรเห็นเหตุนั้นแล้วทรงพระดำริว่า สรีระแม้อย่างนี้ ยังถึงความวิบัติเช่นนี้ สรีระของเราก็จักมีคติอย่างนี้เหมือนกัน ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบวาระจิตของพระนางแล้ว ก็ตรัสพระคาถาว่า..
ชนเหล่าใด กำหนัดอยู่ด้วยราคะ ย่อมตกไปสู่ กระแสตัณหา เหมือนแมลงมุมตกไปยังใยที่ตัวเองทำ ไว้ฉะนั้น ชนเหล่านั้นตัดกระแสตัณหานั้นเสียได้แล้ว เป็นผู้หมดอาลัยละกามสุขได้ ย่อมงดเว้นกิจคฤหัสถ์ [บวช] อยู่
|