ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 7154
ตอบกลับ: 27
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ฤๅวิกฤตต้มยำกุ้งวนมาอีกรอบ

[คัดลอกลิงก์]

เข็น  "ส่งออก" ไม่ขึ้น
ส่อติดลบหนัก ลาม "จีดีพี"
ถอยรูดต่ำ 3%


ฤๅวิกฤตต้มยำกุ้งวนมาอีกรอบ








มติชนสุดสัปดาห์ 10-16 กรกฎาคม  2558






จากตัวเลขส่งออกเดือนพฤษภาคม 2558  ที่ติดลบหนักถึง 5.01% ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ทำให้ 5 เดือนแรกปีนี้ ส่งออกไทยติดลบ  4.2% หรือมีมูลค่า 88,694  ล้านเหรียญสหรัฐ


โดยติดลบจากสินค้าส่วนใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม  ภาคเกษตรและเกษตรแปรรูป ติดลบเฉลี่ย 10% ด้านตลาดส่งออกส่วนใหญ่ก็ติดลบแม้ตลาดความหวัง อย่างอาเซียน  ก็ติดลบ 7.2% ญี่ปุ่นติดลบ 4.1% เกาหลีใต้ติดลบ 15.9% สหภาพยุโรป (อียู) ติดลบ 13.7%  ที่ยังดีอยู่แต่ขยายตัวก็ไม่สูง ทั้งสหรัฐ โต 0.4% จีน โต 3.3% ออสเตรเลียโต 18.2% และกลุ่มซีแอลเอ็มวี  (กัมพูชา-ลาว-เมียนมาร์-เวียดนาม) โต 3.5%


ผนวกกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค  ยังติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6  เช่นกัน


ซึ่งทางวิชาการระบุแล้วว่าเป็นภาวะเงินฝืดทางเทคนิค  นั่นสะท้อนถึงประชาชนทั่วไปยังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ  และชะลอการใช้จ่ายหรือทำกิจกรรมที่ต้องเพิ่มรายได้


เมื่อดูองค์ประกอบด้านอื่นๆ  ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย ทั้งการลงทุนภาครัฐ ยังถูกมองว่าล่าช้ากว่าแผนงานที่ได้ระบุไว้  ไม่ว่าจะการก่อสร้างโครงการด้านขนส่ง โครงการปรับปรุงสนามบิน หรือ การประมูล 4 จี  และยังไม่มั่นใจต่อแผนการดึงตัวเลขส่งออกในอนาคต ทำให้ภาคลงทุนของเอกชนชะงักลง  ดูได้จากตัวเลขการนำเข้าในกลุ่มทุนและกลุ่มวัตถุดิบเพื่อการผลิต ลดลงอย่างมาก  จนทำสถิติใหม่ต่ำสุดอีกครั้งรอบ 10 ปี  ล้วนเป็นแรงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น


จะพูดว่าเกิดความรู้สึกระส่ำก็ได้...เพราะหลังจากตัวเลขต่างๆ ออกเผยแพร่สู่สาธารณะ ผลที่ตามมา คือ ทุกหน่วยงานรัฐ เอกชน และนักวิชาการ  ต่างออกมาส่งสัญญาณถึงการปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)  ทั้งสิ้น


และทั้งหมดเห็นพ้องว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ ขยายตัวไม่เกิน 3%  แน่นอน






เริ่มจากสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สภาผู้ส่งออก)ออกแถลงปรับลดคาดการณ์ตัวเลขส่งออก จากเดิมมองโอกาสเป็น 0% เป็นติดลบ 2%  เพราะเชื่อว่าครึ่งปีมูลค่าการส่งออกก็จะไม่เพิ่มจากครึ่งปีแรกมากนัก ซึ่งหากจะให้ส่งออกปีนี้เป็น 0%  เฉลี่ยต่อเดือนของครึ่งปีหลังจะผลักดันมูลค่าให้เกิน 19,200  ล้านเหรียญสหรัฐ


ตรงกันข้าม ดูความเป็นไปได้  หากมูลค่าการส่งออกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตอนนี้คือ 18,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อเดือน การส่งออกจะติดลบทันที  3.5%


ตามด้วยผลวิเคราะห์จากสถาบันการเงินและนักวิชาการ  ปรับลดมุมมองการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดีสุดไม่เกิน 3% แล้วทั้งสิ้น ยกเว้น ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และหอการค้าไทย ยังมองในภาพบวกโต 3.2% แม้ส่งออกไทยอาจติดลบ 1-2%  เช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์ ยังคงเป้าหมายจะผลักดันส่งออกโต 1.2% บนพื้นฐานเศรษฐกิจโต 3% แม้กระทั่งทีม  ครม.เศรษฐกิจ ก็เริ่มหวั่นไหว ออกมาเปรยๆ ถึงว่าหากการส่งออกติดลบหนัก  ห่วงกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่หวังไว้ 3-4% คงไม่ได้เห็น!


ดังนั้น  ปลายเดือนกรกฎาคมนี้ ก็จะเห็นการปรับตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  ที่เดิมคาดการณ์โตเกิน 3% สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่เดิมคาดไว้  3.7%


โดยทุกภาคส่วนมองบนปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ ทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัว  ตั้งแต่ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเมืองโลกยังสูง เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังฟื้นตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์  ศักยภาพและขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไม่ดีขึ้น ปัญหาด้านโลจิสติกส์ต้นทุนสูงและไม่เพียงพอ  ปัจจัยที่ดูจะเข้มข้นขึ้นในช่วงนี้  คือวิกฤตหนี้ของกรีซอาจลุกลามไปทั่วยุโรป






สถานการณ์ภัยแล้งสลับการเกิดพายุยังไม่อาจประเมินได้ว่าจะก่อความเสียหายต่อผลผลิตและรายได้รากหญ้าแค่ไหนหรือค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงและดอกเบี้ยนโยบายปรับลดถึง 2 รอบ ก็ยังส่งผลโดยตรงต่อการส่งออก ซึ่งทางวิชาการระบุว่าต้องใช้เวลาหลังจากปรับลด 3-4 เดือนอย่างช้า  หรือจนกว่าสัญญาที่ทำไว้เดิมจะหมดลง


รวมถึงต้องต่อสู้กับการเพิ่มกฎระเบียบทางการค้าของนานาชาติไม่แค่ปัญหาองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ไอเคโอ) ปักธงแดงไทย ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) ซึ่งจะชี้ชะตาในปลายไตรมาส  3


เฉพาะไอยูยูหากถูกขึ้นบัญชีดำไทยจะกระทบต่อการส่งออกสินค้าทะเลไปอียูหายไปทันทีกว่า700ล้านเหรียญสหรัฐ ยังจะมีเรื่องสิทธิประโยชน์และกฎระเบียบจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)  ที่จะเริ่มใช้สมบูรณ์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2559  แต่รัฐบาลไทยยังไม่ขยับอะไร


เหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นร้อนต่อเศรษฐกิจไทย  ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้เป็นต้นไป....และดับฝันเศรษฐกิจไทยโต 3%  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ทำให้ภาคเอกชนออกมาเตือนให้รัฐบาลรับมือแล้วว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระดับต่ำแค่ปีละ2-3% ต่อเนื่องอีก 2-3 ปี จากปัจจัยที่เกิดขึ้นกับไทยในช่วงนี้


หากปรับตัวทัน คือพยายามพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้อยลง จากปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 60%  เพิ่มการพึ่งพาภาคท่องเที่ยว การบริโภคและลงทุนในประเทศ ก็น่าจะพอทดแทนได้  แต่ในความจริงคงต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี






หลายฝ่ายจึงมองว่าทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้คือจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีอารมณ์ในการบริโภคและกระตุ้นให้ประชาชนใช้เงินตามปกติ ถือว่าเป็นเรื่องท้าทายของรัฐบาล และเป็นการบ้านหนักของทีมเศรษฐกิจ  เพราะตามหลักวิชาการหรือในภาวะปกติเมื่อผู้มีรายได้น้อยมีรายได้ มีเงินในกระเป๋าเพิ่มก็จะใช้จ่ายทันที  หากรัฐสามารถลงเงินเข้าระบบเศรษฐกิจไม่ว่าทางใด คิดคร่าวๆ ในภาวะปกติ หากลงเงิน 1 แสนล้านบาท ไม่เกิน  1-2 เดือน จะเพิ่มเงินในระบบเศรษฐกิจอีก 4-5 เท่า หรือ 4-5  แสนล้านบาท


อีกทางออกที่ต้องเร่งทำ คือ ผลักดันการท่องเที่ยว  ที่ดีอยู่ให้ดีขึ้นๆ อีกเป็นเท่าตัว รัฐต้องเร่งลงทุนให้ได้ตามแผนที่กำหนดไว้  ควบคู่กับการเร่งการใช้จ่ายภาคเอกชน ผ่านความช่วยเหลือด้านการเงินการคลัง  แต่ก็ไม่อยากให้ทำแบบใช้เงินงบประมาณแบบสุรุ่ยสุร่ายเหมือนที่ผ่านมา  โดยรัฐบาลต้องปรับวิธีการกระตุ้นที่เจาะลงไปกลุ่มมีปัญหาและรากหญ้าให้มากขึ้น แต่ไม่ใช่การใช้เงิน  แต่มองเรื่องศักยภาพงานที่จะเกิดขึ้น


ช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือคงต้องลุ้นต่อ  เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าวิกฤตหรือยัง หากย้อนหลังเมื่อครั้งวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 เศรษฐกิจไทยติดลบ 1.37%  แต่ส่งออกปีนั้นโต 28.04% ถัดมาเศรษฐกิจติดลบ 10.51% ส่งออกโต 24.43% หรือครั้งวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์  เศรษฐกิจไทยติดลบ 2.33% ขณะที่ส่งออกติดลบ 11.22%


ล่าสุด  เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองไทยก่อนมีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าบริหารประเทศ เศรษฐกิจไทยโต  2.87% แต่ส่งออกติดลบ 2.43% และในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยโต 0.7% แต่ส่งออกติดลบ  0.3%


เมื่อปีนี้ทุกฝ่ายประเมินว่าส่งออกไทยอาจติดลบ 2% และถึงติดลบ 3.5% จากปัญหาเศรษฐกิจโลก  จึงห่วงว่าเศรษฐกิจไทยอาจใกล้วิกฤตต้มยำกุ้งหรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์หรือไม่


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1436784882
อย่าหวังว่า รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจจะช่วยอะไรประชาชน.... ในเมื่อเค้าไม่เคยเห็นประชาชนอยุ่ในสายตา...
แย่เลยทีนี้
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-18 06:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ตั้งสติรับ "วิกฤต"



เมืองไทย 25 น.

ทวี มีเงิน

โลกของโซเชี่ยลโทษมหันต์คุณอนันต์ เราจะต้องใช้สติปัญญากรองกันเอาเอง



แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีไลน์แพร่บทความชิ้นหนึ่งอ้างถึงผู้ใหญ่ในสถาบันการเงินแห่งหนึ่งที่บอกเล่าถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศและวิธีตั้งรับปัญหา ซึ่งน่าจะเป็นการภายใน


แม้ภายหลังมีข่าวว่า สถาบันการเงินแห่งนั้นปฏิเสธไม่ใช่คำพูดของผู้ใหญ่ท่านนั้นก็ตาม ครั้นพิจารณาดูแล้วไม่ว่าจะเป็นความเห็นของใครก็น่าจะเป็นประโยชน์ จึงจะขอหยิบเนื้อหาบางส่วนมานำเสนอและขยายความในบางช่วงบางตอนเพื่อให้เป็นที่เข้าใจ

และจะได้รู้เท่าทันสถานการณ์เศรษฐกิจที่แท้จริงมากขึ้น


ในเนื้อหาได้กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกไม่ดีมากๆ ทั้งสหรัฐอเมริกา ยูโรโซน และ AEC ต่างประสบปัญหาด้วยกันทั้งสิ้น รวมทั้งตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะจีนยังไม่นิ่ง สำหรับประเทศไทยประสบกับภัยแล้งรุนแรงหนักสุดในรอบหลายปี


สรุปว่าสถานการณ์ทั้งในและนอกประเทศยังไม่ดี


ดังนั้น สิ่งที่เราทุกคนต้องทำ กรณีถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ คือ ห้ามขยายกิจการ ให้รักษาสภาพคล่องคือถือเงินสดไว้มากๆ แต่ถ้ากรณีเป็นพนักงานกินเงินเดือน คือ ห้ามตกงานเด็ดขาด


งานจะหายาก ช่วงนี้หลายบริษัทเริ่มปลดคนงานเพราะไม่มีคำสั่งซื้อ หลายบริษัทยอดขายลดลงกว่า 50%


  ดังนั้นจะต้องทำหน้าที่ตนเองในปัจจุบันให้ดีที่สุด เร่งพัฒนาความรู้ทุกด้านให้ตัวเอง ให้มีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้านมากขึ้น เพราะเงินเดือนและรายได้จะได้เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาพม่า ภาษาเขมร เป็นต้น หรือเรียนปริญญาโทเพิ่มเติม


กรณีที่เป็นหมอ หรือเป็นวิศวกร ควรไปเรียนเพิ่มเติมให้มีความรู้มากขึ้นทุกวิถีทาง ตามที่ตัวเองถนัด


ที่สำคัญควรประหยัดค่าใช้จ่ายทุกชนิด จะต้องออมเงินและรักษาสภาพคล่อง คือ เงินสด ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อะไรไม่จำเป็นต้องอดใจไว้ซื้อปีหน้า หรือไม่ซื้อเลยใน 1-3 ปีนี้

ต้องขยันอดทนเพิ่มมากขึ้น ช่วยกันหารายได้ถ้ามีหนทางทำได้ ทำงานด้วยความเข้มแข็ง อดทนเข้าใจสถานการณ์ เพื่อที่เราทุกคนจะผ่านเหตุการณ์ 2558 นี้ไปได้


อันที่จริงอันนี้ก็เป็นสูตรสำเร็จ เคยใช้กันมาครั้งหนึ่งเมื่อคราววิกฤตต้มยำกุ้งปี'40 ไม่น่าเชื่อว่ายังไม่ทันไรเรากำลังจะต้องทำตัวเหมือนเมื่อ 18 ปีก่อนอีกครั้ง


ขอให้อยู่รอดปลอดภัยทุกคน


http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1437159049
ล่าสุด ซํมซุง ปลดพนักงานไปราว 1,400คน
เผย 6 เดือน บริษัทปิดกิจการแล้ว 6,898 รายby บุญญิสา เพ็งบุญมา17 กรกฎาคม 2558 เวลา 15:27 น.
3.9 K
SHARES

Facebook[url=]Twitter[/url]Google plus



อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย   ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558  มีบริษัทจดทะเบียนเลิกกิจการแล้ว  6,898 ราย  เพิ่มขึ้น 18%
      
น.ส.ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ยอดจดทะเบียนเดือนมิถุนายน 2558 จำนวน 5,161 ราย เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบจากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนปีก่อน และจดทะเบียนเลิก 1,322 ราย เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2558 และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนปีก่อน ทำให้ยอดรวมบริษัทตั้งใหม่ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 มีจำนวนรวม 31,557 ราย เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจดทะเบียนเลิก 6,898 ราย เพิ่มขึ้น 18%
โดยกรมฯ มั่นใจว่ายอดจดตั้งใหม่ทั้งปี 2558 จะเป็นไปตามเป้าที่คาดไว้ 6-6.5 หมื่นราย ทั้งยอดจดทะเบียนเพิ่มน้อย เป็นเพราะกรมฯได้เข้มงวดเรื่องเงินทุนจัดตั้ง และการจัดตั้งบริษัทท่องเที่ยว จึงเหลือคนที่ทำธุรกิจจริง และที่เลิกกิจการเพิ่มขึ้น เพราะเข้มงวดกับบริษัทที่ไม่ทำธุรกิจจริงและบริษัทค้าสลากที่มีการจดเลิกเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กรมฯ ให้เข้มงวดกับผู้ค้าขายออนไลน์และทำการฉ้อโกงประชาชนในรูปแบบต่างๆ หากเป็นผู้ประกอบการที่ไม่จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย จะถูกปรับ 2,000 บาท และปรับอีกวันละ 200 บาท และส่งดำเนินคดีตามกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งมีโทษปรับเป็นแสนบาท

ที่มา :  Matichon


7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-19 06:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้น ภาวะเศรษฐกิจโลกก็แย่ หุ้นจีนยังร่วงผลอย ยุโรปใต้ก็อ่วม โดยเฉพาะกรีซ เป็นหนี้ยันลูกหลานเหลนโหลนเลย ถ้าเป็นไปได้ไทยทำQEแบบอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่นมั่งสิ พิมพ์เงินออกมาได้เลยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำ
thongaek ตอบกลับเมื่อ 2015-7-19 12:20
เศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้น ภาวะเศรษฐกิจโลกก็แย่ หุ้นจี ...

ปัญหหาคือความน่าเชื่อถือไม่มีอ่ะดิ
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-7-20 06:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



ลามเป็นโดมิโน หลังซัมซุงโคราช


เลิกจ้างพนง. หอพัก-ร้านอาหาร


อ่วม! ปิดกิจการเป็นแถว













ภายหลังจากที่โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ภายใน จ.นครราชสีมา  ได้ปิดกิจการลงไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การส่งออกลดลง  และได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทำให้ต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน  และเลิกจ้างพนักงานหลายพันคน โดยเฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคม 2558 นี้ บริษัทซัมซุงอิเล็คโทร-แม็คคานิคส์  นครราชสีมา จำกัด ก็ได้มีการเลิกจ้างพนักงานรวมกว่า 1,800 คนนั้น  สถานการณ์เลิกจ้างแรงงานจำนวนมากดังกล่าว ก็ได้ส่งผลกระทบแบบโดมิโนต่อเศรษฐกิจอื่นๆ ด้วย




ล่าสุด วันนี้ (19 ก.ค. 58) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศหอพักให้เช่า  ร้านขายของ และร้านอาหารตามสั่งต่างๆ หน้าบริษัทซัมซุงอิเล็คโทร-แมคคานิคส์ นครราชสีมา จำกัด  ก็เป็นไปด้วยความเงียบเหงา ไม่มีพนักงานโรงงานออกมาจับจ่ายซื้อของกันอย่างคึกคักเหมือนในอดีต  โดยเฉพาะห้องพักให้เช่า ก็ได้มีการติดป้ายประกาศห้องว่าง พร้อมเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกันทุกห้อง  ขณะที่ร้านอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านเนื้อย่างเกาหลี ร้านอาหารอีสาน และร้านอาหารตามสั่ง  ที่ตั้งเรียงรายอยู่หน้าบริษัทซัมซุงฯ ก็ได้ปิดกิจการลงไปเกือบทั้งหมด  พร้อมกับมีการติดป้ายประกาศให้เช่าต่อทุกร้าน




นางจิราภรณ์ สิทธิเกียรติศักดิ์ เจ้าของหอพักกิตติธร  หน้าบริษัทซัมซุงอิเล็คโทร-แม็คคานิคส์ นครราชสีมา จำกัด ภายในเขตอุตสาหกรรมสุรนารี ต.หนองระเวียง  อ.เมือง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานโรงงานที่ถูกเลิกจ้าง  ได้ขอเลิกเช่าห้องและเก็บข้าวของออกจากหอพักไปแล้วจำนวน 7 ห้อง จากทั้งหมด 25 ห้อง  และยังคงทยอยออกไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ โดยหอพักของตนนั้นคิดค่าเช่าถูกมาก  เพียงเดือนละ 1,600 บาทเท่านั้น จึงทำให้ที่ผ่านมามีพนักงานบริษัทซัมซุงฯ มาเช่าอยู่เต็มตลอด  หากครั้งนี้ผู้เช่าทยอยย้ายออกไปทั้งหมดก็จะทำให้สูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  ช่วงนี้ก็ต้องรอดูอีกระยะหนึ่งก่อน โดยมีการติดป้ายประกาศห้องว่างไว้  เผื่อว่าจะมีพนักงานจากโรงงานอื่นมาขอเช่าอยู่ต่อ นางจิราภรณ์ กล่าว




ด้านนางสมบัติ หมวดใหม่ แม่ค้าร้านอาหารอีสาน หน้าบริษัทซัมซุงฯ  ที่ยังคงเปิดอยู่ร้านเดียว กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทซัมซุงฯ ได้เลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก  ซึ่งคนเหล่านั้นเป็นลูกค้าส่วนใหญ่ของร้าน ก็ทำให้ร้านของตนเงียบเหงา จากเดิมที่ช่วงเย็นหลังเลิกงาน  จะมีพนักงานมานั่งจนเต็มทั้ง 12 โต๊ะ ขณะนี้ก็หายไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียง 3-4 โต๊ะเท่านั้น  ซึ่งมาจากบริษัทใกล้เคียง ดังนั้นจึงทำให้ร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายอยู่หน้าบริษัทซัมซุงฯ ประมาณ 10  ร้าน ต้องปิดกิจการเกือบทั้งหมดและประกาศให้เช่าร้านต่อ เพราะอยู่ไม่ได้ นางสมบัติ กล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437281926

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้