ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1769
ตอบกลับ: 1
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

“ทองปาน” นักโทษที่คงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า ทั้งๆที่ไม่มีของขลังอะไรเลย?

[คัดลอกลิงก์]
เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์จริง ที่เกิดขึ้น ณ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี มีครอบครัวหนึ่งมีฐานะค่อนข้างยากจน ก็ขวนขวายทำมาหากินรับจ้างทำนาทำสวนโดยไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ฝ่ายสามีชื่อนายทุ่น ภรรยาชื่อลำดวน แม้ว่าชีวิตไม่อาจจะแสวงหาความหรูหราฟุ่มเฟือยได้อย่างคนอื่น แต่ว่าสามีภรรยาคู่นี้ก็มีความสุขตามประสา จนกระทั่งลำดวนตั้งครรภ์พอครบกำหนดก็คลอดลูกคนแรกเกิดมาเป็นผู้ชาย มีร่างกายสมบูรณ์ดี
แต่ว่ามีความแปลกประหลาดติดตัวมาตั้งแต่เกิดคือเจ้าหนูน้อยคนนี้มีลิ้นดำ ลักษณะเป็นปานดำแผ่เต็มบริเวณลิ้นทั้งบนทั้งล่าง หมอตำแยที่มาช่วยทำคลอดเป็นคนนำข่าวนี้แพร่ออกไปจึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้าน บางคนก็บอกว่า เด็กคนนี้เป็นกาลกิณีต่อพ่อแม่ แต่ลำดวนก็ไม่ได้สนใจกับคำกล่าวร้ายนั้น เธอรักและอาทรห่วงใยสายโลหิตเหมือนกับแม่ทุกคนที่รักลูกของตัวไม่มีคลอนแคลนเป็นอื่นไปได้
เด็กน้อยได้รับการตั้งชื่อว่า “ทองปาน” และเติบโตขึ้นมาตามวัย จนกระทั่ง อายุได้ 7 ขวบ พ่อกับแม่ก็เกิดมีปัญหากันอย่างรุนแรงถึงขั้นหย่าร้างแยกทางกันเดิน ลำดวนพาทองปานไปอยู่ด้วย ส่วนพ่อก็มีครอบครัวใหม่ ต่อมาลำดวนได้คู่ชีวิตคนใหม่ชื่อ “นายจันทร์” ทั้งสองคนหันมาทำข้าวแกงขายมีรายได้พอเลี้ยงชีพไม่ลำบาก ขณะที่ลำดวนมีความสุขกับนายจันทร์ เจ้าหนูทองปานต้องเก็บความระทมทุกข์อยู่เงียบ ๆ เพราะพ่อเลี้ยงไม่ชอบหน้าเขาเอาเสียเลย เวลานั้นทองปานอายุ 10 กว่าปีแล้ว
เมื่อพ่อเลี้ยงใช้ให้ทุบหัวปลา หรือว่าเชือดไก่เพื่อเอาไปผัด ไปแกงขายทองปานก็ไม่ยอมทำ เพราะว่าสงสารสัตว์เหล่านั้น พ่อเลี้ยงก็โมโหด่าว่าเฆี่ยนตีเป็นประจำ แม่เองก็พลอยเห็นดีเห็นงามตามไปกับพ่อเลี้ยงด้วย หาว่าทองปานขี้เกียจไม่ช่วยทำมาหากิน ทองปานรู้สึกน้อยใจเสียใจเชื่อว่าแม่สิ้นรักตัวแล้ว
เมื่อถูกพ่อเลี้ยงก่นด่าและเฆี่ยนตีหนักเข้า ทองปานจึงหนีออกจากบ้านไปขอทำงานเป็นลูกจ้างอยู่กับเถ้าแก่กิมเจียงซึ่งเป็นเศรษฐีคนหนึ่งที่ อ.ดำเนินสะดวก ลำดวนได้ตามมาให้กลับบ้าน ทองปานก็ไม่ยอมกลับแม่จึงฝากฝังเอาไว้กับเถ้าแก่กิมเจียง แล้วแม่ก็กลับไป ทองปานเป็นเด็กหัวอ่อนว่านอนสอนง่าย ขยันขันแข็ง เถ้าแก่กิมเจียงจึงรักและเอ็นดูเหมือนหนึ่งเป็นลูกเป็นหลาน ให้ความอุปการะตามความสมควรแก่ฐานะทำให้ทองปานมีความสุขยิ่งกว่าอยู่กับพ่อเลี้ยงและก็แม่ตัว
พออายุครบบวช เถ้าแก่กิมเจียงก็ให้บวชอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ครบพรรษาจึงได้สึกออกมา กลับมาทำงานกับเถ้าแก่กิมเจียงผู้มีพระคุณต่อไป เถ้าแก่กิมเจียงมีกิจการเดินรถเมล์โดยสาร กับเรือยนต์ลากจูงขึ้นล่องตามแม่น้ำแม่กลอง นับเป็นธุรกิจที่มีกำไรไม่ใช่น้อย จึงมีคู่แข่งขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ คือ “เสี่ยกัง” ซึ่งเสี่ยกังก็ทำกิจการรถเมล์โดยสาร และเรือยนต์ลากจูงเหมือนกัน เสี่ยกังผู้นี้ออกลายนักเลงมาตั้งแต่เริ่มหนุ่ม เมื่อได้คุมกิจการของครอบครัว เขาก็วางแผนครอบครองสัมปทานเดินรถเมล์โดยสาร และเรือยนต์ลากจูงเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว อาศัยว่ามีเงินและมีลูกน้องประเภทร้ายเอาไว้ใช้สอยหลายคน เสี่ยกังก็เริ่มกลั่นแกล้งบีบคั้นกิจการของฝ่ายเถ้าแก่กิมเจียงอย่างหมดความเกรงใจ
ทำให้เถ้าแก่กิมเจียงเคียดแค้นอย่างสุดจะทน เถ้าแก่จึงเรียกทองปานมาปรึกษาระบายความคับแค้นแน่นอกให้ฟัง แล้วก็ขอให้ทองปานลอบยิงเสี่ยกังเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ฝ่ายนั้นกลั่นแกล้งรังควานตนให้ขึ้นกิจการต้องล่มจม พระคุณของเถ้าแก่กิมเจียงที่อุปการะเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ๆ ทำให้ทองปานปฏิเสธไม่ได้ จึงยอมตกปากรับคำเป็นเพชรฌาตปลิดชีวิตเสี่ยกังให้ เถ้าแก่กิมเจียงจึงหาปืนเถื่อนและกระสุนอีกจำนวนหนึ่งให้ทองปานเอาไปซ้อมยิง
กระทั่งมั่นใจว่ายิงคนไม่พลาดแน่ เถ้าแก่กิมเจียงกับทองปานจึงวางแผนสังหารเสี่ยกังกันอย่างแยบยล เพราะว่าการบุกเข้าไปยิงเสี่ยนักเลงคนนี้ซึ่ง ๆ หน้า ย่อมไม่มีทางสำเร็จ เนื่องจากเสี่ยกังมีลูกน้องที่เป็นมือปืนคอยระแวดระวังรอบตัวหลายคน
ในคืนวันลอบสังหาร คืนนั้นดึกมากแล้ว ทองปานมาปรากฏตัวอยู่ในเงามืดใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ กับห้องแถวของเสี่ยกัง มีปืนบรรจุกระสุนมาเต็มอัตรา มีกระป๋องใส่น้ำมันเบนซินมากระป๋องหนึ่ง รอจนกระทั่งแน่ใจว่า คนในบ้านนอนหลับกันหมดแล้วก็หิ้วกระป๋องน้ำมันเบนซินย่องไปที่หน้าห้องแถว ราดน้ำมันไปตรงแผงประตูที่เป็นไม้ แล้วจุดไม้ขีดไฟโยนเข้าใส่ ไฟลุกพรึ่บขึ้นมาในทันที ทองปานถอยออกมา พลางดึงปืนสั้นที่พกข้างเอวขึ้นมากระชับไว้ในมือ แล้วร้องตะโกนเรียกเสี่ยกัง “เสี่ย ๆ ไฟไหม้ ไฟไหม้หน้าบ้าน” เสียงตะโกนของทองปานได้ผล


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2018-7-9 23:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เสี่ยกังลุกพรวดพราดด้วยความตกใจที่ไฟไหม้บ้าน จึงวิ่งลงมาจากชั้นบน ตะโกนเรียกคนในบ้านให้ตื่น แล้วลนลานเปิดประตูหน้าบ้านทันที สมุนมือปืนที่อยู่หลังบ้าน เพิ่งจะงัวเงียลุกขึ้น พอประตูหน้าเปิดผาง เสี่ยกังก็เผชิญหน้ากับทองปานที่ยืนถือปืนคอยอยู่แล้ว ทองปานก็เหนี่ยวไกลั่นกระสุนเข้าใส่เสี่ยกัง 2 นัดซ้อน “เปรี้ยง เปรี้ยง” เสี่ยกังล้มฟาดตรงหน้าประตูทันที แล้วทองปานก็ออกวิ่งหนี
ในจังหวะนั้นบ้านใกล้เรือนเคียงได้เสียงร้องตะโกนว่าไฟไหม้ ก็กรูกันออกมาดู พร้อม ๆ กับลูกน้องมือปืนของเสี่ยกังที่พรวดออกมาเห็นเจ้านายนอนฟุบจมกองเลือดก็เผ่นตามทันที ทองปานที่ยังอ่อนหัด เมื่อเห็นคนกรูเกรียวกันออกมาก็ตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรถือปืนเร่อร่าอยู่กลางถนน สมุนมือปืนเห็นเข้า ก็ระดมยิงเข้าใส่จนทองปานถลาแต่ว่ากระสุนทุกนัดไม่อาจจะทะลวงผ่านเนื้อหนังของเขาเข้าไปได้เลย ไม่ทันที่ทองปานจะตะเกียกตะกายลุกขึ้น ชาวบ้านและลูกน้องเสี่ยกังก็กรูมาถึงตัว ทั้งตีทั้งแทงจนทองปานสลบคาที่ แล้วก็ถูกมัดนำตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนเสี่ยกังตายคาที่
ทองปานปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เถ้าแก่กิมเจียงก็ตั้งทนายขึ้นสู้ความเต็มที่ แต่พยานหลักฐานทางอัยการแน่นหนากว่า ศาลราชบุรีจึงพิพากษาตัดสินประหารชีวิตทองปานให้ตายตกไปตามกัน ทองปานถูกส่งตัวมายังเรือนจำกลางบางขวางเพื่อรอการประหาร เขาพยายามทำฎีกาพิเศษเพื่อทูลเกล้าถวายฎีกาขอพระมหากรุณาธิคุณลดโทษจากประหารชีวิตลงมาเป็นตลอดชีวิต แต่ฎีกาพิเศษถูกยกเสีย
ดังนั้นทองปานจึงหมดหวังที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้ ทองปานผู้กลายเป็นนักโทษประหารเพราะความกตัญญู รอคอยความตายที่จะมาถึงอย่างเศร้าซึม
ในที่สุดวันประหารชีวิตก็ถูกกำหนดลงมาให้ประหารเวลาเช้ามืดของวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๐ วันนั้นเวลาตีห้า เจ้าพนักงานก็คุมตัวทองปานไปยังแดนประหาร ที่นั่นผู้บัญชาการเรือนจำและเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ก็มารอคอยอยู่พร้อมแล้ว ทางเรือนจำได้นิมนต์หลวงปู่พลอย วัดบางแพรก มาเทศน์ให้ฟังเป็นครั้งสุดท้าย หลวงปู่พลอยก็นำเอาเรื่องกรรมดีกรรมชั่วมาเทศน์ซึ่งทองปานนั้นก็พนมมือรับฟังอย่างสงบ หลังจากหลวงปู่เทศน์จบลง ทองปานก็ได้ถวายปัจจัย ๒๐ บาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนสุดท้ายที่มีติดตัว
ต่อจากนั้นพนักงานก็ประคองทองปานเข้าหลักประหาร มัดลำตัวข้อศอกตรึงกับไม้กางเขน ในมือก็มีดอกไม้ธูปเทียนพนมเอาไว้ แล้วก็รูดม่านสีน้ำเงินปิดเป็นฉากกั้น เลื่อนเป้าตาวัวที่เป็นเป้าปืนให้ตรงกับตำแหน่งหัวใจ นายเหรียญ เพิ่มกำลังเมือง เพชรฌาตมือหนึ่ง กับนายติ๊บ มียศ เพชรฌาตมือสอง ก็เข้าประจำที่ นายเหรียญปรับศูนย์ปืนกลแบล็คมันบนแท่นเรียบร้อยแล้ว
หัวหน้าแผนกผู้คุมก็ชูธงแดงขึ้นเป็นสัญญาณเตรียมยิงทันทีที่ธงแดงถูกตวัดลง นายเหรียญ เพิ่มกำลังเมือง ก็กดไกปืนกลแบล็คมันด์ทันที กระสุนทั้งชุดก็พุ่งทะลวงผ่านเป้าตาวัวเข้าไปอย่างแม่นยำ แต่น่าอัศจรรย์ยิ่งที่กระสุนไม่ระคายผิวหนังของทองปานแม้แต่นัดเดียว หัวหน้าแผนกควบคุมก็โบกสัญญาณธงแดงอีกครั้ง เพื่อให้นายติ๊บ มียศ เพชรฌาตมือสองประหารต่อ นายติ๊บก็ลั่นไกปืนกลแบล็คมันด์กระบอกที่ ๒ จนหมด แต่กระสุนชุดที่ ๒ ก็ไม่สามารถปลิดชีวิตทองปานได้อีก
หัวหน้าแผนกควบคุมจึงเข้าไปรายงานต่อผู้บัญชาการว่า ทองปานอยู่ยงคงกระพันยิงไม่เข้า ผู้บัญชาการก็สั่งให้เพชรฌาตทั้งสองยิงซ้ำอีกคนละชุด ผลปรากฏออกมาเหมือนเดิมคือยิงทองปานไม่เข้า คราวนี้ผู้บัญชาการก็เข้าไปสอบถามทองปานด้วยตัวท่านเอง บอกว่า “นายทองปาน เธอมีเครื่องรางของขลังอะไรอยู่ในตัว” ทองปานก็ตอบว่า “ไม่มีอะไรเลยครับ ผมมีลิ้นดำมาแต่กำเนิดเท่านั้นเอง” ผู้บัญชาการจึงสั่งให้พักการประหารไว้ก่อน แล้วทำรายเหตุงานเรื่องราวยื่นเสนอต่อพระกล้ากลางสมร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ในสมัยนั้น
ส่วนตัวทองปานก็ได้รับการปลดพันธนาการออก แล้วก็นำตัวมาอยู่ที่ตึกบัญชาการ ๗ ชั้นอีกครั้ง เพื่อรอคำสั่งต่อไป สถาพของทองปานมีอาการบอบช้ำอย่างหนักที่กลางแผ่นหลัง แม้ว่าเขาจะหนังเหนียวยิงไม่เข้า แต่ว่าแรงปะทะของหัวกระสุนที่ทะลุเสื้อเข้าไปกระแทกเนื้อหนังอย่างเต็มอานุภาพ ก็ทำให้เกิดอาการช้ำเป็นปื้นสีม่วงปูดบวมเป่งออกมาตรงแผ่นหลัง แม้ว่าทองปานจะดีอกดีใจที่รอดตายมาได้จากการประหารครั้งแรก แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าโอกาสที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปนั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะว่ากรมราชทัณฑ์ได้ระบุกฎข้อบังคับเอาไว้ว่า “ถ้านักโทษประหารคนใด คงกระพันชาตรี ยิงไม่เข้า ก็ให้ประหารชีวิตด้วยสันขวาน โดยให้ใช้สันขวานทุบศีรษะ ให้ตายตกไปตามกัน”
แต่ว่าดวงชะตาของทองปานยังไม่ถึงฆาตจริง ๆ เย็นวันนั้นทางรัฐบาลได้มีประกาศ พระราชทานอภัยโทษในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ คือวันที่ ๒๐ กันยายน ผู้ต้องโทษประหารชีวิตก็เหลือเพียงตลอดชีวิต ทองปานถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปิติยินดีสุดขีด ที่เขารอดมาได้เหมือนปาฏิหาริย์ด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า ทองปานได้รับการลดโทษเหลือตลอดชีวิตและเขาได้ประพฤติตัวเป็นนักโทษชั้นดีมาตลอด และได้รับการลดโทษลงเรื่อย ๆ กระทั่งได้รับอิสรภาพอีกครั้งหนึ่ง หลังจากพ้นโทษแล้วทองปานก็ตัดสินใจบวชเป็นพระภิกษุ แล้วก็ไม่สึกตราบชั่วชีวิต
นี่คือเรื่องมหัศจรรย์ของคนที่อยู่ยงคงกระพัน โดยที่ไม่มีอานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องรางของขลัง หรือว่าวัตถุมงคลคุ้มครองตัวเองแม้แต่อย่างเดียว นอกจากมีลิ้นดำมาแต่กำเนิดเท่านั้น เป็นเรื่องเหลือเชื่อแต่เป็นเรื่องจริงที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งอีกเรื่องหนึ่ง….
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://ev-time.net
ที่มาจาก William Lhue

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้