ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ วัดประสิทธิธรรม ~

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปฏิปทาของหลวงปู่พรหมในเรื่องนี้ สมัยแรกพบกับหลวงปู่มั่นใหม่ๆ ท่านก็เคยคิดทำความเพียรเช่นนี้เหมือนกัน แต่ถูกหลวงปู่มั่นท่านห้ามไว้ก่อน เพราะจะเป็นการหักโหมเกินกำลัง โดยท่านแนะให้นั่งสมาธิฝึกจิตเสียก่อน ครั้นเมื่อกำลังจิตแก่กล้าแล้วท่านมาเร่งทำความเพียรอย่างหนักหน่วง ผลประโยชน์จึงบังเกิด แก่หลวงปู่พรหม ท่านสามารถสำเร็จธรรมขั้นสูงในภาคเหนือนี้เอง อันยังประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวท่านและหมู่คณะเป็นอันมาก

สมัยที่หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเที่ยววิเวกอยู่กลางป่าเขา ท่านได้พบกับสิ่งแปลกๆ และอัศจรรย์มากมาย แต่ท่านไม่สามารถเล่าให้ละเอียดลงไปได้ ไม่ว่าสถานที่ เวลา ปีใดๆ ไม่สามารถกำหนดชี้ชัดลงไปได้เลย นอกเสียจากการประพฤติปฏิบัติธรรมของท่านเท่านั้น ท่านเดินธุดงค์บุกป่าฝ่าดงไปในที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ท่านเดินตลอดวันตลอดคืนก็ไม่พบปะบ้านช่องเรือนชานของผู้คน ในเวลาที่ต้องผจญทุกข์เช่นนี้ ท่านมีแต่ความอดอยากทรมานเสียมากกว่าความอิ่มกายสบายใจ ท่านต้องทนยอมต่อความหิวโหยอ่อนเพลีย ทั้งนี้เพราะหลงทาง ท่านต้องนอนค้างอยู่กลางป่าเขา

เฉพาะการเดินธุดงค์ในช่วงออกไปทางประเทศพม่าเป็นความยากลำบากมากเมื่อคราวเดินวิเวก เพราะทางที่ไปนั้นมีแต่สัตว์ป่านานาชนิด เช่น พวกเสือและงูพิษที่ไม่ยอมกลัวคน บางครั้งก็ต้องปลงอนิจจังต่อความทุกข์ที่ต้องทรมานสุดแสนจะทนและมีชีวิตสืบต่อไปวันข้างหน้า เมื่อนึกปลงใจตัวเองแล้ว ก็ดูเหมือนกับว่า สิ่งต่างๆ ในร่างกายมันจะหยุด สุดสิ้นลงไปพร้อมๆ กัน ลมหายใจก็เหมือนขาดตอนที่ต่อเนื่องกัน นี่เป็นเครื่องถ่วงทรมานกายใจตอนนั้น แต่ในที่สุด มันก็พอทนอยู่ต่อไปได้อีกตามเหตุการณ์และวันเวลาผ่านไป อยู่เพื่อธรรมะ แม้ไปก็ยังมีธรรมะคู่กับจิตใจไม่เอนเอียงหวั่นไหวเลย

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยความเคร่งครัด และยังเป็นผู้มีนิสัยเคร่งขรึมและเด็ดเดี่ยวยิ่ง ท่านได้สละพันธะทางโลกซึ่งท่านเป็นเจ้าของ ทรัพย์สมบัติทั้งปวงที่มีอยู่ทั้งที่มีวิญญาณ (วัว-ควาย) และที่ไม่มีวิญญาณ มีค่านับล้านบาทเพื่อแจกเป็นทานบารมี การที่ได้บวชเข้ามาในบวรพุทธศาสนาก็เพื่อปลดเปลื้องภาระทางใจ อันประกอบด้วยกิเลสตัณหาที่เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ ท่านจึงดำรงชีวิตในเพศพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย มีความสันโดษเป็นที่ตั้ง ยึดมั่นในพระธรรมคำสั่งสอน แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติด้วยชีวิตจิตใจ ยากที่บุคคลทั่วไปจะเสมอเหมือน ด้วยความพยายามดังที่กล่าวมานี้ ท่านได้รับคำชมเชยจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ ต่อหน้าพระเถระผู้ใหญ่หลายๆ ท่านว่า

“เป็นผู้มีความพากเพียรสูงยิ่ง มีความตั้งใจแน่วแน่ ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดที่สุด เป็นตัวอย่างที่ดีแก่พระภิกษุทั้งหลายควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านได้อยู่ใกล้หลวงปู่มั่น เป็นเวลานานหลายพรรษา ตลอดเวลาที่ได้อยู่ปฏิบัติธรรม ท่านมีจิตใจที่ก้าวหน้าทางปฏิบัติอย่างไม่หยุดยั้ง มีความแน่ใจตนเองมากยิ่งขึ้น  ท่านได้รับการอบรมอย่างสม่ำเสมอ เวลาบางปีหลวงปู่มั่น ได้เมตตาให้อยู่จำพรรษาด้วย นับเป็นโอกาสอันอุดมของท่าน ส่วนบางปีท่านจะปลีกตัวออกไปบำเพ็ญในป่าแต่เพียงลำพัง เพราะเป็นนิสัยของท่านที่ไม่ชอบอยู่กับที่นานๆ นั่นเอง

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเป็นอริยเจ้าผู้มีคำพูดน้อย ถือสันโดษ มักน้อย ไม่มีจิตฟุ้งซ่านกับสังคมภายนอก หลวงปู่ท่านไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดต้องเดือดร้อนเป็นการรบกวน ยุ่งยาก อนึ่ง ท่านก็อยู่จำพรรษาในดงลึก ยากแก่การเข้าถึง (สมัยนั้น) เมื่อมีคณะญาติโยมสู้อุตส่าห์เดินทางไปจนถึงที่พักของท่าน ท่านก็จะพูดจาปราศรัยเพียงประโยคเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นที่เข้าใจ ท่านก็ให้รีบกลับทันที

ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ เป็นปีสุดท้ายที่หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ อำลาภาคเหนือ ท่านได้เดินธุดงค์มาทางภาคอีสาน เมื่อมาถึงภาคอีสานแล้วก็ได้ไปสมทบกับพระอาจารย์ของท่านที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร และได้อยู่จำพรรษาที่นั่น ในระหว่างที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ ท่านได้ไปอยู่จำพรรษาที่วัดป่าภูริทัตตถิราวาส (วัดป่าบ้านหนองผือ) ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

ในระยะหนึ่ง บรรดาพระเถระทั้งหลายพากันไปกราบมนัสการท่านอาจารย์ใหญ่มั่น ซึ่งมีหลวงปู่พรหมรวมอยู่ด้วย ได้ฟังโอวาทของท่านอาจารย์ใหญ่มั่นแล้ว เฉพาะต่อหน้าพระเถระทั้งหลายที่ร่วมฟังโอวาทด้วยกัน ท่านอาจารย์ใหญ่มั่นถามท่านอาจารย์พรหมขึ้นว่า ท่านพรหม มาแต่ไกลเป็นอย่างไรบ้าง การพิจารณากาย การภาวนาก็ดี เป็นอย่างไร ท่านอาจารย์พรหมเรียนถวายว่า “ไม่มีอกถังกถี” (สิ้นสงสัย) แล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่มั่นได้ยกย่องชมเชยท่านอาจารย์พรหมต่อหน้าพระเถระทั้งหลายว่า ท่านพรหมเป็นผู้มีสติ ทุกคนควรเอาอย่าง

12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ  


ครั้นกาลต่อมาหลวงปู่พรหมได้กลับจากการอยู่ใกล้ชิดท่านอาจารย์ใหญ่มั่น ที่หนองผือนาใน มาอยู่ที่บ้านดงเย็นอันเป็นถิ่นเดิม ได้พาญาติโยมสร้างวัดประสิทธิธรรม พร้อมด้วยสร้างถาวรวัตถุขึ้นภายในวัดเป็นจำนวนมาก เช่น สร้างกุฎี วิหาร ศาลาการเปรียญ บ่อน้ำภายในวัดนอกวัด พาญาติโยมทำถนนหนทาง สร้างโรงเรียนประชาบาลบ้านดงเย็น และสร้างสะพานข้ามลำน้ำสงคราม เป็นสาธารณประโยชน์ไว้มากมาย

นอกจากท่านได้สร้างและอยู่จำพรรษา ที่วัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็นแล้ว ท่านยังได้ทำประโยชน์แก่ชุมชนใกล้เคียง ทั้งทางวัดและทางบ้าน บางปีจำพรรษาที่วักบ้านถ่อน ตำบลโพนสูงสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ กุฎี และสะพานข้ามทุ่งนาจากบ้านไปวัดยาวประมาณ ๑๑ เส้น บางปีจำพรรษาที่วัดตาลนิมิต บ้านตาล ซึ่งเป็นมาตุภูมิของท่าน สร้างกุฎี วิหาร ต่อมาสงฆ์ได้พากันผูกพัทธสีมาใช้ในสังฆกรรมจนกระทั่งปัจจุบันนี้ นับว่าท่านบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์คนอื่นได้สมบูรณ์ยิ่ง ยากที่ผู้อื่นจะทำได้เหมือนอย่างท่านจึงเป็นที่เคารพกราบไหว้บูชาของผู้มุ่งประโยชน์สุขโดยทั่วไป

สรุปความในธรรมะของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ได้ดังนี้คือ “เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาติหนึ่ง และมนุษย์นี่เองที่สามารถยังประโยชน์ ก็ได้เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตนเองตลอดถึงวงศาคณาญาติกว้างไปไกลถึงสังคมชุมชนน้อยใหญ่ให้มีแต่ความเจริญสุขสถาพร ยิ่งได้สร้างประโยชน์ให้แก่สังคมพลเมืองด้วยแล้ว ย่อมนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติ บ้านต่างก็อยู่ดีมีสุขทุกเรือนชาน เพราะมนุษย์มีสติปัญญา มีธรรมะประจำจิตใจด้วยกัน ก็มนุษย์นี้แหละกระทำขึ้นให้เกิดคุณเกิดประโยชน์ทั้งสิ้น

การทำความชั่ว...ถ้ามนุษย์พึงปรารถนาใช้สติและปัญญาเที่ยวสร้างสรรค์แต่ความชั่วร้ายป่าเถื่อน...อันประกอบตนเองลดฐานะของจิตใจให้ตกอยู่กับฝ่ายชั่วร้าย ก็มีแต่เที่ยวเบียดเบียนบั่นทอนผู้อื่นให้ได้ความทุกข์เดือดร้อน ออกเกะกะระราน เที่ยวฆ่า ปล้น ชิงทรัพย์ ทำลายล้างให้ตนเองและวงศาคณาญาติ ลุกลามไปในชุมชนน้อยใหญ่ ก็จะมีแต่ก่อเวรภัยหาความสุขมิได้ ยิ่งมนุษย์นำสติปัญญาที่มัวเมาไปด้วยความชั่วและสิ่งเลวร้าย มีนายคือ จอมกิเลสคอยบงการ ก็เอาสติปัญญานั้นแหละเที่ยวค้นคิดสร้างอาวุธยุทธนา แล้วนำมารบราฆ่าฟันกันตาย ทำลายชีวิตและสมบัติซึ่งกันและกัน ทำลายล้างแม้ประเทศชาติบ้านเมืองให้ฉิบหายล่มจม ล้างผลาญแม้กระทั่งสมณะเณร ชี ให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างที่เราท่านทั้งหลายมองเห็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อยังไม่ตายหายจาก วิบากของความชั่วเลวร้ายนั้นก็คอยไล่ล้างผลาญตนเองให้เที่ยวหนีซุกซ่อน เหมือนสัตว์ที่ถูกน้ำร้อน เลยหาความสุขไม่ได้ เป็นนรกบนดินด้วยเหตุฉะนี้”

เพราะฉะนั้น ธรรมะที่หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านได้เมตตาประทานให้แก่พวกเราทั้งหลาย ก็เพื่อสอนสั่งให้พวกเรา จงทำแต่ความดีที่มีคุณประโยชน์ จงอย่าทำความชั่ว เพราะรังแต่จะเกิดโทษอันอเนกอนันต์ ท่านให้เรามีสติปัญญา พิจารณาตรึกตรองให้มีทาน มีศีล มีภาวนา ก็จะบังเกิดปัญญาธรรมอันล้ำค่ามหาศาลนั่นเอง

ที่วัดบ้านดงเย็น สมัยเมื่อหลวงปู่พรหมท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็มักมีบรรดาคณะศรัทธาญาติโยมและสาธุชนเดินทางไปกราบมนัสการท่านอยู่เสมอๆ แม้หนทางในสมัยนั้นการคมนาคมไม่สะดวกอย่างเช่นปัจจุบันนี้ การเข้าไปพบเพื่อกราบมนัสการมิใช่ของง่าย ทางก็ไม่ดี อีกทั้งยังเป็นป่าไม้อันหนาแน่น ถึงกระนั้นทุกคนก็ได้พยายามจนไปถึงที่ท่านพำนักจำพรรษาอยู่อย่างน่าสรรเสริญยิ่ง

จิตที่ปกติแล้วของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ย่อมเป็นจิตที่อัศจรรย์ คือ มีความรู้ความเห็นอันผิดไปจากมนุษย์ธรรมดาๆ จะรู้เห็นหรือเข้าใจ เมื่อคณะญาติโยมคนใดก็ตามมาถึงวัดที่ท่านจำพรรษาอยู่นั้น ท่านจะรู้วาระจิตของทุกๆ คนที่มา ท่านสามารถทายใจของทุกคนได้ถูกต้องและแม่นยำ อย่างเช่น  มีบุคคลที่ไปทำบุญกับท่านแต่มีสิ่งหวังตั้งใจมา ท่านก็จะพูดเตือนสติทันทีเมื่อพบหน้ากัน ดังนี้  “การที่จะทำบุญทำทานนั้นต้องมีใจตั้งมั่นและให้เกิดศรัทธาในบุญกุศลทานเสียก่อน ถ้าไม่ศรัทธา ใจไม่ตั้งมั่นแล้ว...อย่าทำ...จะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย...”

บางคราวจะมีคณะศรัทธาญาติโยมชาย-หญิง ที่เดินทางไปถึง ก็เที่ยวเดินชมวัดและบริเวณโดยรอบต่างๆ แล้วพูดคุยในลักษณะประจบทำบุญเอาหน้าเอาตากันว่า ฉันจะต้องมาสร้างโน่นมาสร้างนี่ จะทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ แต่จิตใจนั้นมีเจตนาหวังผล หรือตั้งตัวเองให้เป็นผู้มีสนิทชิดเชื้อกับตัวท่าน มีบุญมีคุณต่อท่านแล้ว ท่านมักจะเตือนว่าถ้าไม่ศรัทธามีเจตนาเป็นอื่นก็ไม่ควรจะทำ แต่ถ้ามีญาติโยมคนใดเข้าไปกราบมนัสการ และมีเจตนาดีมองเห็นคุณมองเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นโดยส่วนรวมต่อพระศาสนาแล้ว แม้ยังไม่ได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดเลย หลวงปู่พรหมก็สามารถรู้ด้วยจิตภายใน ท่านจะอนุโมทนาและกล่าวขึ้นพอเป็นปฐมดังนี้ว่า “ท่านมีเจตนาดีก็ทำไปเถิด เพราะสิ่งนั้นเป็นบุญเป็นกุศล” ขนาดหลับท่านยังรู้

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติธรรมที่ควรแก่การเคารพบูชา แม้ครูบาอาจารย์ในสมัยปัจจุบันก็ยังกล่าวถึงท่าน ด้วยกิตติคุณอันงดงามอยู่เสมอ สมัยหลวงปู่พรหมท่านกลับมาถึงบ้านดงเย็น ท่านได้สร้างความอัศจรรย์แก่พวกเราให้ได้เห็นมากมาย เมื่อท่านมาอยู่ได้ไม่นานก็มีชาวบ้านบวชพระตามท่านไปหลายองค์ พวกชาวบ้านก็เข้าวัดเข้าวา ดีอกดีใจที่มีวัดปฏิบัติเป็นของตนเอง
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ เค้าแห่งปริศนาธรรมความเป็นจริงได้ปรากฏชัดภายในจิตใจของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ เสียแล้ว ชาวบ้านดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี จะมีคนไหนรู้ได้บ้างว่า...ขณะนี้ต้นโพธิ์ต้นไทรที่เคยให้ความสงบสุขรื่นรมย์แก่พวกเขาทั้งหลาย กำลังจะถูกพายุอันเกิดจากอำนาจพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาโค่นมาถอนออกไปจากจิตใจของพวกเขา ก็เพราะความไม่เที่ยงตรง ไม่แน่นอน อยู่ไปก็มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แท้จริงก็เป็นธาตุเฉยๆ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ จึงสามารถกำหนดรู้ชัดด้วยจิตใจอันเป็นหนึ่งของท่าน โดยได้ปลงสังขาร กล่าวอำลา ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ไม่ขอกลับมาพบเห็นคลุกเคล้ากันอีกต่อไป

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านได้แสดงธรรมปฏิบัติอันเป็นอุบายธรรมให้ทุกคนได้พิจารณาน้อมนึกถึงความตายอยู่เสมอๆ จงอย่าได้ประมาท การปฏิบัติตนให้เกิดสติปัญญาโดยเป็นเครื่องมือพิจารณาให้เห็นแก่นแท้ของธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนโลก พร้อมทั้งได้ชี้แนะอยู่ในตัว คือ พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนโลก ทรงให้วินิจฉัยด้วยสติปัญญา มองดูความเคลื่อนไหวอาการของกิเลสทางใจ มีอาการเป็นไปทางใดบ้างในวันหนึ่งๆ

วันที่หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านจะมรณภาพท่านได้เข้าห้องน้ำตั้งแต่เช้า ท่านปิดประตูใส่กลอนเงียบอยู่ จนเวลาที่จะต้องออกบิณฑบาต ผู้ที่เฝ้ารออยู่หน้าห้องน้ำก็นั่งเฉยๆ ครั้นจะบุ่มบ่ามเข้าไปก็ไม่กล้า นั่งรออยู่จนกระทั่งประตูห้องน้ำเปิด หลวงปู่ท่านโซเซออกมา ก่อนพ้นประตูท่านล้มลงไป พระผู้อยู่ใกล้วิ่งเข้าไปรับแล้วประคองท่านเข้ามานอนในห้อง วันนั้นแทบไม่ได้ออกบิณฑบาตกันเลย ต่างก็มีหน้าที่ของตนคอยรับใช้ครูบาอาจารย์อย่างใกล้ชิดก่อนที่ท่านจะสิ้น ชีพจรของท่านแทบจะไม่เต้น เพราะทุกคนคอยตรวจเช็คกันอยู่ตลอดเวลา

กาลเวลาค่อยๆ ผ่านไปๆ แต่ละวินาทีดูเหมือนว่าโลกจะหยุดนิ่ง คนที่อยู่ใกล้ๆ ท่านต่างก็เพ่งมองดูอาการแทบไม่หายใจ เพราะความรู้สึกเป็นอย่างนั้นจริงๆ ขณะที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านได้รวบรวมพลังจิตอันแก่กล้าลืมตาขึ้นมามองลูกศิษย์ทั้งหลาย มีทั้งพระ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ทุกคน คล้ายกับกล่าวอำลาแล้วท่านก็ยกมือขึ้นพนมเหนืออก เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จากนั้นหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ได้จากโลกนี้ไป ชีพจรของท่านหยุดเต้น มือที่ยกขึ้นพนมตกลงข้างกาย

บัดนี้ หลวงปู่พรหมได้จากบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทุกคนไปด้วยอาการสงบระงับ จิตเข้าสู่แดนเกษมเมื่อเวลา ๑๗.๓๐ น. ของวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ด้วยโรคชรา สิริอายุได้ ๘๑ ปี พรรษา ๔๓

ในการครั้งนี้ เพื่อเป็นปฏิการะและกตัญญูกตเวทิตาธรรมในพระคุณของท่านอาจารย์พรหม จิรปุญโญ คณะศิษยานุศิษย์พร้อมด้วยทายกทายิกาที่เคารพนับถือในท่าน ได้พร้อมกันเสียสละกำลังกาย กำลังทรัพย์และกำลังความคิด จัดสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของท่าน ซึ่งหลวงปู่ท่านเริ่มขุดหลุมวางรากฐานไว้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่อนุชนรุ่นหลังขึ้นที่วัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น ตำบลดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ส่วนสูง ๒๐ เมตร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ้นทุนทรัพย์ไปประมาณสองแสนบาทเศษ

ข่าวการมรณภาพของพระอริยเจ้าแห่งบ้านดงเย็น ได้แพร่ขยายไปไกล ทุกคนมีแต่เศร้าความสลดเสียดายยิ่งนักต่อการจากไปของพระผู้ทรงคุณธรรมสูงเช่นองค์หลวงปู่ท่าน ทุกคนเมื่อได้ทราบข่าวนี้ต่างก็ได้รำพึงถึงพระคุณความดีงามของท่าน เพราะท่านเคยอยู่ให้เป็นกำลังใจแก่ทุกๆ คน อีกทั้งยังได้ประสิทธิธรรมะให้แก่คณะศิษยานุศิษย์ พระภิกษุ สามเณร ฆราวาสทั้งชายหญิง ที่หาประมาณไม่ได้

บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ชาย-หญิงที่เป็นฆราวาส อันประกอบด้วยชาวกรุงเทพฯ ชาวเชียงใหม่ และอีกหลายๆ จังหวัด ต่างก็มุ่งหน้าอุตส่าห์เดินทางกันไป แม้จะทุกข์ยากลำบากเพียงใด ใกล้ไกลแค่ไหน จะสิ้นเปลืองอย่างไร ทุกคนดูเหมือนว่าไม่มีใครสนใจถึง นอกจากขอให้ได้ไปกราบศพ แสดงคารวะเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยหัวใจมุ่งหวังเคารพและศรัทธา บ้านดงเย็นที่ว่าไกลแสนไกลอีกทั้งยังกว้างใหญ่ไพศาล ก็กลายเป็นสถานที่คับแคบเสียแล้วเวลานั้น นอกจากนี้ นับว่าเป็นโอกาสอันดีของทุกๆ คน ที่มาร่วมงานสำคัญ เพราะพระกรรมฐานในสายของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ ได้เดินทางไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

อัฐิธาตุหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ  


อัฐิท่านได้กลายเป็นพระธาตุในเวลาอันสั้น

อัฐิท่านที่ได้ทำการแจกจ่ายแก่ท่านที่มาในงานไปไว้เป็นที่ระลึกสักการบูชาในที่ต่างๆ มีมากต่อมากจึงไม่อาจทราบได้ว่าของท่านใดได้แปรสภาพจากเดิมหรือหาไม่ประการใดบ้าง แต่เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีท่านที่ได้รับอัฐิท่านมาแล้วอัฐินั้นได้กลายเป็นพระธาตุ ๒  องค์ หลังจากนั้นก็ได้ทราบทางหนังสือพิมพ์ “ศรีสัปดาห์” อีกว่า อัฐิท่านได้กลายเป็นพระธาตุแล้วก็มี ที่ยังไม่กลายเป็นพระธาตุก็มี ซึ่งอยู่ในผอบอันเดียวกัน

จึงทำให้เกิดความอัศจรรย์ในคุณธรรมของท่านว่า ท่านเป็นผู้บรรลุถึงแก่นธรรมโดยสมบูรณ์แล้ว ดังวงปฏิบัติเคยพากันคาดหมายท่านเป็นเวลานาน แต่ท่านไม่ได้พูดออกหน้าออกตาเหมือนทางโลกปฏิบัติกัน เพราะเป็นเรื่องของธรรม ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมจะพึงสำรวมระวังให้อยู่ในความพอดี ท่านได้พบดวงธรรมอันประเสริฐ สามารถกำชัยชนะด้วยการบรรลุธรรมวิเศษ ปลดเปลื้องภาระหมดกิจ หมดหน้าที่ไปแล้วโดยสมบูรณ์ฯ

โอวาทครั้งสุดท้ายที่หลวงปู่แสดงแก่โยมอุปัฏฐากใกล้ชิดคนหนึ่ง คือ ครูชาย วงศ์ประชุม ก่อนท่านมรณภาพ ๒ วัน ดังบทเรียบเรียงของครูชายดังนี้

“วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๑๒ ได้ตั้งใจไว้ว่าจะไปธุระที่จังหวัดสกลนคร แต่มีเหตุบันดาลใจยากจะไปกราบมนัสการท่านพระอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญ อีก เพราะในอาทิตย์ที่แล้ว ข้าพเจ้าพร้อมด้วยภรรยาและช่างทำฟัน ไปทำฟันให้ท่านใหม่เพราะท่านมีอาการปวดฟัน เมื่อเกิดสังหรณ์ในใจเช่นนี้จึงได้เปลี่ยนความตั้งใจใหม่ ได้ชวนภรรยาไปมนัสการท่านอีก ไปถึงดงเย็นเวลา ๑๒.๒๐ น. ได้จอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่ใต้ร่มมะม่วงแล้ว จึงพากันขึ้นไปมนัสการท่านบนกุฎี ปรากฏว่าท่านได้นั่งรอคอยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมนัสการกราบไหว้ท่านเสร็จแล้ว

ท่านจึงได้พูดขึ้นว่า  “อาตมาได้ยินเสียงเครื่องบินว่าแม่นเสียงรถของเจ้า” ว่าแล้วท่านก็ลุกขึ้นไปหยิบเอากาน้ำเพื่อไปกรองน้ำที่โอ่ง ข้าพเจ้าลุกขึ้นติดตามท่านรับเอากาน้ำจากท่านกรองน้ำแทนท่าน แล้วท่านยังไปยกเก้าอี้มาเพื่อเหยียบขึ้นเอาแก้วน้ำอยู่ที่กล่องบนเพดานกุฎีนั้น ข้าพเจ้าจึงมิได้รอช้า รีบไปหยิบเอาแก้วน้ำแทนท่านอีก เมื่อกรองน้ำล้างแก้วน้ำเสร็จ จึงได้นำมาถวายท่าน เมื่อนำกาน้ำเข้าไปถวายท่าน ท่านได้บอกว่า “อาตมาไปเอาน้ำมาให้พวกเจ้ากิน”
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

อัฐิธาตุหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ


เสร็จแล้วข้าพเจ้ามานั่งตรงต่อที่ท่านนั่ง ท่านจึงได้เทศนาให้ข้าพเจ้าฟังว่า “คนเราเกิดมาทุกรูปทุกนามรูปสังขารเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าพระราชา มหากษัตริย์ พระยานาหมื่น คนมั่งมี เศรษฐีและยาจก ล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น มีทางพอจะหลุดพ้นทุกข์ได้ คือ ทำความเพียร เจริญภาวนา อย่าสิมัวเมาในรูปสังขารของตน มัจจุราชมันบ่ไว้หน้าผู้ใด ก่อนจะดับไป ควรจะสร้างความดีเอาไว้” ท่านเทศนาใจความสั้นๆ ดังนี้แล้ว จึงได้สนทนากับท่านต่อไปอีก

ได้เรียนถานท่านว่า ช่างทำฟันมาแต่ฟันให้แล้วรู้สึกเป็นอย่างไร ท่านได้ตอบว่า “หายเจ็บแล้ว คือสิได้คุณดี” ข้าพเจ้าเรียนถามต่อไปอีกว่า ท่านอาจารย์ฉันยาที่นำมาถวายแล้วเป็นอย่างไร (ยาที่นำมาถวายท่านนี้เอามาจากสูตรผสมยาของคุณหมออวย ปรุงถวายท่านอาจารย์ใหญ่ขาว วัดถ้ำกลองเพล) ท่านได้ตอบว่า “ยานี้ได้คุณดี แต่ว่าเวลานี้มัจจุราชมันบ่ได้ว่ายาให้แล้ว”  เมื่อท่านพูดเช่นนั้นข้าพเจ้ารู้สึกตกใจ จึงได้อาราธนานิมนต์ท่านอยู่ต่อไปว่า กระผมขอนิมนต์ให้หลวงปู่อยู่ไปก่อนถึงอย่างไรก็ขอให้เจดีย์ที่กำลังก่อสร้างนี้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ท่านได้ตอบข้าพเจ้าว่า “ชายเจ้ามาโง่แท้ เทศนาให้ฟังหยกๆ ยังไม่เข้าใจ”

ได้เวลา ๑๕.๓๐ น. ท่านได้สั่งให้ข้าพเจ้ากลับเพราะจะค่ำแล้ว ข้าพเจ้าไม่รอช้า เพราะทราบดีว่าเมื่อท่านสั่งต้องปฏิบัติตาม ก่อนจะกลับก็กราบมนัสการท่าน ขณะที่กำลังกราบมนัสการท่านอยู่นั้น ท่านยังได้ย้ำอีกว่า “ให้พากันเจริญภาวนาทำความเพียรจึงจะพ้นทุกข์” จากนั้นท่านก็ไปทำกิจของท่าน คือเดินจงกรมบนกุฎีของท่าน

ตลอดทางที่กลับบ้าน ข้าพเจ้าคิดในใจถึงปรากฏการณ์ที่ท่านอาจารย์หลวงปู่เฒ่าของเรานี้ผิดแปลกไปกว่าครั้งก่อนๆ มาก เมื่อถึงบ้านก็ได้แต่เพียงปรึกษากับภรรยาเท่านั้น ตั้งใจไว้ว่าจำต้องนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับท่านอาจารย์ลีและอาจารย์สุภาพดู แต่เรื่องยังไม่ถึงท่านอาจารย์ทั้งสอง เหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในตอนเช้ามืด วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๒ มีคนบ้านดงเย็นมาส่งข่าวว่า ท่านอาจารย์ใหญ่พรหม จิรปุญโญ อาพาธหนัก ข้าพเจ้าไม่ได้รอช้า รีบเขียนใบลาให้ครูในโรงเรียนส่งไปทางอำเภอ ข้าพเจ้าจึงได้ชักชวนแพทย์ประจำตำบลโพนสูง คือ นายสุนทร ราชหงษ์ ไปด้วย ถึงบ้านดงเย็นก็รีบพากันกราบมนัสการท่าน

ปรากฏว่าตอนนั้นท่านมีอาการสงบ นอนนิ่งเช่นกับคนนอนหลับธรรมดา อนามัยตำบลดงเย็น และนายสุนทร ราชหงษ์ เอาปรอทวัด และให้น้ำเกลือตลอดเวลา อาการยังไม่ดีขึ้นเลย จนกระทั่งเวลา ๑๓.๓๐ น. ข้าพเจ้าจึงได้รีบเดินทางเข้าไปยังอำเภอสว่างแดนดินเพื่อปรึกษานายแพทย์ และขอเชิญไปตรวจอาการของท่านอาจารย์ แต่ได้รับคำปฏิเสธ บอกว่าท่านเป็นโรคชราไม่มีทางแก้ไข ข้าพเจ้าจึงได้ไปร้านขายยาและซื้อยาตามที่อนามัยตำบลสั่ง จึงกลับบ้านเพื่อรับเอาภรรยาไปด้วย ถึงบ้านดงเย็นเวลา ๑๗.๓๐ น.

ขณะไปถึงวัดประสิทธิธรรม ปรากฏว่ามีพระเณร ชี และญาติโยมเต็มกุฎีและใต้ถุนกุฎี ข้าพเจ้าจึงรีบขึ้นไปบนกุฎีกราบมนัสการท่าน พระเณรที่อยู่ข้างซ้ายมือได้หลีกให้ข้าพเจ้าเข้าไปถึงตัวท่าน ข้าพเจ้าได้จับดูชีพจรข้างซ้าย ปรากฏว่าชีพจรอ่อนมากแทบไม่เดินเลย จึงกล่าวกับท่านอาจารย์สอนที่เฝ้าอยู่ใกล้ชิดว่า แย่แล้วครับอาจารย์ พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป พอพูดขาดคำท่านอาจารย์ก็ลืมตาขึ้น ตอนนี้ข้าพเจ้าดีใจมากเพราะเข้าใจว่าท่านฟื้นขึ้นมา จึงได้เรียกท่าน แต่ปรากฏว่าไม่มีเสียงตอบ แล้วท่านก็หลับตาพร้อมกับประณมมือขึ้นถึงหน้าอกมนัสการพระรัตนตรัย ชีพจรของท่านก็หยุดเดิน พระคุณท่านหลวงปู่ที่เคารพสักการะยิ่งของข้าพเจ้าได้มรณภาพด้วยอาการสงบเยือกเย็น เมื่อเวลา ๑๗.๓๐ น. ของวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๒

เหมือนประทีปดวงใหญ่ที่เคยส่องแสงสว่างหนทางแห่งชีวิตแก่ข้าพเจ้า หรือเหมือนร่มไม้ใหญ่ที่เคยให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ข้าพเจ้า บัดนี้ต้นไม้นั้นได้พังทลายไปจากข้าพเจ้าเสียแล้ว จะหาที่ไหนได้อีกในชีวิต นี้แหละท่านทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ผมได้รับประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ในชีวิตอีกครั้ง สมกับคำที่ท่านหลวงปู่ที่ล่วงไปเตือนผมไม่กี่วัน เพื่อให้พวกเราที่ยังลุ่มหลงมัวเมาได้รู้และเตรียมตัวไว้ เพื่อไม่ให้กลัวตายอย่างตัวท่าน นับว่าท่านไม่หวั่นไหวแล้ว เปรียบเหมือนกุญชรที่ฝึกดีแล้ว ย่อมไม่พรั่นต่อลูกศรที่มาจากทิศต่างๆ ในเวลาเข้าสู่สงครามฉะนั้น

ดังนั้น โอวาทของท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า มัจจุราชไม่เว้นมนุษย์สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดมาบนพื้นพิภพนี้ มีการแตกดับไปทั้งสิ้น ท่านหลวงปู่พรหม เป็นพระเถระที่มั่นคงหนักแน่นในพระธรรมวินัยประพฤติพรตพรหมจรรย์เนกขัมมภิรัต มีวัตรปฏิบัติอันดีงามตามทางอริยมรรค เป็นวิมุติหลุดพ้น ถึงแม้สรีระร่างกายจะแตกดับ คุณงามความดีที่ท่านได้ทำไว้เป็นของไม่ตาย เป็นมรดกตกทอดไว้ให้แก่พวกเราชั่วกาลนานนับว่าเกิดมาไม่เสียที เพราะท่านได้ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้เต็มเปี่ยมด้วยความไม่ประมาท ถือว่าได้ทำประโยชน์ทั้ง ๓ คือ

- อัตตัตถจริยา ประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่ตน

- ญาตัตถจริยา ประพฤติให้เป็นประโยชน์หมู่ญาติ

- โลกัตถจริยา ประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่ชาวโลกทั่วไป

นับว่าเจริญรอยตามยุคลบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงความเป็นสาวกในพระธรรมวินัยนี้สมบูรณ์ทุกประการ ฯ
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



เครื่องอัฐบริขารของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ



.............................................................

คัดลอกมาจาก ::
หนังสือชีวประวัติของพระอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญ
อดีตเจ้าอาวาสวัดประสิทธิธรรม จังหวัดอุดรธานี

http://www.geocities.com/jirapoonyothera/                                                                                       

...........................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=19903

17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ



ภาพขยายด้านหน้าของเหรียญที่ 1



ภาพขยายด้านหลังของเหรียญที่ 1
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


ภาพขยายด้านหน้าของเหรียญที่ 2



ภาพขยายด้านหลังของเหรียญที่ 2
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


ภาพขยายด้านหน้าของเหรียญที่ 3



ภาพขยายด้านหลังของเหรียญที่ 3
20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-1 16:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



นำข้อมูล-รูปภาพเหรียญหลวงปู่พรหม มาจาก...คุณนก ไชโย                                                                                       

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้