ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 5561
ตอบกลับ: 21
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ วัดประสิทธิธรรม ~

[คัดลอกลิงก์]

หลวงปู่พรหมเมตตาให้บันทึกภาพไว้เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖


ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ


วัดประสิทธิธรรม
ต.ดงเย็น อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี


จากหนังสือชีวประวัติของพระอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญ


คำนำ

หนังสือประวัติหลวงปู่นี้ เคยพิมพ์มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งจัดงานถวายเพลิงศพท่าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ และก็ได้แจกจ่ายในช่วงงานหมด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ผมได้มีโอกาสบวชในระหว่างพรรษา ได้จำพรรษาที่วัดประสิทธิธรรมอันเป็นวัดที่หลวงปู่ท่านสร้าง และได้อยู่จำพรรษาจนวาระสุดท้ายของท่าน และได้เห็นพุทธบริษัทที่ศรัทธาเลื่อมใสในองค์หลวงปู่ท่านทั้งไกลและใกล้ เดินทางมานมัสการเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของท่าน ทั้งที่เคยไปนมัสการเป็นประจำ และที่ไปใหม่เพราะทราบข่าวจากการได้ยินได้ฟังจากการบอกเล่าจากครูบาอาจารย์ที่เป็นพระเถระเคยเที่ยวธุดงค์ร่วมกับองค์ท่าน ในสมัยที่ท่านยังเที่ยวหาความวิเวกตามป่าเขา ตลอดจน ภิกษุสามเณรที่เคยไปศึกษาอบรมกับท่านพูดถึงปฏิปทาของท่าน และจากนิตยสารต่างๆ บ้าง เมื่อได้ไปนมัสการแล้วต่างก็เอ่ยปากขอหนังสือประวัติของท่านจากทางวัด ซึ่งทางวัดก็ไม่มีให้เพราะหมด

ฉะนั้น ผมจึงคิดว่าเมื่อมีโอกาสจะจัดพิมพ์หนังสือประวัติของปู่อีกครั้งเพื่อถวายไว้ให้ทางวัดได้แจกจ่ายแก่ผู้ยังไม่เคยได้รับ เนื่องในโอกาสที่ได้จัดทำผ้าป่าสามัคคี จึงได้ปรารภกับหมู่คณะว่าเราควรจะพิมพ์หนังสือประวัติหลวงปู่เพื่อเป็นอนุสรณ์ในโอกาสนี้บ้าง โดยอาศัยการคัดจากต้นฉบับเดิมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒

ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยอันเป็นอดิศัยบุญเขต จงมารวมกันเป็นบุญญฤทธิ์ ประสิทธิ์ผลบันดาลให้ดวงวิญญาณของหลวงปู่หยั่งทราบกุศลเจตนาในครั้งนี้ ได้โปรดคุ้มครองทุกคนทีมีส่วนร่วมในการพิมพ์ในครั้งนี้ ตลอดจนทุกท่านที่เคารพเลื่อมใสในองค์หลวงปู่ จงประสบสุขเกษมสานต์ ปราศจากภัยพาลพิบัติอุปัทวันตรายทั้งหลายทั้งปวงเทอญ

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ  


หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ เป็นศิษย์ผู้ได้เคยสดับฟังโอวาทและติดตาม ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ มารูปหนึ่ง ซึ่งท่านเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในธุดงควัตร และประกอบด้วยคุณสมบัติในสมณคุณเป็นอันมาก มีคณะศิษยานุศิษย์และผู้ใคร่ธรรมปฏิบัติเคารพนับถือในท่านเป็นจำนวนไม่น้อย มีชีวประวัติควรเป็นทิฏฐานุคติแก่พุทธศาสนิกชนได้รูปหนึ่ง ดังจะเล่าสืบต่อไปดังนี้

ชาติภูมิ

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ มีนามเดิมว่า พรหม สุภาพงษ์ ท่านได้ถือกำเนิดมาเป็นบุตรคนหัวปีของนายจันทร์ และนางวันดี สุภาพงษ์ เกิดเมื่อวันอังคาร พุทธศักราช ๒๔๓๑ ปีขาล ณ บ้านตาล ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร บิดาและมารดาของท่านเป็นชาวนาชาวไร่มาแต่ดั้งเดิมสมัยแต่บรรพบุรุษ ตระกูลนี้นับถือพระพุทธศาสนาเป็นชีวิตจิตใจมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ท่านมีน้องๆ ที่สืบสายใยสายเลือดทางโลกอีก ๓ คน มีชื่อโดยลำดับดังต่อไปนี้

๑. หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ
๒. นายพิมพา สุภาพงษ์
(ต่อมาได้ออกบวชเป็นบรรพชิตจนตลอดชีวิต)
๓. นางคำแสน สุภาพงษ์
๔. นางตื้อ สุภาพงษ์
(ต่อมาได้อุทิศชีวิตบวชเป็นชี เจริญอยู่ในธรรมตลอดชีวิตเช่นเดียวกัน)

นับตั้งแต่เยาว์วัย ท่านได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางท้องทุ่งนาป่าดง ท่านก็ได้แต่อาศัยความรู้ความเห็นของชีวิตขนบทเท่านั้นเป็นครูสอน โดยถือว่าเป็นประสบการณ์ในชีวิต ครั้นเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่ม ท่านก็ยังคงมีความสงสัย มีความครุ่นคริดอยู่ว่า “คนเราเกิดมาแล้วนี้ จะแสวงหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร อะไรคือความสุข ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน”


ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชีวิตในการครองเรือน

ตั้งแต่บรรลุนิติภาวะมา เคยได้กล่าวอยู่เสมอๆ ว่า ความสุขอยู่ที่ไหน โดยไม่มีครูบาอาจารย์มาแนะแนวความคิดให้เช่นนั้น เพียงแต่ครุ่นคิดอยู่คนเดียว เมื่ออายุย่างเข้า ๒๐ ปี มีความคิดในด้านนี้รุนแรงขึ้นว่า เมื่อมีครอบครัวแล้วก็จะมีความสุข เมื่อคิดตกลงดังนี้ จึงแจ้งความจำนงต่อบิดามารดา ตลอดถึงญาติผู้ใหญ่ในสกุลให้ทราบว่า อยากมีครอบครัวตามประเพณีของโลก เมื่อบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ได้ทราบแล้ว ก็มิได้มีความขัดข้อง จึงพร้อมกันจัดหาหญิงผู้มีสกุลสมควรให้เป็นศรีภรรยา ภรรยาคนแรกชื่อ พิมพา เป็นชาวบ้านดงเย็น

ท่านได้ย้ายภูมิลำเนาจากบ้านตาลไปอยู่ที่บ้านดงเย็นกับศรีภรรยา ตั้งหลักฐานอยู่ที่นั้นตลอดมา อยู่กินด้วยกันมามีบุตรได้ ๑ คน พอคลอดออกมา ภรรยาและลูกก็เสียชีวิตด้วยกัน ได้จัดการฌาปนกิจศพภรรยาและลูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่มาพอสมควร ความคิดที่ว่ามีครอบครัวแล้วจะให้เกิดความสุขนั้นเป็นอันล้มละลายหายสูญไปอีก ตรงกันข้ามเป็นการเพิ่มทุกข์ให้มีแก่ตนเป็นเท่าทวีคูณเสียอีก

ครั้นกาลต่อมา ความคิดที่ว่าความสุขอยู่ที่มีครอบครัวก็เกิดขึ้นอีก ท่านจึงได้มีครอบครัวกับนางกองแพงอีกเป็นครั้งที่ ๒ ได้ร่วมสุขทุกข์กันมาเป็นเวลา ๕ ปี ไม่มีลูก ต่อมาทางประชาชนและทางราชการเห็นดีเห็นชอบจึงแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑ บ้านดงเย็น เพราะหลักฐานการประพฤติและทรัพย์สมบัติพอเป็นที่พึ่งและตัวอย่างของประชาชนได้เป็นอย่างดี ท่านได้ปกครองประชาราษฏร์โดยหลักยุติธรรมเที่ยงตรง ไม่เป็นไปตามอำนาจอคติ ๔ ประการ คือ ฉันทา โทสา โมหา และภยาคติ ไม่เห็นแก่สินจ้างรางวัล และไม่เข้าคนผิด จึงเป็นที่เคารพนับถือยำเกรงของประชาชนในถิ่นนั้นมาก เป็นหัวหน้าผู้ปกครองที่ดีคนหนึ่ง

ในทางสร้างหลักฐานส่วนตัว ท่านเป็นคนหมั่นขยันต่อหน้าที่การงาน เก็บเล็กผสมน้อย มีที่ดินปลูกบ้านที่สวน ที่นาหลายแปลงและมีโคกระบือ โคเป็นร้อยๆ ตัว กระบือไม่ต่ำกว่า ๕๐ นับว่าฐานะพอกินพอใช้ในยุคนั้น นอกจากนั้น ท่านยังเป็นหัวหน้านำหมู่พ่อค้าโคกระบือไปจำหน่ายทางภาคกลาง และเป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน บรรทุกหนังสัตว์และของป่าไปจำหน่ายที่จังหวัดนครราชสีมา ขากลับก็บรรทุกของเทศไปขายทางบ้านจนปรากฏชื่อเสียงจากประชาชนขนานนามว่านายฮ้อยพรหม ผู้ที่เป็นนายฮ้อยนายแถว ในสมัยนั้นต้องเป็นคนมีทรัพย์ มีความดีมากกว่าคนอื่นๆ เสียงนี้มาจากประชาชน ไม่ได้ตั้งตัวเอง นับว่าเป็นเกียรติอันสูงส่งซึ่งใครๆ ก็กระหยิ่มอยากได้

ถึงจะได้ทรัพย์สมบัติบริบูรณ์และได้รับเกียรติจากประชาชนมากมายอย่างนั้นก็ตาม ความนึกคิดครั้งแรกๆ ที่ว่าเมื่อมีครอบครัวมีทรัพย์สมบัติบริบูรณ์แล้วความสุขก็จะเกิดมีขึ้นมาตามลำดับ แต่กลับตรงกันข้ามอีก มีแต่เจ้าทุกข์ล้อมหน้าล้อมหลัง ทำให้เกิดความหวาดกลัวต่อภัยอย่างนับไม่ถ้วนรอบด้าน เพราะทรัพย์สมบัติเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดความสมหวังและผิดหวังอยู่เสมอ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นธรรมดาเมื่อมีสมบัติ วิบัติก็ต้องตามมา ซึ่งเป็นวิสัยของโลกอย่างนี้ ผู้ไม่มีอุปนิสัย ในเมื่อได้ลาภได้ยศย่อมมัวเมาลุ่มหลงและเพลิดเพลินอยู่ หารู้ว่าความวิบัติเหล่านั้นจะมาถึงตนไม่

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สำหรับตัวท่านในขณะนั้น ถึงจะมีความรักความอาลัยในทรัพย์สมบัติเหล่านั้นอยู่ ก็ไม่มัวเมาถึงกับลืมตัวเอง ยังครุ่นคิดที่จะแสวงหาความสุขยิ่งขึ้นไปกว่านี้ ตอนนี้คล้ายกับดอกบัวที่พ้นน้ำรอคอยรับแสงจากพระอาทิตย์อยู่ก็พอดีได้กัลยาณมิตรคือ ท่านอาจารย์สาร มาจากจังหวัดอุบลราชธานี ท่านเคยเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ รูปหนึ่งเที่ยวแสวงหาวิเวก เผยแผ่พระธรรมคำสอนแก่ประชาชนมาเรื่อยๆ ผ่านเข้ามาถึงหมู่บ้านดงเย็นเท่านั้น ท่านผู้มีอุปนิสัยเบาบางผู้เป็นอุบาสก ได้ทราบข่าว ก็รีบจัดแจ้งแต่งเครื่องสักการะออกไปต้อนรับอาจารย์สาร ซึ่งท่านพักอยู่ที่วิเวกในป่าใกล้บ้านดงเย็นนั้น

พอไปถึงได้ถวายสักการะเคารพกราบไหว้ตามวิสัยของสัปบุรุษ ได้รับความเมตตากรุณาจากท่านเป็นอันดี เมื่อมีโอกาสก็เรียนถามท่านอาจารย์ในข้อที่ต้องสงสัยที่อัดอั้นมานาน ได้เล่าความจริงที่มีในใจของตนออกมาให้ท่านทราบทุกประการว่า แต่ก่อนกระผมเข้าใจว่ามีครอบครัวแล้วจะมีความสุข ครั้นพอมีครอบครัวแล้วค้นหาความสุขเช่นนั้นก็ไม่พบอีก กระผมจึงขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ความสุขนั้นอยู่ตรงที่ไหนกันแน่ กระผมทำอย่างไรจึงจะได้ประสบความสุขที่แท้จริงเช่นนั้นได้ในชีวิต ท่านอาจารย์สารให้โอวาทเป็นคำตอบที่ถูกต้องและจับขั้วหัวใจของอุบาสกว่า ถ้าอยากประสบความสุขที่ปรารถนาอยู่นั้น ต้องละอารมณ์คือรักใคร่พอใจในกามคุณ ๕ คือ ความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส อันเป็นเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในกองทุกข์เสียให้หมดสิ้นไปจากใจ ความสุขที่ปรารถนาอยู่นั้นก็จะฉายแสงออกมาให้ปรากฏเห็นตามสมควรแก่ความเพียรที่ได้ทุ่มเทลงไปในทางที่ถูกที่ชอบ

เมื่อท่านได้รับโอวาทแนะนำแนวทางการปฏิบัติจากพระอาจารย์สารเช่นนั้นแล้ว ก็มีความเบาใจ ประหนึ่งว่าความสุขที่ปรารถนาอยู่แล้วนั้นจะได้ประสบอยู่ในเร็วๆ นี้ แต่ท่านยังมีความดำริต่อไปอีกว่า ถ้าเรายังพัวพันเกี่ยวข้องอยู่กับครอบครัว ทรัพย์สมบัติ เรือกสวน ไร่นา มัวเมาอยู่ในความเป็นใหญ่ และในการค้าขายอยู่เช่นนี้ นับวันก็จะเหินห่างจากความสุขที่เราปรารถนาอยู่ตอนนี้ ท่านจึงตกลงปลงใจที่จะสละครอบครัวและทรัพย์สมบัติทั้งหมด เพื่อออกบวชในบวรพระพุทธศาสนา

ก่อนจะบวชท่านดำริต่อไปอีกว่า เราควรจะเอาเยี่ยงอย่างพระเวสสันดรตามที่เคยสดับมาว่า พระเวสสันดรนั้นท่านได้สละทานทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดถึงลูกเมีย เครือญาติ ออกบวช บำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณในเบื้องหน้า ในที่สุดพระองค์ก็ได้ตรัสรู้ความจริงคืออริยสัจธรรมทั้ง ๔ เป็นศาสดาครูสอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผลทั้งนี้ย่อมสำเร็จมาจากการเสียสละของพระองค์ เมื่อความตกลงใจจะออกบวชและสละสมบัติบรรดาที่มีอยู่เช่นนี้แล้ว ก็ได้นัดประชุมประชาชนในหมู่บ้านว่า ใครต้องการอะไรในวัตถุสมบัติที่มีอยู่ เช่น โค กระบือ เงินทอง และเครื่องใช้ต่างๆ ที่มีอยู่ให้มารับเอาไป

ในตอนนี้ ท่านได้มีศรัทธาอันแรงกล้า จัดตั้งกองบุญ ๒๐ กอง เพื่อจะบวชนาค ๒๐ นาค แต่เมื่อจะบวชจริงๆ ปรากฏว่าได้นาคเพียง ๑๒ นาคเท่านั้น จะเป็นเพราะเหตุผลกลใดไม่ทราบเค้าเงื่อนไขในเรื่องนี้ดีนัก ท่านได้สร้างวัดขึ้นหนึ่งวัด พร้อมกับทำรั้ววัดด้วยทุนทรัพย์ของท่านเป็นการเรียบร้อย ในการต่อมาที่ดินในวัดนั้น ได้กลายเป็นที่ดินที่ตั้งโรงเรียนประชาบาลบ้านดงเย็นปัจจุบันนี้ เรียกว่า โรงเรียนบ้านดงเย็นพรหมประชาสรรค์

ต่อจากนั้นท่านก็ได้สละทานวัตถุต่างๆ ตลอดจนข้าวเปลือกในยุ้งในฉางแก่คนยากจน หรือแก่บุคคลสมควรจะให้ ท่านสละอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายวัน ยังเหลือไว้แต่เรือนสองหลัง ในกาลต่อมา ท่านได้อนุญาตให้นางกองแพงซึ่งเป็นศรีภรรยาของท่านออกบวชเป็นนางชีก่อนเป็นเวลา ๑ ปี เรือน ๒ หลังที่ยังเหลืออยู่นั้น หลังที่หนึ่งไปปลูกเป็นกุฏิที่วัดป่าบ้านป่าเป้า หลังที่สอง ไปปลูกเป็นกุฏิที่วัดป่าผดุงธรรม บ้านดงเย็น ปัจจุบันนี้ การเสียสละทานที่ท่านได้บำเพ็ญในคราวครั้งนั้น ยากที่บุคคลจะทำได้เช่นนั้น เช่น ได้สละทรัพย์สร้างวัดสิ้นเงินไป ๑ ชั่ง ๒ ตำลึง ๒ บาท เงินชั่งในครั้งกระโน้น คิดเทียบในปัจจุบันนี้ก็เป็นจำนวนมากพอดู

เมื่อท่านได้สละสิ่งของหมดสิ้นแล้ว ความอาลัยใยดีในวัตถุสิ่งของก็เบาบางลง พอจะปลีกตัวออกบรรพชาอุปสมบทในทางพุทธศาสนาได้แล้ว ท่านก็อำลาวงศาคณาญาติ มิตรสหาย ลูกบ้านหลานเมือง ออกบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เมื่ออายุท่านได้ ๓๗ ปี ณ วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมีท่านเจ้าพระคุณพระธรรมเจดีย์ สมัยเป็นพระราชกวี เป็นพระอุปัชฌายะ และท่านพระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ส่วนน้องชาย น้องสาว และน้องเขย ก็ออกบวชด้วย เป็นผู้มั่นคงในศาสนาตลอดชีวิตทุกคน

มีข้อที่น่าคิดอยู่อย่าง คือตอนท่านบำเพ็ญทานไม่ให้ทานเครื่องดักสัตว์และเครื่องอุปกรณ์แก่การทำลายชีวิต เช่น แห อวน เบ็ด ตะกั่ว ซืน ดินประสิว และหิน ปากนก สิ่งเหล่านี้ขนทิ้งหมด โดยไม่ให้ใครรู้จักที่ทิ้งด้วย นับว่าท่านดำเนินตามแบบอย่างของบัณฑิตจริงๆ น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง ควรถือเป็นคติตัวอย่างได้เป็นอย่างดี
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่พรหมท่านเป็นแบบอย่างที่ดีงามแก่พวกเราพุทธบริษัททุกท่าน การกระทำเช่นนี้ทำให้ระลึกถึงธรรม ๔ ประการ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดังนี้

- มัจฉริยะ บุคคลที่มีความตระหนี่ไม่ทำบุญให้ทาน วิบากนั้นบันดาลให้เป็นคนยากจนขัดสนทรัพย์สมบัติทั้งปวง

- อเวยยาวัจจะ บุคคลที่มีความไม่ช่วย ไม่ขวนขวายในกิจที่ชอบ คือ ไม่ช่วยขวนขวายในการบุญกุศลของคนอื่น และไม่เที่ยวบอกบุญชักชวนคนอื่นในการบุญและกุศล วิบากนั้นบันดาลให้เป็นคนไร้ญาติขาดมิตร แต่หลวงปู่พรหมท่านเป็นบุคคลที่น่าสรรเสริญ ท่านเป็นผู้มีสติปัญญาในทางธรรม รู้แจ้งในหลักธรรมเหล่านี้ ท่านจึงเลือกคุณธรรมในข้อต่อไปนี้

- ปริจจาคะ บุคคลทีมีการบริจาคทรัพย์สมบัติของตนให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ได้แก่ ไม่มีความตระหนี่เหนียวแน่น มีความยินดีในการทำบุญทำกุศล กรรมดีนั้น บันดาลให้เป็นคนมั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ

- เวยยาวัจจะ บุคคลที่มีการช่วยขวนขวายในกิจอันชอบ คือ ช่วยขวนขวายในการบุญการกุศลของคนอื่นให้มาร่วมบุญกุศล กรรมดีนั้นบันดาลให้เป็นบุคคลที่สมบูรณ์ด้วยญาติมิตรสหาย ทั้งข้าทาสบริวารก็มากมาย

นอกจากการกระทำภายนอกของหลวงปู่พรหมเป็นที่ประจักษ์นี้แล้ว ส่วนภายในจิตใจของท่านยังมีการกระทำ ยังมีจิตใจที่ตั้งมั่นอย่างแน่วแน่ไม่เปลี่ยนใจคือ

มีความเชื่อในพระตถาคตตั้งมั่นไม่คลอนแคลน ไม่สงสัย

มีศีลเป็นศีลที่งดงาม เป็นศีลที่พระอริยเจ้าสรรเสริญ

มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรงต่อคำสั่งสอน

มีความเห็นที่เที่ยงตรง คือ เห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

เมื่อบุคคลทั้งปวง บัณฑิตทั้งหลายได้กระทำให้มีขึ้นแล้ว ท่านเรียกผู้นั้นว่าเป็นผู้ไม่ยากจน ชีวิตของผู้นั้นไม่มีโมฆะ ไม่เปล่าจากสารประโยชน์ เป็นสมบัติของผู้มีปัญญาธรรมโดยแท้


พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล)  


หลวงปู่พรหมเมื่อได้ทำการบริจาคทานอันเป็นวัตถุข้าวของเงินทองที่มีอยู่ของท่านจนหมดสิ้นแล้ว ท่านก็มิได้อยู่รอช้า เมื่อบอกลาญาติทั้งหลายตลอดถึงเพื่อนฝูงเพื่อนบ้านทุกคนแล้ว ก็ได้เตรียมตัวออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง คือ วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่ออุทิศตนถวายชีวิตแก่พระพุทธศาสนา ปรากฏว่าได้มีน้องชาย น้องสาว และน้องเขยของท่านติดตามออกบวชด้วยเช่นกัน

พ.ศ. ๒๔๙๖ ปีเถาะ (โดยประมาณ) เป็นปีที่ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อนับอายุปีเกิดของท่านแล้ว จะต้องเป็นปีนี้แน่นอนที่ท่านบวช อายุของท่านได้ ๓๗ ปีเต็ม โดยมี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูชิโนวาทธำรง วัดโพธิสมภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และ ท่านพระครูประสาทคุณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “จิรปุญฺโญ”

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ


การจาริกต่างจังหวัดเพื่อแสวงหาวิเวก

เมื่อท่านได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว ได้เที่ยวไปกับ ท่านอาจารย์สาร ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเดินทางด้วยเท้าเปล่าตลอด ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนอย่างทุกวันนี้ จำพรรษาในที่ต่างๆ ๓ พรรษา แล้วได้ลาพระอาจารย์กลับภูมิลำเนาเดิม พักอยู่ที่วัดผดุงธรรม บ้านดงเย็น (วัดใน) เดี๋ยวนี้ ได้พร้อมกับชาวบ้านสร้างหอไตรขึ้น ๑ หลัง เพื่อเป็นที่เก็บรักษาบรรดาหนังสือพระคัมภีร์ต่างๆ ไว้ให้เป็นที่ปลอดภัย

ท่านอาจารย์พรหมได้เล่าต่อไปให้สานุศิษย์ฟังว่า เมื่ออุปสมบทได้ ๓ พรรษาแล้ว จิตก็หวนกลับอยากไปสู่ฆราวาสอีก ในตอนนี้ ท่านได้ต่อสู้มารกิเลสฝ่ายต่ำจนเต็มสติกำลัง ด้วยการใช้ความเพียรพยายามอดทนเต็มที่ มีการทำสมาธิภาวนาและเดินจงกรมเป็นต้น จนในที่สุดท่านกลับเป็นฝ่ายชนะ

ศิษย์พระอาจารย์มั่นเกือบทุกองค์นั่นแหล่ะ ท่านเอาธรรมะเข้าต่อสู้จนออกจากภัยอันร้ายแรงได้ เรื่องกิเลสมารทับจิตใจนี้ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านก็เคยถูกกระแสกิเลสนี้พัดกระหน่ำอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง อันเป็นอุบายธรรมปฏิบัติว่า

ภายหลังจากที่ท่านได้บวชเป็นพระแล้ว ๓ พรรษา ก็เกิดมีความรู้สึก (กิเลสภายใน) อย่างรุนแรง คิดอยากจะสึกออกมาเป็นฆราวาสวิสัยอีก ทำอย่างไรๆ ก็ไม่หายที่จะนึกคิด ต้องเร่งพยายามต่อสู้ความคิดภายในนั้นมันเป็นกิเลสมารตัวร้าย สู้กันอย่างหนัก

อาวุธที่เข้าต่อสู้นั้น ท่านได้ทำสมาธิ เดินจงกรมและด้วยวิธีต่างๆ นานา นำมาใช้เป็นอุบายขจัดขับไล่ออกไป และด้วยความตั้งใจจริงของท่านนี้เอง ในที่สุดท่านสามารถเอาชนะอารมณ์จิตที่คิดจะสึกนั้นได้ เพราะว่าท่านคิดอยู่เสมอว่า ในชีวิตของท่านไม่เคยแพ้ใคร ท่านไม่เคยทำสิ่งใดล้มเหลว แล้วท่านจะมาแพ้ใจตนเองได้อย่างไร ท่านก็ได้ตัดสินใจมุ่งหน้ามาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านจะต้องเดินต่อไปจนถึงที่สุด แม้จะต้องฟันฝ่ากับภัยอันตรายใดๆ ที่ยิ่งใหญ่ในโลกนี้ก็ตาม

ในที่สุดท่านหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ก็สามารถดำเนินเดินตามรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าอันเป็นจุดหมายปลายทางของท่านได้สำเร็จ คว้าชัยชนะจากคู่ต่อสู้คือกิเลสมารได้ หลังจากหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านได้รับธรรมะจากท่านพระอาจารย์สาร ซึ่งเป็นพระอาจารย์องค์แรกของท่าน พอที่จะนำข้อวัตรนั้นไปปฏิบัติแก่ตนเองบ้างแล้ว ท่านจึงได้กราบลาออกเดินธุดงค์ แสวงหาวิโมกขธรรมต่อไป ในการออกเดินธุดงค์ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ  ท่านได้นำหลานชายคนหนึ่ง ชื่อ “บุญธาตุ” ซึ่งอายุยังน้อยและยังไม่ได้เข้าโรงเรียนไปด้วย

ท่านออกธุดงค์จากประเทศไทยเดินบุกป่าฝ่าดงมุ่งไปยังนครหลวงพระบาง ประเทศลาว การเดินทางไปมีความลำบากมาก ต้องบุกป่าฝ่าดงไปเรื่อยจนกว่าจะถึงหมู่บ้าน จึงจะแขวนกลดเข้าพักผ่อนเมื่อจัดที่ให้หลานชายนอนจนหลับไปแล้ว ท่านก็นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เดินจงกรม รักษาจิต ขจัดกิเลส ภายในออกจากจิตใจด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยวมั่นคงต่อธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ ท่านได้สละทุ่มเทลงไปเพื่อได้มาซึ่งธรรมความเป็นจริงให้จงได้ พอรุ่งเช้าก็ออกเดินธุดงค์ต่อไป โดยมีหลานชายเล็กๆ เดินตามหลังท่าน บุกป่าฝ่าดง ปีนภูเขาลูกแล้วลูกเล่า บางคราวก็เดินเลียบไปตามชายฝั่งของแม่น้ำโขง เพราะหนทางลำบากเป็นไปด้วยความแร้นแค้น บางวันก็พบหมู่บ้านพอเป็นที่โคจรบิณฑบาตประทังความหิวโหยไปวันๆ หนึ่ง แต่บางวันก็ไม่พบหมู่บ้านและใครๆ เลย อาหารการขบฉันและที่หลานชายจะกินก็ไม่มี หลานชายก็ร้องไห้เพราะทนความหิวไม่ไหว...มีเพียงน้ำพอประทังความหิวโหยไปได้เท่านั้น

ขณะนั้นหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านยังไม่พบกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระบูรพาจารย์ใหญ่แห่งยุค ท่านได้เล่าประสบการณ์ตอนเดินธุดงค์กรรมฐานสมัยแรกๆ ในประเทศลาวไว้ดังนี้ว่า ปฏิบัติธรรมเพื่อเอาความดีนั้น จะต้องอดทน มีความพยายามอย่างสูงสุด จึงจะได้มาซึ่งคุณงามความดี การเดินป่าหาธรรมะ ต้องต่อสู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มักเกิดขึ้นมา บางวันก็ต้องหอบหิ้วสัมภาระทั้งหมดนี้ เช่น บาตร กลด กาน้ำ และยังต้องอุ้มหลานชายไปด้วย ทั้งนี้เพื่อจะได้เดินทางได้เร็ว ทำอยู่อย่างนี้ตลอดวัน
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แม้ว่าการเดินธุดงค์จะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากตลอดทาง แต่จิตใจนั้นไม่เคยยอมพ่ายแพ้แก่อุปสรรค หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเดินบ้างพักบ้าง สัมภาระเต็มหลัง และยังมีหลานชายอีกคนหนึ่งที่ท่านต้องอุ้มไว้กับอก การเดินธุดงค์ของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ได้มาสิ้นสุดลงเมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง คือ นครหลวงพระบาง ประเทศลาว จากนั้นท่านได้อยู่พักเหนื่อยเป็นเวลาหลายวัน แต่ขณะที่อยู่พักยังนครหลวงพระบางนั้น ท่านเกิดล้มป่วย วิบากขันธ์ของท่านสร้างความเจ็บปวดทรมานจิตใจอย่างรุนแรง ดังที่ท่านได้เล่าดังต่อไปนี้

เมื่อไปถึงที่ก็เกิดเจ็บป่วยด้วยโรคท้อง (กระเพาะอาหารเป็นพิษ) จนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล รักษาไปนานวันก็ไม่หายจึงต้องออกจากโรงพยาบาลเสีย ต่อมาก็ได้เข้าไปให้ภิกษุรูปหนึ่งชื่ออาจารย์ก้ง เป็นหมอพระอยู่ละแวกนั้นรักษา แต่อาการเจ็บป่วยก็ไม่ทุเลาลงเลย จึงคิดตัดสินใจว่า

“ต่อไปนี้เราจะไม่รักษาด้วยยาอีก จะไม่ฉันยาขนานใดๆ อีกต่อไป ถ้าจะเกิดล้มตายลงไปก็ถือเป็นกรรมเก่าของเรา แต่ถ้าหากเรายังพอจะมีบุญอยู่บ้าง ก็คงจะหายไปเป็นปกติได้”

ภายหลังจากท่านตัดสินใจแล้ว ท่านก็ได้ยุติการใช้ยาหรือฉันยารักษาโรคทันที หันมาใช้วิธี “รักษาด้วยธรรมโอสถ” ท่านเจริญสมาธิ ฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง พิจารณาธาตุขันธ์ แล้วเพ่งเพียรรักษาด้วยอารมณ์จิตใจที่เป็นสมาธิ ทรงคุณธรรมไว้เฉพาะหน้า บุญญาบารมีเป็นเครื่องนำหนุน มีวาสนาเป็นยารักษาโรคให้หายจากอาการเจ็บปวดทรมาน ซึ่งต่อมาท่านก็ค่อยๆ หายจากอาการอาพาธ และได้เดินธุดงค์กลับมาประเทศไทย นำหลานชายมาคืนให้พ่อแม่เขาต่อไป


หลวงปู่ชอบ ฐานสโม


หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ไม่ชอบอยู่กับที่ ท่านมีความมุ่งหมายที่จะเดินธุดงค์ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางป่าดงพงไพรเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อท่านกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์กรรมฐานไปทางภาคเหนือ แต่การออกเดินธุดงค์เพื่อแสวงวิโมกขธรรมในคราวนี้ ท่านมีพระสหธรรมมิกร่วมทางไปด้วยองค์หนึ่ง คือ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ผู้เป็นพระเถระผู้อาวุโสอีกองค์หนึ่งในปัจจุบันนี้

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ และหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านพระอาจารย์ทั้งสององค์นี้ต่างก็เป็นเพชรน้ำเอก เป็นหัวแหวนอันล้ำค่าด้วยกัน เมื่อได้โคจรไปในที่อันวิเวกด้วยกัน ย่อมเป็นที่น่าสนใจแก่ประชาชนในยุคนั้นเป็นอันมาก...ท่านได้ออกเดินธุดงค์ผ่านป่าเขาลำเนาไพรไปตลอดสายภาคเหนือ แล้วเข้าเขตประเทศพม่า ด้วยนิสัยเด็ดเดี่ยวอาจหาญการเดินธุดงค์กรรมฐานของท่านนี้ ท่านไม่พะวงที่อยู่อาศัย ค่ำไหนก็พักบำเพ็ญสมณธรรม สว่างแล้วออกเดินธุดงค์ต่อไป จิตใจของท่านนั้นมีแต่ธรรมะ อาหารการขบฉันก็เป็นไปในลักษณะมีก็กิน ไม่มีก็อด ยอมทนเอา ไม่มีการเรียกร้อง ไม่มีการสงสารตนเองที่เกิดทุกข์เวทนา เพราะการเดินธุดงค์ก็เพื่อขจัดกิเลสภายในให้หมดสิ้นไป

หลวงปู่พรหม และหลวงปู่ชอบ ท่านมีความตั้งใจในข้อวัตรปฏิบัติธรรมมาก ท่านมีความแกล้วกล้าชนิดถึงไหนถึงกัน ท่านได้ผ่านเมืองต่างๆ ในประเทศพม่าจนสามารถพูดภาษาพม่าได้คล่องแคล่ว โดยเฉพาะหลวงปู่ชอบ ท่านพูดภาษาพม่าได้คล่องเหมือนเป็นภาษาของท่านเอง

8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในระหว่างการเดินธุดงค์กรรมฐานของท่านนี้ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ และหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้พักบำเพ็ญธรรมอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้าน ครั้นพอรุ่งเช้าท่านก็ออกบิณฑบาตได้อาหารมาพอประมาณ ขณะเดินกลับจากบิณฑบาตนั้น หลวงปู่พรหมท่านได้ผ่านบริเวณวัดร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งมีพระพุทธรูปเก่าๆ แตกหักพังตกเกลื่อนเต็มไปหมด ท่านจึงนั่งลงแล้วถวายการสักการะนมัสการ...แตภายในจิตใจของท่านนั้น ได้รำพึงขึ้นว่า

“พระพุทธรูปเหล่านี้ไม่มีใครเหลียวแลและซ่อมแซมกันเลย ทิ้งระเกระกะอยู่เต็มไปหมด พระพุทธรูปเหล่านี้สิ้นความศักดิ์สิทธิ์แล้วละหรืออย่างไร”

ขณะที่หลวงปู่พรหมท่านกำลังรำพึงในใจอยู่นั้น ก็เกิดความอัศจรรย์ขึ้น...แผ่นดินสะทือนเลื่อนลั่น กระดิ่งเก่าๆ ที่แขวนอยู่ชายโบสถ์หลังเก่านั้นถูกแรงสะเทือนดังเกรียวกราวขึ้น จนหลวงปู่พรหมต้องเข้ายึดเสาศาลาไว้เพราะกลัวแผ่นดินจะถล่ม หลวงปู่พรหมท่านได้กำหนดรู้ด้วยวาระจิต และเห็นเป็นประจักษ์แก่ตัวของท่านเองว่า...ความอัศจรรย์ครั้งนี้ไม่ใช่แผ่นดินไหวแน่ แต่เป็นด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธรูปที่หักพังเหล่านั้น ท่านแสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมีจริงๆ ไม่ควรประมาทในสิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นวัตถุบูชาชั้นสูงย่อมมีเทวดาปกปักรักษาอยู่เสมอ เมื่อหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเห็นเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้แล้ว บังเกิดปีติขนพองสยองเกล้า ท่านจึงนั่งลงกราบขอขมาลาโทษต่อพระพุทธรูปเหล่านั้น บัดนี้หลวงปู่พรหมมีความเชื่อมั่นในพุทธานุภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ยิ่ง ท่านมีความมานะพยายามที่จะบำเพ็ญธรรมขั้นสูงต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และเป็นพระที่มีนิสัยแก่กล้า พยายามฟันฝ่ากับอุปสรรคทั้งปวงเพื่อจะขอเอาดวงจิตอันเป็นสมบัติดวงเดียวของท่านพ้นทุกข์ให้ได้ ก่อนที่ท่านจะบวชเข้ามาดำเนินจิตออกจากทุกข์นั้นท่านมีความตั้งใจและเคยปรารภในใจอยู่ทุกเช้า-ค่ำว่า “ทำอย่างไรหนอชีวิตของเรานี้จะได้พบกับความสุขที่แท้จริง” ความตั้งใจของท่านนี้เองสามารถนำมาเป็นหลักประกันปฏิปทาข้อวัตรอันบริสุทธิ์ในเพศพรหมจรรย์

ขณะที่อยู่ปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์สารซึ่งเป็นศิษย์องค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ นั้น บ่อยครั้งที่ท่านพระอาจารย์สารได้เอ่ยปากยกย่องพรรณนาคุณของหลวงปู่มั่นให้หลวงปู่พรหมได้ยิน...หลวงปู่ท่านก็มุ่งต่อหลวงปู่มั่นเพื่อเป็นที่ฝากเป็นฝากตายในชีวิตแห่งเพศสมณะ แต่ก่อนได้พบหลวงปู่มั่น ท่านรำพึงกับตนเองเสมอว่า ก่อนที่จะเข้ามนัสการพระอาจารย์มั่นผู้เลิศด้วยปัญญานั้น จำเป็นที่ท่านจะต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งแก่กล้าเสียก่อน เมื่อได้พบได้รับอุบายใดๆ ก็จะได้ทุ่มเทกายใจประพฤติปฏิบัติธรรม โดยขอเป็นชาติสุดท้าย แม้มีวาสนาบารมีแล้วก็คงจะสมหวังดังตั้งใจไว้แน่นอน นอกจากหลวงปู่พรหมจะเป็นผู้มีความอาจหาญมั่นคงแล้ว ท่านยังเป็นพระผู้ปฏิบัติธรรมที่มีสติปัญญาหยั่งรู้ในเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวข้องจนสามารถเอาตัวรอดปลอดภัยได้

ความจริงแล้ว หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ  ท่านมีใจกับธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้เกิดความอบอุ่นและเยือกเย็นตลอดมา ท่านได้สละแล้วจนหมดสิ้น ยอมอดยอมทนต่อความยากลำบากหิวโหยได้อย่างสบาย ก็เพราะท่านมีธรรมะเป็นอารมณ์ของจิต เมื่อหลวงปู่พรหมท่านปล่อยขันธ์ไปสิ้นแล้ว ความจริงก็ปรากฏว่า “ปรมํ สุขํ”  ท่านหมดความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง

สมัยที่หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเดินธุดงค์แสวงหาความวิเวกทางใจอยู่ในดินแดนประเทศพม่า ท่านผ่านจังหวัดต่างๆ มากมายหลายแห่ง ในวันหนึ่งขณะที่ท่านเข้าที่เจริญสมณธรรม เมื่อจิตสงบดีแล้วก็ปรากฏนิมิตหมายอันสำคัญขึ้นว่า “ได้มีพระภิกษุสงฆ์องค์หนึ่งมาปรากฏกายยืนอยู่ต่อหน้าของท่าน พระภิกษุสงฆ์องค์นั้น มีรัศมีกายสีฟ้าและมีแสงที่สวยสดงดงามตาระยิบระยับไปทั่วบริเวณนั้น ครั้นแล้วพระภิกษุสงฆ์ผู้งดงามได้เอ่ยขึ้นกับท่านว่า...“เราคือพระอุปคุต...เธอเคยเป็นศิษย์ของเรา เธอมีนิสัยแก่กล้า เอาให้พ้นทุกข์นะ” ต่อจากนั้นภาพของพระภิกษุสงฆ์นั้นก็ค่อยหายไป ด้วยเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้หลวงปู่พรหมมีกำลังใจที่จะปฏิบัติต่อไปอีกมากมาย ดังนั้น หลวงปู่พรหมจึงมุ่งปฏิบัติธรรมตามเสด็จพระพุทธเจ้าและพระสาวกเจ้าทั้งหลายให้ทันในชาตินี้

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ  ท่านธุดงค์มาถึงถ้ำอีกแห่งหนึ่งอันเป็นสถานที่สงบระงับเหมาะแก่การเจริญภาวนา ถ้ำนี้ชื่อว่าถ้ำนาปู เป็นบริเวณป่าไม้และมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากชนิดด้วยกัน มีบ้านของชาวพม่าอยู่ ๔ หลัง หลวงปู่พรหมได้อาศัยบิณฑบาตได้อาหารมาพอประทังตามสมควร นับได้ว่ามีบุญวาสนาต่อกันมากในสมัยนั้น ไม่ปรากฏชัดว่าหลวงปู่ได้อยู่บำเพ็ญธรรม ณ ถ้ำนาปูแห่งนี้นานสักเท่าใด แต่มีคำบอกเล่ากันต่อๆ กันมาว่า...หลวงปู่พรหมได้เร่งทำความเพียรอย่างชนิดทุ่มเทจิตใจกันเลยทีเดียว และการปฏิบัติธรรมของท่านนั้นทำจิตใจเลื่อนสู่ภูมิธรรมขั้นละเอียดอ่อน ซึ่งยากที่จะอธิบายได้ ณ ที่นี่

การปฏิบัติธรรมของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ  ในเขตประเทศพม่า เมื่อท่านเห็นกาลอันเป็นสมควรแล้ว ท่านได้ออกเดินธุดงค์มุ่งมาทางจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดำเนินตามเป้าหมายอันสำคัญแห่งชีวิต คือ จะต้องไปพบกับหลวงปู่มั่นให้ได้ ไม่ว่าท่านจะอยู่แห่งหนตำบลใดก็จะติดตามให้จนพบ เพื่อขอมนัสการและอยู่ปฏิบัติธรรมกับท่าน ในที่สุดท่านก็ได้พบหลวงปู่มั่น จอมปราชญ์ในทางธรรม อย่างสมใจ

การเข้ามนัสการ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ ในครั้งแรกพบนั้น ศิษย์ผู้เคยได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านได้เล่าความในใจที่สืบทอดต่อๆ กันมาพอเป็นอุบายให้มีการสำรวมใจขณะเข้าพบครูบาอาจารย์ว่า...ขณะที่หลวงปู่พรหมมองเห็นหลวงปู่มั่นเป็นครั้งแรก ท่านก็นึกประมาทอยู่ในใจว่า “พระองค์เล็กๆ อย่างนี้นะหรือ...ที่ผู้คนเข้าร่ำลือว่าเก่งนัก ดูแล้วไม่น่าจะเก่งกาจอะไรเลย” ท่านเพียงแต่นึกอยู่ในใจของท่านท่านั้น ครั้นพอสบโอกาส หลวงปู่พรหมก็เข้ามนัสการ คำแรกที่หลวงปู่มั่นท่านกล่าวขึ้นท่านถึงกับสะดุ้ง เพราะว่าหลวงปู่มั่นท่านได้กล่าวทำนองที่ว่า “การด่วนวินิจฉัยความสามารถของคนโดยมองดูแต่เพียงร่างกายเท่านั้นไม่ได้ จะเป็นการตั้งสติอยู่ในความประมาท” คำพูดของหลวงปู่มั่นนี้เองทำความอัศจรรย์ให้เกิดขึ้น บังเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะต้องให้ความเคารพนับถือ นี้เพียงแต่นึกคิดในใจอยู่เท่านั้น หลวงปู่มั่นก็สามารถทายใจได้ถูกเสียแล้ว หลวงปู่พรหมก็ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ภายหลังจากได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ  ท่านได้สละกำลังกายและกำลังใจทุ่มเทให้แก่การประพฤติธรรมอย่างหมดชีวิตจิตใจ ดูเหมือนว่าเวลาแห่งการปฏิบัติธรรมเท่านั้น ท่านได้กำหนดจดจำ เรียนรู้กฎปฏิบัติปฏิปทาข้อวัตรของพระฝ่ายธุดงคกรรมฐานในสายของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ เริ่มตั้งแต่เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ครองผ้าสามผืนเป็นวัตร เที่ยวไปตามภูเขา ถ้ำ ป่าช้า โคนไม้เป็นวัตร อันเป็นสิ่งที่คณะศิษย์ทั้งปวงกระทำอยู่เป็นนิจ


หลวงปู่ขาว อนาลโย


พระครูอุดมธรรมคุณ (พระมหาทองสุก สุจิตฺโต)


ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงปู่พรหม ได้อยู่กับ ท่านอาจารย์ขาว อนาลโย ที่วัดดอยจอมแจ้ง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีหมู่คณะอยู่ด้วยกัน ๖ รูป คือ

๑. ท่านอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ
๒. ท่านอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญ
๓. ท่านอาจารย์ขาว อนาลโย
๔. ท่านอาจารย์นู
๕. ท่านอาจารย์คำ
๖. ท่านพระมหาทองสุก สุจิตฺโต (พระครูอุดมธรรมคุณ)


ในขณะนั้น ท่านอาจารย์ขาว อนาลโย ได้ ๑๓ พรรษา หลวงปู่พรหมก็คงมีพรรษาไล่เลี่ยกัน ในพรรษานี้ท่านได้ประกอบความเพียรมาก ถือเพียงอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง ไม่ถืออิริยาบถนอนตลอดไตรมาสสามเดือน ส่วนมากท่านถือการเดินจงกรมเป็นกิจวัตรประจำวัน เมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้เที่ยวแยกย้ายกันไปหาวิเวกในถิ่นต่างๆ ส่วนหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ  ได้ไปทางเหนือถึงเมืองโต่น เมืองหาง เขตแคว้นเมืองตุง ท่านได้พักทำความเพียรอยู่ที่ถ้ำปุ้มเป้ ใกล้เขตเมืองนี้ ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำนี้หนึ่งพรรษา ได้บำเพ็ญสมณธรรมโดยสะดวกสบายดี ไม่มีการติดขัดในทางภาวนามาบำเพ็ญจิตใจ
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ออกพรรษาแล้ว จึงได้เดินทางกลับมาพบกับท่านอาจารย์ขาวอีก ที่บ้านป่าแก้ง ตำบลโหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ได้สนทนาธรรมกันพอสมควรแล้ว พระอาจารย์พรหมก็ได้กล่าวถ้อยคำขึ้นด้วยความเบิกบานในขณะนั้นว่า ปัญญาผู้ทำแสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว จะไปในทิศานุทิศใดๆ ไม่มีความหวาดกลัวอีกแล้ว

ในขณะนั้น ท่านได้ถามปริศนาปัญหากับท่านอาจารย์ขาว ว่าเมื่อครูบามรณภาพแล้วจะไปอยู่ที่ไหน นี้เป็นปัญหาที่แก้ยากสำหรับปุถุชนทั่วไป

ท่านอาจารย์ขาวได้กล่าวตอบว่องไว ไม่ติดขัดและถูกต้องตามความเป็นจริงแห่งสัจธรรมว่า อยู่ที่ไหนก็ไม่อยู่ ไปข้างหน้าข้างหลังก็ไม่ไป ขึ้นบนก็ไม่ขึ้น ลงข้างล่างก็ไม่ลง ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศตะวันออกก็ไม่ไป ดังนี้  เมื่อพระอาจารย์ขาวได้กล่าวแก้ปัญหานี้จบลงแล้ว พระอาจารย์พรหม ก็กล่าวรับรองว่า แน่ทีเดียว

หลวงปู่พรหม ได้กล่าวต่อไปอีกว่า เมื่อความจริงมีอยู่ดังนี้ ทำไมครูบาจึงคิดดุด่าตัวของตัวมากนัก

ได้รับคำตอบว่า ดุด่าก็ดุด่า แต่ลำพังใจตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ออกปากออกเสียงให้กระเทือนใจผู้อื่น ถึงคราวเราชนะก็ข่มขี่มันไปอย่างนั้นละ

ตอนนี้แสดงให้เห็นว่าท่านอาจารย์พรหมคงล่วงรู้ความนึกคิดภายในจิตใจของท่านอาจารย์ขาวไว้เป็นการล่วงหน้าแน่นอนทีเดียว

อีกตอนหนึ่ง ท่านอาจารย์ขาว อนาลโย ได้ให้โยมนำพระพุทธรูปทองคำซึ่งถูกพวกพาลชนทำลายพระเศียร แขนขาก็ไม่มี ถูกตัดไปหมด ยังเหลือแต่แท่นกลางองค์ ทำเป็นเกลียวต่อกันไว้ ท่านจะไปไหนก็คิดถึงมิได้วาย เมื่อเอาลงจากดอยแล้ว ปรารภจะให้ช่างมาต่อพระเศียร แขนขา ให้เป็นองค์พระที่สมบูรณ์ขึ้นมา โยมผู้มีศรัทธารับอาสาจัดหาเครื่องอุปกรณ์ เช่น เหล็ก ปูน ทรายมาให้ ยังขาดแต่ช่างผู้สามารถทำได้ ยังนึกไม่เห็นใคร เห็นแต่ท่านอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญ เท่านั้น พอจะมีฝีมือทำได้กระมัง ขณะนั้นท่านอาจารย์พรหมพำนักอยู่ที่ป่าเมี่ยง อำเภอแม่สาย ท่านอาจารย์ขาวจึงไปหาท่านด้วยตนเอง เมื่อไปถึงแล้วได้เล่าเรื่องราวให้ท่านอาจารย์พรหมฟัง เสร็จแล้วได้ถามต่อไปว่า พอจะบูรณะซ่อมแซมให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ก็ได้รีบตอบในทันทีว่า ไม่ยาก ขอแต่ให้มีเครื่องอุปกรณ์คือปูนซีเมนต์เท่านั้นก็ทำได้

จากนั้นท่านอาจารย์ทั้งสองก็ได้ติดตามกันมาจนถึงตำบลโหล่งขอดที่ได้เอาพระพุทธรูปมาไว้ก่อนแล้ว พอมาถึงได้อุปกรณ์เพียงพอท่านก็ลงมือทำทันทีจนเป็นที่เรียบร้อย สมควรแก่การกราบไหว้สักการบูชาของพุทธศานิกชนทั่วไป เมื่อทำเสร็จแล้ว ท่านอาจารย์พรหมก็พิจารณาถึงมูลเหตุที่เป็นมา ก็ได้ทราบทันทีว่าพระพุทธรูปองค์นี้ เมื่อเวลาทำหล่อแต่อดีตที่ผ่านพ้นมานานโน้น ท่านอาจารย์ขาวได้เป็นช่างสูบลมในเวลาหล่อ พอท่านอาจารย์เผยความจริงออกมาเช่นนั้น ท่านอาจารย์ขาวก็พูดรับรองว่าเป็นความจริง เพราะผมจะไปที่ไหนๆ ก็คิดถึงพระพุทธรูปนี้อยู่เสมอ เรื่องที่เล่ามานี้ แสดงว่าท่านอาจารย์พรหมได้ล่วงรู้เหตุการณ์ในอดีตเป็นอันดี ซึ่งเป็นการยากที่คนธรรมดาสามัญจะรู้ได้อย่างนั้น นอกจากเป็นการเดามากกว่า

หลวงปู่พรหมได้พักอยู่จำพรรษาที่ตำบลโหล่งขอดนี้หนึ่งพรรษา จากนั้นก็พักวิเวกจำพรรษาแห่งละหนึ่งพรรษา คือ บ้านโป่ง ป่าเมี่ยง และอำเภอแม่สาย แล้วท่านก็ได้กลับมาทางภาคอีสานถิ่นเดิม ท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ให้ผู้อื่นสมบูรณ์บริบูรณ์นับว่าเป็นผู้ที่หาได้ยากยิ่ง

หลายครั้งที่หลวงปู่พรหม และท่านอาจารย์ขาวท่านได้ออกเดินธุดงค์เที่ยววิเวกไปอยู่ป่าเขาด้วยกัน ต่างก็ได้มุ่งมั่นที่จะศึกษาธรรมปฏิบัติ ขจัดกิเลส ตัณหา อุปาทาน ออกจากจิตใจด้วยกันทั้งสิ้น นับได้ว่าการที่ได้ฝึกฝนอบรมธรรมในภาคเหนือนี้ ท่านได้พบกับพระสุปฏิบัติผู้เป็นคู่อรรถคู่ธรรมโดยแท้จริง หลวงปู่พรหมท่านได้ถือภาคแห่งการปฏิบัติธรรมหักโหมขั้นอุกฤษฏ์ก็ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ นี้เอง ครูบาอาจารย์ผู้เป็นศิษย์บอกเล่าต่อกันมาดังนี้

เมื่อหลวงปู่พรหมท่านได้มาอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านถือว่าตัวของท่านได้มาอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ผู้เลิศแตกฉานในทางธรรม ดังนั้นหลวงปู่พรหมท่านได้เร่งทำความเพียรอย่างเต็มที่ คือ ท่านได้ถืออิริยาบถ ๓ ประการ ได้แก่ ยืน...เดิน...นั่ง..ตลอดไตรมาสท่านไม่ยอมนอนให้หลังแตะพื้นหรือพิงเลยโดยถือคติธรรมของหลวงปู่มั่น ว่า...ธรรมอยู่ฟากตายถ้าไม่รอดตายก็ไม่เห็นธรรม เพราะการเสี่ยงต่อชีวิตจิตใจอันเกี่ยวกับความเป็นความตายนั้น ผู้มีจิตใจมุ่งมั่นต่ออรรถธรรมแดนหลุดพ้นเป็นหลักยึดของพระผู้ปฏิบัติพระกรรมฐานจริงๆ

ฉะนั้น อุปสรรคต่างๆ ย่อมได้พบอยู่เสมอ ดังครูบาอาจารย์หลายๆ องค์ถ้าแม้จิตใจไม่แน่วแน่มั่นคงจริงๆ ก็จะทำไม่ได้ บางคราวผู้อดหลับอดนอนมากๆ สูญประสาทเสียจริตไปก็มี บ้างก็เดินชนต้นไม้ใบหญ้าให้วุ่นวาย หรือไม่เวลาออกบิณฑบาตเที่ยวตะครุบผู้คนก็มี เพราะเดินหลับใน เกิดอาการตึงเครียดไม่สามารถทรงสติตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำให้ปฏิบัติเพิ่มสติกำลังให้แก่กล้าจริงๆ จึงจะทำได้ เมื่อถึงคราวเร่งความเพียรก็ย่อมจะได้พบความสำเร็จโดยไม่ยาก
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้