Entry เมื่อวาน ได้คุยกับคุณ SriNapa ในช่วงแสดงความเห็นว่าเคยหลงโอภาส คิดไปว่าเป็นดวงธรรม วันนี้เลยอยากเล่าถึงเหตุการณ์นั้นค่ะ
เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๗ ปีที่แล้ว คืนหนึ่งดูหนังไททานิคก่อนนอน ผู้สร้างเค้าช่างทำดีนัก ฉากท้ายที่เห็นผู้คนลอยตายเกลื่อนทะเล ให้ความรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
เลยคิดขึ้นว่าคนเราก็เท่านี้ ดีชั่ว ยากมี สุดท้ายก็หนีความตายไม่พ้น ต้องทิ้งร่างเกลื่อนกล่น
แล้วจึงทำสมาธิ คืนนั้นรู้สึกว่าจิตสงบเป็นพิเศษ พักเดียว ก็เห็นดวงแก้วสุกสว่าง กระจ่างราวดวงอาทิตย์เล็กๆ ผุดขึ้นกลางความมืดใต้เปลือกตา ความที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเห็นอะไรได้ในสมาธิ จึงสงสัย ว่าอะไรนั่น สวยจังเลย แล้วหลงจ้องมองดวงใสสว่างนั้นอย่างหลงใหล
เท่านั้นเองค่ะ ตกวูบหายไปเลย เหมือนดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นหลังเขา มากระจ่างอยู่กลางฟ้าชั่วขณะ แล้วตกลับหลังเขาไปตามเดิม
พอดีมีเพื่อนที่เค้าทำสมาธิสม่ำเสมอ จึงไปถาม เค้าบอกว่าเป็นดวงธรรม ตอนนั้นก็เชื่อเค้า ( หลงเชื่ออยู่เป็นปีเหมือนกันค่ะ พอทำสมาธิครั้งต่อๆมา ก็ปรารถนาเห็นดวงแก้วนั้นอีก )
แต่พอมาหาความรู้ด้วยตัวเองเอง จึงเริ่มไม่แน่ใจ จนในที่สุด ก็เชื่อว่าไม่ใช่ ที่เห็นเป็นแค่วิปัสสนูปกิเลสที่เรียกว่าโอภาส เท่านั้น
อยากนำข้อเขียนของหลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ เกี่ยวกับเรื่องนี้ มาเล่าต่อค่ะ
“ การทำสมาธิ เมื่อจิตลงสู่ความสงบแล้ว ย่อมมีมารเข้ามาแทรกซ้อนได้ง่าย และทำให้จิตเกิดความเห็นผิด ในกลลวงของกิเลสตัณหาส่วนมาก มารจะแฝงเข้ามาในรูปนิมิตที่เกิดจากสมาธิ และทำให้จิตมีความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของจริงเพราะกิเลสอยู่ที่จิต จึงหลอกจิตได้ง่าย เช่น จิตมีความสงบแล้ว ก็จะเกิดแสงสว่างในลักษณะต่างๆ จะเข้าใจเองว่าแสงสว่างนี้เป็นปัญญาบ้าง เป็นวิปัสสนาญาณบ้าง เป็นนิโรธสมาบัติบ้าง บางครั้งมีแสงสว่าง มีทั้งรูปนิมิต เป็นไปในลักษณะต่างๆ เช่น เห็นเด็กเกิดใหม่บ้าง เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ และเห็นเป็นคนตายนอนอยู่ข้างหน้าบ้าง หรือเห็นท้องฟ้าที่สว่าง หรือเห็นก้อนเมฆ เห็นดวงดาว เห็นแม่น้ำ เห็นฟองน้ำ หรือเห็นเป็นนานาชนิด หรือพระพุทธรูป เห็นดวงแก้ว
การเห็นอย่างนี้จะตีความหมายไปว่าเป็นวิปัสสนาญาณไม่ได้ จะตีความหมายว่ามีความรอบรู้ในสรรพสังขารก็ไม่ถูก จะเข้าใจว่าตนรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมก็ไม่ได้ นี้เป็นเพียงนิมิตที่เกิดขึ้นจากสมาธิเท่านั้น ถ้าผู้มีปัญญาเป็นพื้นฐานมาแล้ว นิมิตนี้จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาด้วยเป็นอย่างดี หรือถ้าผู้มีปัญญาเฉียบแหลมฝังอยู่ที่จิตแล้ว นิมิตต่างๆจะไม่เกิดขึ้น เพราะนิมิตต่างๆนั้นยังตกอยู่ในสังขาร เป็นของไม่เที่ยงด้วยกันทั้งหมด ( ตอนนี้กระจ่างแล้วเรื่องนิมิตล่าสุดที่ถามไปยังพระคุณเจ้า ที่ท่านเมตตานักตอบมาว่าให้มีสติ และอย่าปรุงแต่งต่อ ยังแอบคิดต่อว่า ที่จริง ต้องบอกว่าท่านเมตตายิ่งนักต่างหาก ที่ไม่บอกตรงๆว่าอย่าไปโง่ ไปหลงนิมิต หวุดหวิดหน้าแตกไปแล้ว.... ใช่มั๊ยเจ้าคะ )
จิตที่มีปัญญาเป็นพื้นฐานมาแล้ว จะให้กิเลสสังขารมาหลอกลวงจิตได้ยาก เพราะปัญญาเป็นสิ่งที่รู้รอบ รอบรู้ในสรรพสังขารตามความเป็นจริงอยู่แล้ว นิมิตนั้นเหมือนนักต้มตุ๋นหลอกลวงอันดับโลก แต่ก็จะต้มตุ๋นหลอกลวงได้เฉพาะบุคคลที่หัวอ่อนเท่านั้น จะไปหลอกลวงต้มตุ๋นบุคคลที่มีความฉลาดนั้นไม่สำเร็จเลย เขาจะต้มตุ๋นหลอกลวงกับใคร เขาต้องเข้าใจในความต้องการของคนคนนั้น
ถ้าผู้ต้องการเงิน เขาก็เอาเรื่องของเงินนั่นแหละมาเป็นเครื่องหลอกลวง เอาเงินมาออกกลอุบายให้คนนั้นตายใจ จึงหลอกลวงเอาเงินคนได้ ถ้าผู้ต้องการความสวยงาม เขาก็เอาเครื่องสำอางนั่นแหละมาเป็นสิ่งหลอกลวงเพื่อให้ตายใจฉันใด กิเลสสังขารหลอกลวงจิต กิเลสสังขารก็เอาสิ่งที่จิตมีความต้องการนั่นแหละมาหลอกลวงจิต จิตมีความต้องการในสิ่งใด กิเลสสังขารก็เอาสิ่งนั้นมาหลอกลวงจิต เพราะกิเลสสังขารอยู่ที่จิต จึงหลอกจิตได้ง่าย ถ้าจิตหยาบ กิเลสสังขารก็เอาสิ่งหยาบๆมาลวงให้จิตหลง ถ้าภาวนาจิตมีความสงบละเอียด กิเลสสังขารก็หาสิ่งละเอียดมาหลอกลวง ฉะนั้น จิตจึงถูกกิเลสสังขารหลอกลวงต้มตุ๋นมาตลอด ไม่ว่าอยู่ในเพศใด ฐานะสูงต่ำอย่างไร คนรวย คนจน ตลอดจนกำพร้าอนาถา ขอทาน คนบอดหนวก ธาตุขันธ์พิกลพิการ ก็ถูกกิเลสสังขารหลอกลวงทั้งนั้น”
เคยโง่มาแล้ว จึงอยากนำมาเล่าต่อค่ะ คนที่ฉลาดกว่าดิฉันมีอยู่มาก แต่ก็อยากเป็นคนโง่คนสุดท้ายค่ะ
|