หากจะกล่าวถึงบรรยากาศการนับถือพระพุทธศาสนาระหว่างทางเหนือและใต้นั้นช่างต่างกัน ทางใต้เน้นไปที่พระสูตรคัมภีร์ ตีความหลักธรรมคำสั่งสอนตามพื้นฐานของบัณฑิตชาวฮั่น ส่วนทางเหนือจะเน้นด้านวิปัสนากรรมฐาน เพื่อสั่งสมตบะฌาน ซึ่งไปด้วยดีกับแนวทางของพระโพธิธรรม เมื่อพระโพธิธรรมเดินทางถึงเขาซงซาน และได้ยินชาวบ้านระแวกนั้นกล่าวว่า ที่ภูเขาเส้าซื่อ มีอารามแห่งหนึ่งนามว่า เส้าหลิน ในอดีตมีภิกษุจากอินเดียมาจำพรรษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่นั่น พระโพธิธรรมจึงตัดสินใจเดินทางไปยังอารามเส้าหลิน เมื่อมาถึงท่านกลับไม่ได้เข้าวัด แต่เดินทางไปถึงถ้ำแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับวัด ในถ้ำพระโพธิธรรมหันหน้าเข้าผนังแล้วจึงนั่งทำสมาธิและใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำแห่งนั้นเป็นเวลายาวนานถึง 9 ปี เรื่องราวที่พระโพธิธรรมนั่งวิปัสนาในถ้ำนั้น กลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ภิกษุผู้ใฝ่ธรรมรูปหนึ่งนามว่า เสินก่วง ( 神光 ) เมื่อทราบข่าวจึงคิดปวารนาตนเป็นศิษย์เร่งรุดมายังเขาเส้าซื่อ เวลาผ่านไป 9 ปี ค.ศ. 536 ศักราชไท่เหอปีที่ 10 วันนั้นหิมะตกหนัก ภิกษุเสินกวงคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำตลอดทั้งคืน จนหิมะท่วมสูงถึงเอว ครั้นรุ่งเช้าพระโพธิธรรมตื่นจากการนั่งสมาธิ ก็ได้เดินออกมาจากถ้ำ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า "ท่านมาคุกเข่าตากหิมะอยู่ที่นี่ เพื่อประสงค์อันใด ? " ภิกษุเสินก่วง ตื้นตันจนน้ำตาไหลชึมออกมา แล้วตอบว่า "ข้าผู้น้อย....มาขอรับการถ่ายทอดวิถีธรรมขอรับ
ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาเปิด 'ประตูมรรคผล' ชี้ทางแห่ง 'พุทธะ' แก่ศิษย์ด้วยเถิด" พระโพธิธรรม ตอบว่า "พระพุทธองค์สละเวลามากมายทุ่มเทชีวิตในการฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผล แล้วตัวท่านอาศัยความตั้งใจเพียงเล็กน้อยมาขอรับธรรมอันยิ่งใหญ่ คงยากที่จะสมหวัง!" ขณะนั้น ภิกษุเสินก่วงได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร พระโพธิธรรมก็ย้อนถามอีกว่า "หิมะสีอะไร?" ภิกษุเสินก่วง "ขาวขอรับ" "ถ้าเช่นนั้น...ท่านจงรอไปจนถึงเวลาที่หิมะเป็นสีแดงเมื่อใด เมื่อนั้นแหละฉันจึงจะถ่ายทอดวิถีธรรมเพื่อความหลุดพ้นแก่ท่าน !" ทันใดนั้นเอง ภิกษุเสินกวงก็หันไปคว้ามีดตัดฟืนข้างกายยกขึ้นมาฟันแขนซ้ายตนเองจนขาดตกลงบนพื้น! พื้นหิมะที่ขาวโพลนได้กลายเป็นสีแดงฉาน จากนั้นท่านก็ใช้มือขวาหยิบแขนที่ขาด ยกขึ้นถวายบูชาพระโพธิธรรมประหนึ่งแทนความในใจทั้งหมด พระโพธิธรรมจึงกล่าวขึ้นว่า "เพื่อแสวงหาโมกขธรรม พระโพธิสัตว์ไม่ติดยึดในสังขาร และชีวิตของท่านผู้สละแขนเพื่อธรรมอันประเสริฐ นับว่าควรสรรเสริญ...นับว่าควรสรรเสริญ" ภิกษุเสินก่วงได้รับฉายาทางธรรมใหม่ว่า "ฮุ่ยเคอ" ( 慧可 ) ภายหลังจึงได้ดำรงตำแหน่งสังฆปรินายกองค์ที่ 2 แห่งนิกายฌาน ( ฉานในภาษาจีนกลาง เซ็นในภาษาญี่ปุ่น ) ในเวลาต่อมาเพื่อเป็นการรำลึกถึงภิกษุฮุ่ยเคอ จึงมีประเพณีการคำนับด้วยแขนขวาข้างเดียวขึ้น ในกลุ่มภิกษุนิกายฉาน
|