เป็นธรรมที่พระพุทธองค์ท่านทรงแสดงแก่ปริพาชกชื่อทีฆนขะ จึงมีชื่อว่าทีฆนขสูตร ณ ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ และในขณะที่พระองค์ท่านทรงแสดงธรรมอยู่นั้น พระสารีบุตรผู้จะได้เป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวาของพระพุทธเจ้าและเป็นเอตทัคคะในทางมีปัญญามากในภายภาคหน้า ก็ได้เข้าเฝ้าถวายงานพัดอยู่ด้วยในขณะนั้น จึงได้ฟังธรรมแสดงมาถึง เวทนา ๓ ใน เวทนาปริคคหสูตร ด้วย จนเกิดสัมมาญาณ จิตหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน สำเร็จพระอรหันตผลในขณะฟังธรรมนั้นเอง เวทนาปริคคหสูตร แสดงการเกิดขึ้นของเวทนาอย่างปรมัตถ์ กล่าวแสดง ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ และอทุกขมสุขเวทนาอันไม่สุขไม่ทุกข์ ว่าล้วนเกิดขึ้นแต่มีเหตุเป็นปัจจัยปรุงแต่งขึ้นทั้งสิ้น จึงย่อมล้วนเป็นสังขาร จึงย่อมมีความเสื่อมไป คลายไป สิ้นไป ดับไปเป็นธรรมดา ตามความในพระสูตรนี้ อันเป็นสภาวธรรมของสังขารทั้งปวง จึงย่อมเนื่องถึงเวทนาทั้ง ๓ จึงย่อมอยู่ภายใต้อำนาจพระไตรลักษณ์หรือธรรมนิยามหรืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงย่อมเป็นเหตุให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์หรือสังสารวัฏเพราะการแสวงหาและยึดมั่นในสุขทุกข์(เวทนา)อย่างไม่รู้จักจบ อย่างไม่รู้จักสิ้น อันเป็นเหตุให้พระสารีบุตรผู้ถวายงานพัดโดยใกล้ชิดและดำริคิดพิจารณาไตร่ตรองตามไปด้วยนั้น เกิดสัมมาญาณขึ้นในขณะนั้น จากการได้ปฏิบัติสั่งสมมาก่อนแล้วด้วยนั้น จึงเป็นปัจจัยให้เกิดนิพพิทาญาณความหน่าย จึงเป็นปัจจัยให้คลายกำหนัด จิตจึงหลุดพ้น สำเร็จอรหัตตผลในบัดนั้น และในขณะแสดงธรรมเดียวกันนั้นเองท่านทีฆนขะก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบันเนื่องจากปัญญาเห็นชอบในระดับโลกุตระ กล่าวคือ เกิดสัมมาญาณในระดับหนึ่งขึ้น คือมีความเห็นเข้าใจอย่างมั่นคงเกิดขึ้นแล้วว่า "สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม(สังขาร)มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้ว สิ่งนั้นๆทั้งหมดย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา" |