ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2419
ตอบกลับ: 9
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วัดแค สุพรรณบุรี

[คัดลอกลิงก์]
วัดแค









2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-28 20:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วัดแค
   เป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อปรากฏในวรรณคดี เรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” อยู่ในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ไปทางเหนือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุประมาณ 2 กิโลเมตร ภายในวัดนี้มีต้นมะขามใหญ่วัดโคนต้นโดยรอบได้ประมาณ 10 เมตร เชื่อกันว่าขุนแผนได้เรียนวิชาเสกใบมะขามจากต้นมะขามต้นนี้ ให้เป็นตัวต่อตัวแตนจากท่านอาจารย์คงไว้โจมตีข้าศึก นอกจากนี้ทางจังหวัดได้สร้างเรือนไทยทรงโบราณเรียกว่า “คุ้มขุนแผน” ไว้ใกล้กับต้นมะขามยักษ์นี้อีกด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประพาสวัดแคเมื่อ พ.ศ. 2447
   วัดนี้มีโบราณวัตถุที่น่าสนใจ ได้แก่ พระพุทธบาทสี่รอย ทำด้วยทองเหลือง กว้าง 1.40 เมตร ยาว 2.80 เมตร สร้างซ้อนกันไว้ในรอยใหญ่ นอกจากนี้ก็มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบศิลปะรัตนโกสินทร์ จีวรและอังสะเป็นดอกพิกุลงดงามมาก ประดิษฐานอยู่ในวิหารหน้าพระประธาน สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ก็มี เช่น ระฆังทองเหลือง หม้อต้ม กรักทองเหลือง ตู้ใส่หนังสือที่พระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเมื่อปี 2412


3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-28 20:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-28 20:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-28 20:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



บันทึกจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน

ในหนังสือ “ประวัติวัดแค” ม.๑ ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี พิมพ์ครั้งที่ ๕ เมื่อ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒
เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้น เมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๒๓ (พ.ศ.๒๔๔๗) เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จนกระทั่งถึงเมืองสุพรรณบุรี
วันที่ ๓ สิงหาคม เสด็จประพาสบ้านสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง
วันที่ ๔ สิงหาคม เวลาเช้า ออกเรือจากบางปลาม้า และเย็นวันนั้น "เสด็จไปประพาสเหนือน้ำประทับเสวยที่วัดแค"
พระองค์ทรงพระราชปรารภว่า ...... เสด็จเมืองสุพรรณคราวนี้เป็นที่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งด้วยไม่ถูกฤดูเหมาะ ในเวลานี้น้ำในแม่น้ำยังน้อย จะเที่ยวทางเรือก็ขัดข้อง ส่วนทางบกฝนก็ตก พอแผ่นดินเป็นหล่มเป็นโคลน จะไปไหนก็ยาก เพราะฉะนั้นจึงเสด็จประพาสได้ที่ใกล้ๆ ในบริเวณเมืองวันที่ ๔ นั้น (๔ สิงหาคม ร.ศ.๑๒๓) เสด็จประพาสเหนือน้ำประทับเสวยที่ วัดแค
วันที่ ๕ เสด็จทอดพระเนตรที่ว่าการเมือง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หลักเมือง และวัดป่าเลไลยก์ เวลาบ่าย ออกกระบวนล่องลงมาประพาสข้างใต้ ประทับเสวยเย็นที่วัดบางยี่หน
ขรัวตากัน ท่านมีตัวตนอยู่จริง เป็นเจ้าอาวาสวัดแคระหว่างปี พ.ศ.๒๔๓๙ – ๒๔๖๕ มรณภาพในร่มกาสาวพัตร ท่านมีชื่อว่า "กัน ทองมี" เป็นบุตรพ่อมีแม่ซับ เล่ากันว่าพ่อแม่อพยพมาจากกรุงเก่าอยุธยาของเรานี้เอง ซึ่งไม่ต่างกับชาวบ้านบริเวณนั้นนักที่ชักชวนกันมาจากที่เดียวกัน
บ่าย ๔ โมงเย็นของวันที่ ๔ สิงหาคม ร.ศ.๑๒๓ (พ.ศ.๒๔๔๗) มีชายกลุ่มหนึ่งจำนวน ๓ คน พายเรือเล็กมาจอดที่ท่าวัดแค แล้วชายทั้งสามขึ้นจากเรือมาที่ลานวัด เห็นลูกศิษย์วัดวิ่งเล่นอยู่ที่ลานวัดก็ถามว่า หนู กุฏิเจ้าอาวาสอยู่ไหน ท่านอยู่หรือไม่ เด็กลูกศิษย์ชี้มือบอกไปว่า อยู่กุฏินั้น และอาจารย์ก็อยู่ที่นั่นด้วย แล้วก็เล่นสนุกกันตามประสาเด็กต่อไป ชายกลุ่มนั้นเดินขึ้นไปบนกุฏิ เห็นขรัวตากันกำลังนั่งพิงหมอนอิงอย่างเอกเขนกสบายอารมณ์ แล้วชายกลุ่มนั้นนั่งยองๆ ลง ยกมือไหว้ ขรัวตากันจึงถามว่า "เป็นใครกัน มาจากที่ไหน มีธุระอะไรหรือ"
ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นดูจะอาวุโสกว่าเพื่อน ตอบว่า เราทั้งสามเป็นมหาดเล็กของพระพุทธเจ้าหลวง พระองค์กำหนดจะเสด็จมาประทับที่วัดแคเย็นวันนี้ ให้เขาทั้งสามมาบอกข่าวล่วงหน้า พอขรัวตากันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกดีใจ และตื่นเต้นเป็นอันมาก ต้อนรับขับสู้มหาดเล็กทั้งสามอย่างกุลีกุจอ รีบชงน้ำร้อนน้ำชาให้ แล้วเอ่ยปากถามว่าพระพุทธเจ้าหลวงจะเสด็จตอนเย็นจริงๆ หรือ มหาดเล็กคนนั้นตอบว่า "เสด็จแน่ๆ" ขรัวตากันกระตือรือร้น ในคำตอบของมหาดเล็กยิ่งนัก รีบสั่งให้พระเณรที่วัดเตรียมตัวไว้ให้พร้อม เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จมาจะได้สวดชะยันโต โดยไม่ให้เสียเวลา กำชับกำชาลูกศิษย์วัดไม่ให้เล่นเอะอะจุ้นจ้าน

ขรัวตากันเป็นพระที่ชอบคุย และคุยเก่งพอสมควร นั่งคุยอยู่กับมหาดเล็กกลุ่มนั้นอยู่เป็นนาน แต่ในใจห่วงกังวลว่า พระพุทธเจ้าหลวงจะเสด็จตอนไหนกันแน่ เพราะมหาดเล็กทั้งสามมาส่งข่าวให้ทราบแล้ว ชรอยมหาดเล็กผู้นั้นเห็นขรัวตากันชอบกินหมาก จึงหยิบหมากขึ้นมาคำหนึ่ง วางไว้ข้างๆ ขรัวตากัน โดยไม่ได้ถวาย แล้วทำทีเป็นเดินไปชมโน่นชมนี่บนกุฏิ แล้วเดินกลับมาที่ขรัวตากันนั่งอยู่ พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นว่า

"อ้าว! ท่านอาจารย์ หมากคำนั้นหายไปไหนเล่า ท่านฉันเสียแล้วใช่ไหม ผมไม่ได้ประเคนไม่เป็นอาบัติหรืออาจารย์"

"อ้อ! ไม่เป็นไร อยู่ในหัตถบาส (หมายถึง อยู่ใกล้หรืออยู่ในองค์ประเคน ใช้สำหรับพระสงฆ์) ฉันได้ ไม่เป็นไรหรอก"

แล้วขรัวตากันก็เคี้ยวหมากหยับๆ ต่อไป มหาดเล็กคนนั้นหัวเราะชอบใจ ที่ขรัวตากันมีปฏิภาณและไหวพริบดี ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั้น มหาดเล็กชี้มือไปยังที่ซึ่งหลวงตากัน จัดให้ในหลวงประทับว่า "นั่นที่อะไร ทำไว้สำหรับใครกัน ฉันขึ้นไปนั่งได้หรือไม่" ขรัวตากันรีบตอบสวนควันขึ้นมาทันทีว่า "อ๊ะ! อ๊ะ! ไม่ได้ ไม่ได้ นั่นจัดไว้สำหรับเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าหลวง คุณเป็นมหาดเล็กธรรมดาธรรมดา ขืนขึ้นไปนั่งเป็นขี้กลากแน่ๆ" ขรัวตากันตอบชนิดหน้าเฉยตาเฉย มหาดเล็กผู้นั้นหัวเราะ และชักนึกสนุก เมื่อคุยกับหลวงตากัน จึงถามว่า "อาจารย์ รู้จักพระพุทธเจ้าหลวงไหม" ขรัวตากัน หัวเราะเอิ๊กลงลำคอ ตอบอย่างยิ้มย่องผ่องใสว่า "พุทโธ่ ทำไมจะไม่รู้จัก เคยเห็นรูปในหลวงมาแยะต่อแยะแล้ว อย่าว่าแต่ใกล้ๆ เลย แม้แต่ไกลๆ ก็จำไม่พลาด"
ขณะที่ขรัวตากันพูดอยู่นั้น นึกเฉลียวใจขึ้นมาว่า เอ! มหาดเล็กคนนี้รูปร่างหน้าตาคล้ายๆ กับพระพุทธเจ้าหลวงเสียด้วย เอาไว้หนวดที่ริมฝีปากเหมือนกัน หรือว่าจะใช่ หรือไม่ใช่ ความคิดสับสน ถกเถียงกันอลวน ฮื้อ! คงไม่ใช่พระพุทธเจ้าหลวงหรอกน่า พระพุทธเจ้าหลวงท่านจะแต่งตัวธรรมดาอย่างนี้หรือ และชายคนนี้บอกว่า เขาเป็นมหาดเล็กหลวงของพระพุทธเจ้าหลวง จะเป็นพระพุทธเจ้าหลวงไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด อาจจะเป็นมหาดเล็กที่มีเค้าหน้าคล้ายกับพระพุทธเจ้าหลวงก็ได้ มหาดเล็กคนนั้นหัวเราะชอบใจขรัวตากันเป็นอย่างมาก จึงพูดขึ้นว่า "เอ! พระพุทธเจ้าหลวงทำไมจึงไม่เสด็จสักที ช้าจัง บางทีพระองค์อาจจะมีธุระหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เอ! ชักจะหิวข้าวเสียแล้วซิ นี่ก็แดดล่มลมตกโขแล้ว อาจารย์ขอยืมสถานที่ทำอาหารหน่อยได้ไหม" ขรัวตากันตอบว่า "ได้ ! ได้ ! ตามสบาย" แล้วลุกขึ้นเรียกเด็กลูกศิษย์วัดมาช่วยกัน

"เฮ้ย ! อ้ายติง อ้ายผาก อ้ายถม เอ็งไปบอกพวกๆ ของเอ็งมาช่วยกันหน่อย"
แล้วหันมาถามมหาดเล็กผู้นั้นว่า จะต้องการอะไรบ้าง ขอให้บอกอย่างไม่ต้องเกรงใจ
มหาดเล็กผู้นั้นบอกว่า อยากได้ตุ่มมังกรขนาดย่อม เอามาใส่น้ำและพริก เพื่อนำเอามาทำแกงเผ็ด แล้วขรัวตากันให้คนไปหามาจนครบตามความต้องการ

พวกเด็กๆ ลูกศิษย์วัด ต่างมาช่วยกันกุลีกุจอ ถังตักน้ำหายาก เด็กๆ จึงเอาบาตรไปตักน้ำ ตักกันไป เล่นกันไปเป็นที่สนุกสนาน ชั่วครู่น้ำก็เต็มตุ่มมังกร ขณะนั้นเองฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ไม่มีเค้าว่าฝนจะตก

"เอ! ในหลวงทำไมยังไม่เสด็จมาซักที ฝนก็ตกพรำๆ แล้ว ปกติในหลวงเสด็จไปไหน ฝนตกที่นั่น" ขรัวตากันกล่าวขึ้นลอยๆ รู้สึกว่าจะผิดหวัง

การหุงหาอาหารเสร็จเรียบร้อยจวนจะใกล้ค่ำ ทุกคนขึ้นไปรับประทานอาหารกันบนศาลาการเปรียญ เพราะกว้างขวางกว่าบนกุฏิ จนกระทั่งทั้งสามมหาดเล็กรับประทานอาหารเสร็จ ในหลวงก็ยังไม่เสด็จ ขรัวตากันออกจะเก้อ และผิดหวังมาก เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็มืดแล้ว ไหนเลยในหลวงจะเสด็จ แต่ในใจคิดว่าวันนี้ไม่เสด็จ อาจจะเสด็จพรุ่งนี้ก็เป็นได้น่า ทำให้ขรัวตากันยังไม่สิ้นหวังเสียเลยทีเดียว
การรับประทานอาหารของมหาดเล็กทั้งสามเสร็จเรียบร้อยแล้ว มหาดเล็กผู้อาวุโสกว่าเพื่อนเรียกตาเดช ซึ่งเป็นทายกวัดมาถามว่า ที่วัดแคมีพระภิกษุกี่รูป ตาเดชบอกว่า พระลูกวัด ๑๐ รูป ขรัวตากันอีก ๑ รูป เป็นสมภารเจ้าวัด รวมเป็น ๑๑ รูปด้วยกัน มหาดเล็กผู้นั้นถวายกัปปิยภัณฑ์ ให้ขรัวตากันเจ้าอาวาส ๓ ตำลึง พระลูกวัดรูปละ ๑ ตำลึง ซึ่งตาเดชก็รับไว้ พอใกล้ค่ำมหาดเล็กทั้งสามลาขรัวตากัน พายเรือเล็กเลี้ยวคุ้งน้ำหายไป หลวงตากันมองตามมหาดเล็กทั้งสามด้วยหัวใจลอย


เช้าวันถัดไป วันที่ ๕ สิงหาคม ร.ศ.๑๒๓ (พ.ศ.๒๔๔๗)

..............................

พอรุ่งเช้า มหาดเล็กทั้งสามคนเดินขึ้นมาบนวัดอีก ขณะนั้นขรัวตากันตื่นขึ้นมากำลังสวดมนต์อยู่ มหาดเล็กผู้อาวุโสเดินมายังกุฏิที่ขรัวตากันตะโกนขึ้นไปว่า "อาจารย์ อาจารย์ตื่นหรือยัง" ขรัวตากันรีบเปิดหน้าต่างกุฏิโผล่หน้าออกไปดู พอขรัวตากันโผล่ศีรษะออกไป มหาดเล็กผู้อาวุโสจึงพูดว่า "อาจารย์ ฟ้าลานะ" พร้อมกันนั้นยกมือทั้งสองขึ้นนมัสการลาขรัวตากัน ขรัวตากันพอได้ยินคำว่า "ฟ้าลาะนะ" เท่านั้น ทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น จะเป็นลมหน้ามืดเสียให้ได้ พลันขรัวตากันหวนนึกถึงเรื่องราววันวานตอนเย็น ค่อยๆ กระจ่างขึ้นมาในสมอง นึงชังน้ำหน้าตัวเองยิ่งนัก พุทโธ่เอ๋ย ! มีตาหามีแววไม่ ขรัวตากันคุมสติได้ในบัดดล เรียกร้องเด็กลูกศิษย์วัดเสียงหลงให้รัวระฆังเรียกพระไปที่ศาลาการเปรียญทันที แล้วขรัวตากันเองรีบครองจีวรเดินงุดๆ ไปบนศาลาการเปรียญโดยไม่พูดไม่จา จะพูดอะไรก็พูดไม่ออก เงอะๆ งะๆ ทำเพียงชี้มือชี้ไม้โบ๊เบ๊ไม่ได้เรื่อง พอดีพระภิกษุมาครบจึงสวดชะยันโตเพื่ออวยพรและส่งเสด็จ มหาดเล็ก คือ พระพุทธเจ้าหลวง นั่นเอง

ต่อมาอีก ๔-๕ เดือน มีพระราชสาส์นมาจากพระบรมมหาราชวัง

พอขรัวตากันได้รับพระราชสาส์นก็ไม่เป็นอันกินอันนอน หวาดผวากลัวไปต่างๆ นานา เพราะขรัวตากันไม่ค่อยจะรู้ขนบธรรมเนียมในพระราชวัง กลัวจะไปทำไม่ถูกพระราชอัธยาศัยก็จะได้รับคำตำหนิติเตียน แต่แล้วหลวงตากันก็ตัดสินใจ ฮึ! เป็นไงเป็นกันไม่ถึงกับตายหรอกน่า ดังนั้นพอใกล้จะถึงวันกำหนดเข้าพระบรมมหาราชวัง ขรัวตากันคัดเอาลูกศิษย์ก้นกุฏิติดตามไปด้วย ๒ คน การเดินทางสมัยโน้นยังไม่มีเรือกลไฟ ขรัวตากันจึงเอาเรือมาดมีประทุนแจวไป โดยมีลูกศิษย์แจวหัวแจวท้าย รอนแรมเรื่อยไป กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๔-๕ วัน เมื่อไปถึงพระบรมมหาราชวังแล้ว ก็ไม่มีอะไร พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมีพระราชประสงค์จะทรงสนทนาปราศรัยกับขรัวตากันเท่านั้น

แล้วพระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานเครื่องไทยทานมาหลายอย่าง อาทิ เช่น

. เรือเล็กขนาดยาว ๓ วา ๑ ลำ
. ขันทองเหลือง
. ผ้าไตร
. ผ้าสังฆาฏิ ปักอักษรย่อ "จปร."
. ปิ่นโต
. ตู้ใส่หนังสือ ด้านหน้า ด้านข้าง เป็นกระจก ด้านหลังทึบกระหนกเป็นลายดอกไม้ และประแจจีน เท้าสิงห์ศิลปคล้ายฝีมือจีน สูง ๙๗ ซม. กว้าง ๘๘ ซม. ลึก ๔๕ ซม. พร้อมด้วยหนังสือ

ตู้ใบนี้ยังคงรักษาอยู่ที่วัดแค
ส่วนไตร จีวร สังฆาฏิ ฯลฯ หมดสภาพไป

ขรัวตากันกับลูกศิษย์สองคนภูมิใจยิ่งนัก โยงเรือลำที่พระราชทานมากับเรือแจว ค่ำที่ไหนขรัวตากันก็เข้าพักวัดนั้น ขรัวตากันคุยฟุ้งว่า พระพุทธเจ้าหลวงโปรดให้เข้าไปฉันภัตตาหารในพระบรมมหาราชวัง แล้วพระราชทานสิ่งของต่างๆ มาหลายอย่าง ชวนเจ้าอาวาสวัดนั้นๆ ที่ขรัวตากันพักแรมไปดูของในเรือ เป็นการคุยโอ่อย่างไม่หยุดปาก เมื่อกลับมาถึงวัดแค ขรัวตากันคุยฟุ้งยิ่งขึ้น กว่าจะหยุดคุยก็อีกหลายวันทีเดียว

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/07/K4550674/K4550674.html


วัดนี้แหละ ที่ไปกราบขอบทสวดคาถาพระธรรมราชต่อหน้าหลวงปู่คง ตามที่อาจารย์เคยแนะนำ จากนั้นมา ก็สวดท่องแบบสบายใจ สนิทใจ เพราะถือว่าขอท่านแล้ว ตอนสวดให้ท่านฟังตรงหน้ารูปปั้นท่าน ขนลุกวูบวาบ เลยเออออเอาว่า ท่านรับรู้และอนุญาติแล้ว
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้