ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 19369
ตอบกลับ: 81
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

คนอดทนคือคนโชคดี

[คัดลอกลิงก์]
Sarayut

คนอดทนคือคนโชคดี


ในการที่จะได้สิ่งที่ต้องการ สิ่งหนึ่งที่เราลืมตระหนักไปก็คือว่า บางครั้ง เราไม่สามารถได้ในสิ่ง ที่เราต้องการ ในเวลาที่เราอยากจะได้ บางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดที่เรา จะทำได้ในการจะได้สิ่งที่ต้องการคือ   รอ ! นั่นคือ รอ.. เวลาที่เหมะสม

แล้วทำงานอย่างอื่นไปก่อน หรือตามความผันอื่น ที่ทำให้คุณมีความสุขและเกิดแรงบันดาลใจ  (เหตุผลนี้ ทำให้ผมมีความฝันหลายอย่างในเวลาเดียวกัน *  เพราะเรียนรู้จากประสบการณ์ว่า ความฝันบางอย่าง เราจำเป็นต้องปล่อยวางไปสักพัก เพราะยังไม่ถึงเวลาของมัน)

นั่นไม่ได้หมายความว่าเราขี้เกียจ รอปาฎิหาริย์ หรือรอโชค แต่บางครั้งเราสู้สุดฤทธิ์แล้ว พยายามทุกวิถีทางแล้ว มันก็ยังไม่สำเร็จสักที มองไม่เห็น “แสงสว่างปลายอุโมงค์” เลย

หมายความว่า ยังไม่ถึงเวลาของมัน เราต้องใช้ ความอดทน มากหน่อย ถ้าเวลาไม่เหมาะสม บางสิ่งที่คุณได้ไปก็ไม่มีประโยขน์

ถ้าคุณได้ตำแหน่งที่สูง ในเวลาที่คุณยังไม่พร้อม หรือมี “กับดัก” ล่ออยู่ แต่คุณไม่ทราบ ในตอนนั้น มีหลายครั้ง ที่ผมพลาดตำแหน่งที่ต้องการให้กับคนอื่นไป

ตอนแรกก็รู้สึกเสียใจ แต่พอเห็นเขาต้องออกจากงานนั้นภายในเวลาอันสั้น เพราะสถานการณ์ที่ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของเขา เช่น  นัก ดนตรีสไตรค์ เป็นเวลาหลายๆ เดือน

ออร์เคสตราล้มละลาย หรือเขาทะเลาะกับเจ้านายทำงานด้วยกันยาก ทำให้ผมรู้สึก “โชคดี” ที่ไม่ ได้งานนั้น และก็รู้สึกว่า จริงๆ แล้ว ความอดทนก็มีค่าในตัวของมันเอง

คนที่ “ร้อนรน” ไม่มีความอดทน โกรธ หมดหวัง จะดึงดูด “โชคดี” เข้ามาหาไม่ได้ ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้ หรืออยากจะช่วย คนที่ทำตัว “สบายๆ” น่าคบ ยิ้มแย้มแจ่มใส อดทน

ทำให้คนอื่นสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ หรือทำธุรกิจด้วย สามารถที่จะมีโชคมากกว่า เพราะว่า “โชคดีของคุณ จะมาจากผู้อื่น”

มีหลายคนที่ไม่ เข้าใจดีเรื่อง กฎแห่งแรงดึงดูด ก็จะบ่นว่า ทำตามที่หนังสือบอกแล้ว แต่ไม่เห็นได้รับเลย

บาง ครั้งสิ่งที่เราต้องการ จะไม่เกิดขึ้นในเวลาที่เราต้องการ แต่พอเรา “ไม่สนใจ” มันไปสักพัก ไปทำอย่างอื่นที่น่าสนใจและให้แรงบันดาลใจกับเรามากกว่าในตอนนั้น สิ่งที่เราต้องการกลับวิ่งเข้ามาหาเราเองโดยไม่รู้ตัว

มีคนเคยถามแฮริสัน ฟอร์ดว่า ทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จมากมายขนาดนี้ เขาตอบว่า “ ความอดทน” ทั้งอธิบายต่อว่า “ในวงการณฮอลลีวูด มีนักแสดงหลายคนที่อยากจะมีชื่อเสียง บางคนก็ล้มเลิกไปกลางคัน เพราะมองไม่เห็น “แสงสว่างปลายอุโมงค์” ผมไม่ได้วิเศษอะไร เพียงแต่ผมเป็น คนสุดท้ายที่ยืนอยู ในเวลาที่คนอื่นเขาเลิกกันไปหมดแล้ว”




จาก หนังสือกฏแห่งความโชคดี

ขอบคุณครับ
ยังจำคำสอนนี้ได้เสมอค่ะ (แม้บางทีจะทำไม่ค่อยได้ก็เถอะ ^^" )

"มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะพ่ายแพ้"



ผมเชื่อว่าเราหลายคนคงมีอาการอย่างที่ผมจั่วหัวไว้นะครับว่า "ท้อแท้ ท้อเทียม และท้อถอย" ไอ้อาการทั้งสามท้อดูจะเกิดกับเราได้ในทุกเมื่อเชื่อวัน


ทุกครั้งที่เกิดอาการเหล่านี้ แต่ละท่านมีวิธีจัดการกันอย่างไรบ้างครับ สำหรับผมแล้ว ผมมักใช้เวลาเงียบ ๆ นั่งไตร่ตรองในสิ่งที่ผ่าน ๆ มาแล้วดูว่าตัวเองจะเอาไงต่อไป


บางทีก็น่าแปลกนะครับที่ชีวิตจำเป็นต้องมี "อุปสรรค" เข้ามาทดสอบอยู่เสมอ หมดอุปสรรคนี้ก็มีอุปสรรคอื่นหยิบยื่นเข้ามาให้ขบคิดกันอยู่เรื่อย ๆ ดูเหมือนปัญหาที่ถั่งโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนนั้นคล้ายจะเป็นเครื่องทดสอบกำลังกายและกำลังใจของชีวิตว่า เราพอจะมีเรี่ยวแรงอดทนทำอะไรต่อไปไหวมั๊ย


ผมเคยนั่งพิจารณาอุปสรรคหรือปัญหาที่เข้ามาพร้อม ๆ กันหลายเรื่องแล้วนั่งไตร่ตรองดูว่าเรื่องไหนควรทำก่อน เรื่องไหนควรค่อยทำ เรื่องไหนอย่าเพิ่งทำ ซึ่งมันก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการรับมือกับปัญหาได้ดี ทำนองเดียวกันการแยกแยะว่าอุปสรรคใดที่เราไม่สามารถแก้ได้คนเดียว บางทีก็จำเป็นต้องปล่อยให้ คนอื่นช่วยกันแก้บ้าง เท่านี้ก็หมดปัญหาแล้ว
แต่ที่ว่ามาเนี่ยเหมือนออกมาจาก "ทฤษฎี" ที่ได้จากการอ่านหนังสือประเภท How to ที่ขายกันอยู่เกลื่อนตลาด แต่พอเอาเข้าจริงเราจะ Can do ได้หรือเปล่าเนี่ยเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ


ไอ้อาการ "ท้อแท้" มักเกิดขึ้นเวลาที่เราเริ่มสิ้นหวังจากชีวิตครับ เข้าทำนองว่า "มืดแปดด้าน" แต่หากคิดให้ขำหน่อยก็ยังดีว่าเรายังมีด้านที่เก้าที่สิบอีกเยอะแยะไปหมดที่มันยังไม่มืด ด้วยเหตุนี้เราก็พยายามหาด้านอื่น ๆ ที่ไม่อยู่ในแปดด้านให้เจอสิจริงมั๊ยล่ะครับ


ส่วนไอ้อาการ "ท้อเทียม" เนี่ย ผมขอใช้คำว่า "ขี้เกียจจะทำ" หรือศัพท์วัยรุ่นหน่อย คือ "ไม่ไหวจะเคลียร์" ทำนองนั้น ไอ้อาการท้อเทียมมันเป็นอาการเซ็งจริตประเภทหนึ่ง เป็นความรู้สึกประมาณว่า "กรูเบื่อชิบหาย" อยากไปให้พ้น ๆ แมร่งแล้วล่ะ แต่เอาเข้าจริง ไอ้อาการท้อเทียมเนี่ย แก้ง่ายสุดครับ เพียงแคซื้อยาหม่องตราลิงถือลูกท้อ มานั่งถูจั๊กกูแร้เบา ๆ ประมาณว่าสลัดความขี้เกียจให้สิ้นซากไป
แต่ไอ้อาการ "ท้อถอย" นี่แหละครับที่ผมว่าแก้ยากที่สุด เพราะคนเราจะท้อถอยก็ต่อเมื่อเราเริ่ม "หมดหวัง" ในชีวิตแล้ว แต่ข้อคิดอบ่างหนึ่งของการบอกตัวเองว่าเรายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้ไม่ว่าจะในสภาพไหนก็ตาม คือ การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้และทำความเข้าใจกับสิ่งที่เป็นอยู่มากกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น



แต่ไอ้การพูดมันง่ายแหละ แต่พอลงมือทำเนี่ยมันโคตรยากเลย เพราะต้องอาศัยจิตใจที่เข้มแข็งและอดทนอย่างยิ่ง และที่สำคัญที่สุด "ทัศนคติที่ดี" ในการมองโลกเนี่ยนับว่าช่วยได้มากทีเดียว

เคยดูหนังเรื่อง Forrest Gump (1994) ของ Robert Zemeckis มั๊ยครับ???

หนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือของ Winston Groom ที่พูดถึงชีวิตคนที่ว่ากันว่า "ปัญญาอ่อน" แต่กลับกลายเป็น "อัจริยะบุคคล" ที่ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จไปเสียหมด โดยที่พี่แกก็ไม่ได้ "ยี่หระ" กับความสำเร็จใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสำหรับ Gump แล้วบางทีการได้ออกเดินทางกลับสำคัญกว่าเป้าหมายปลายทาง

บางทีเราก็ไม่รู้หรอกครับว่าในช็อคโกแล็ตนั้นมันจะมีไส้อะไรอยู่บ้าง หรือบางทีอย่าไปเดาเลย


หนังทำให้เรามานั่งคิดว่าคนอย่างนาย Gump แกเคยเครียด กลัว โกรธ ท้อแท้ ท้อเทียม ท้อถอย มั๊ย เพราะถ้าแกมีอารมณ์เหล่านี้อยู่ผมว่าแกคงไม่สามารถวิ่งแบกเพื่อนหลายสิบคนหลบลูกระเบิดในสงครามเวียดนามได้ คงไม่สามารถวิ่งมาราธอนข้ามทวีปเป็นปี ๆ ได้ คงไม่บ้าพอที่จะไปออกเรือหากุ้งตามคำมั่นสัญญาที่ให้กับเพื่อนรักได้ Gump คงไม่สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้หาก Gump มีวิธีคิดแบบที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า rational Man หรือเป็นมนุษย์ที่มีเหตุมีผล


แต่สิ่งที่ Gump ทำกลับอยู่บนฐานของความจริงใจและความตั้งใจที่อยากจะทำมากกว่าที่จะมานั่งถามตัวเองว่าถ้ากรูทำแล้วมันจะได้อะไร ดังนั้นสิ่งที่ Gump จึงไม่ได้ตั้งอยู่บนความคาดหวังกับผลของการกระทำเหล่านั้น



เอาเข้าจริงดูเหมือนว่าไอ้ปรัชญาการทำอะไรโดยปล่อยวางและไม่คาดหวังในความสมบูรณ์แบบของผลงานนั้นกลับกลายเป็น "จุดสูงสุด" ที่ทำให้ใครหลายคนสามารถบรรลุอะไรบางสิ่งบางอย่างได้นะครับ



มิพักต้องพูดถึงไอ้อารมณ์ทั้งสามที่มาจากตระกูล "ท้อ" เพราะไอ้ท้อเหล่านี้มันมีแต่จะบั่นทอนความรู้สึก กำลังกายและกำลังใจซึ่งส่งผลถึงกันไปหมด



ท้ายที่สุดแล้วผมว่าคนเราเกิดมาเพื่อ "เรียนรู้" ที่จะมีชีวิตอยู่ให้ "รอด" เพราะถ้าอยู่ไม่รอดเราก็คงต้องยอมแพ้กับการมีชีวิตไป เหมือนที่ ป้าป้า เฮมิงเวย์ (Ernest Hemingway) ยอดนักเขียนรางวัลโนเบลไพรซ์เคยกล่าวไว้ว่า...


"มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะพ่ายแพ้"


หรือถ้าแปลเป็นภาษาปะกิตแบบชายเมืองสิงห์เขาจะพูดว่า Man was not born to be defeat !

แต่ตอนสุดท้ายป๋าเฮมแกเสือกยิงตัวตายซะงั้น




มนุษย์เรามีความสามารถทำอะไรได้อีกเยอะแยะเต็มไปหมดนะครับ ขอเพียงมีกำลังใจที่ดี กำลังใจที่ว่านี้มาจากทั้งคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย แต่กำลังใจที่สำคัญที่สุด คือ กำลังใจที่มาจากตัวเองครับ
โลกใบนี้มีอะไรให้เราเรียนรู้ได้ตลอดเวลา เรียนรู้ทั้งอารมณ์ทุกข์ สุข สิ้นหวัง อิ่มเอม หดหู่ ท้อแท้ ท้อเทียม ท้อถอย ทั้งหมดเป็นการเรียนรู้ของคน ๆ หนึ่งที่เมื่อวันใดที่เราเริ่มเข้าใจกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว เราจะรู้สึกปลดปล่อยและมีอิสรภาพกับชีิวิตอย่างแท้จริง ซึ่งคงไม่่ยากเกินไปนักถ้าเราคิดจะเริ่มทำชิมิครับ


Hesse004


http://www.oknation.net/blog/hesse004/2010/10/28/entry-1




อดทนแล้วเราจะโชคดี
ขอขอบคุณที่  ให้ข้อคิดดีๆคับ  ได้อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจ ในการทำงานขึ้นเยอะเลย  ต้องอดทนฟันฟ่าไปให้ได้  แม้จะไม่เป็นตามที่หวังไว้ก็ไม่เป็นไร  กราบขอบพระคุณคับ
คนอดทนคือคนโชคดี
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้