ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 23272
ตอบกลับ: 63
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

>> ธรรมชาติ ปราสาท ศิลา สวรรค์ one Dollar กับ Lady Boy<<

[คัดลอกลิงก์]
รีวิว...ทริปตะลุยเขมร
ขออนุญาติเปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่ ให้ดูสมกับโปรเจคยักษ์ใหญ่หน่อยว่า.....

.....ธรรมชาติ ปราสาท ศิลา สวรรค์ one Dollar.....

เรื่องโดย Lady Boy
ภาพประกอบโดย Chakpetch



คำนำ

เรื่องราวดังต่อไปนี้รังสรรค์ขึ้นโดยนักเขียนมือฉมัง
นามปากกาว่า " Lady Boy "
เค้า หรือ เธอ?? ผู้นี้!! จะนำพาพวกเราไปท่องเที่ยว ณ เมืองเสียมเรียบ
ผ่านปราสาทนครวัด นครธม และสถานที่อันเรืองชื่อมากมาย
ด้วยถ้อยคำ ด้วยตัวอักษร ที่กลั่นมาจากความประทับใจ
ซึ่งเค้าต้อง ค้นลงไปถึงใน เซรีบรัม  ลึกลงไปในสมองส่วน ฮิปโปแคมปัส
โดยสารสื่อประสาท Acetylcholine
จะ ทุกข์ สุข เศร้า ดราม่า สยองขวัญ ตื่นตาตื่นใจ แค่ไหน
ต้องมาติดตามรับชมกันครับ ใครอ่านแล้วชอบใจ
รบกวนขอเสียงปรบมือ
เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่
.........เลดี้บอย........
นักเขียนของเราด้วยนะครับ






1
...
ซัวซไดย....ใครที่คิดว่าการเดินทางไปเขมรเป็นเรื่องลำเค็ญ...ฮ่าห์!!!!
ผมก็ว่ามันลำเค็ญอยู่นะฮะ  อย่างน้อยถ้าเรานั่งรถตู้เราก็จะรู้สึกว่าก้นเรา
มันหายไป...ลองเอามือคลำดู..เฮ้! ก้อยังอยู่นี่นา
...
มรดกทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่...เป็นมรดกโลก...เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก  
แถมอยู่ใกล้บ้านเราสุด ๆ  ถ้าไม่ไปก็คงไม่ได้แว้วว...ฝันที่เป็นจริง  
คศช.มาพร้อมกับรถเข็น...เอ๊ย! ม่ายช่าย...มาเติมเต็มความฝัน
ตั้งแต่เด็ก ๆ  ที่วาดภาพปราสาทหินผลุบ ๆ โผล่ ๆ ตรงนั้นตรงนี้อยู่ในป่าทึบ
มีเสือกับหมีคอยแอบดูเราอยู่เวลาที่เราตะเกียกตะกายขึ้นบันได..ประมาณนั้น
...
รู้ตัวว่าจะไปเมืองนอก  สิ่งแรกที่ทำก็คือ งัดรองเท้าวิ่งออกมาปัดฝุ่นวิ่งเช้าวิ่ง
เย็นก่อนถึงวันไปอยู่หนึ่งอาทิตย์  สามวันแรกแทบจะคลานขึ้นบันได(บ้านคนอื่น)
พอวันที่สี่ที่ห้าเริ่มดีขึ้น  พอครบเจ็ดวันก็เผาเรยย์  ...ฟิตเปรี้ยะ!! ตะหาก
ลองหาปิ๊ปจะมาเตะวัดพลังก็หาไม่ได้  ได้แต่ไล่เตะหมาที่บ้านแทน...มันก็ไม่
ยอมให้เตะวิ่งไล่จนหอบเหมือนหมาแร้ว..คิดเอาว่า...ร่างกายพร้อมฝุด ๆ
...
เตรียมเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋า  ไปคราวนี้เอารองเท้าผ้าใบกะลุยเต็มที่ รองเท้า
แตะเอาไว้เตรียมใส่เวลานอนในวัด  จัดชุดพระพร้อมเครื่องรางของหลวงปู่กะ
ท่านอาจารย์ไปพอประมาณ(อันนี้เป็นพฤติกรรมเลียนแบบนะครับ...ศิษย์พี่ ๆ ของ
ผมแต่ละท่านมีกันคนละไม่ใช่น้อย ๆ )...พร้อมเสร็จสรรพแบกกระเป๋าเหมือน
คนบ้าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มุ่งสู่สำนัก  กราบสวัสดีท่านอาจารย์สรายุทธ พี่จ๊อและ
เข้าไปกราบหลวงปู่ชื่น(ขอให้ลูกหลานเดินทางปลอดภัยนะค๊าบ!!!)  ก่อนเตรียม
พร้อมออกเดินทางได้....เล็ทโก..น๋าวววว!!!!



@ma-ii

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
รออ่านต่อๆเลดี้บอยอย่าช้านะกั๊บ
มารอครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2013-4-21 15:57

น่าเสียดายที่ไม่ได้ไปด้วย
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-21 22:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

2
...

คณะเดินทางของ คศช. คราวนี้นำโดยท่านอาจารย์ศรายุทธ,พี่จ๊อ,เจ๊น้ำ,พี่นก
พี่เพชร,พี่วุ่น,ผม...แล้วก้อน้องโอมมหารวย(มาทีหลังก้อเป็นน้องป๋มไปตาม
ระเบียบนะฮะ) รวมกับพระอาจารย์ธรรมรัตน์ด้วยก็ลงที่เลข 9 พอดีเป๊ะเรยย์เป็น
ทริปมงคลจริง ๆ
...
เดินทางมาถึงด่านชายแดนที่บุรีรัมย์ต้องผ่านพิธีข้ามแดนกันตามธรรมเนียมเสีย
ก่อน  เป็นอะไรที่ค่อนข้างง่าย ๆ สบาย ๆ ขอเพียงคุณมีพาสพอร์ตเท่านั้น  กรอก
ข้อมูลลงบนกระดาษสองสามจึ่กก! ก็เรียบร้อยเดินแบกกระเป๋าข้ามชายแดนไปขึ้น
รถตู้ที่มารับจากฝั่งเขมรได้เลย  เท่าที่สังเกตดูจะเห็นได้ว่าด่านบริเวณนี้ไม่ค่อยเข้ม
งวดตรวจตราอะไรมากนัก  ถ้าเราเดินทางผ่านสนามบินน่าจะเข้มงวดมากกว่าเดินทาง
โดยรถตู้ครับ  ส่วนเส้นทางที่สะดวกจริง ๆ ผมว่าน่าจะเป็นเส้นทางตามด่านใหญ่ ๆ  
เพราะเขาจะมีรถตู้วิ่งรับ-ส่งไปตามเมืองใหญ่ ๆ  เหมือนคิวรถตู้ในบ้านเรา  แต่ถ้าเป็น
ด่านเล็ก  ๆ ก็คงจะต้องนัดรถฝั่งขะโน้นมารับกันเอง...ประมาณนั้น



...
นั่งรถกันตูดบิดต่อไปอีกประมาณสองชั่วโมง  ทิวทัศน์ข้างทางก็เหมือนบ้านนอกของ
ไทยเรานี่หละครับ  ทุ่งนา,วัว,ควาย...ดูกันไปพอเพลิน ๆ ยังไม่ถึงกับเห็นควายยิ้ม
นึกภาพถึงสมัยก่อนแถวนี้เคยเป็นป่าแล้วก็เกิดการตัดไม้แบบมโหฬารบานตะไทจน
กลายเป็นทุ่งสุดสายตา  ดูมันแล้ง ๆ ชอบกลอยู่นะครับ  แต่สังเกตได้อย่างหนึ่งว่าเค้า
มีคลองส่งน้ำลัดเลาะไปตามถนนตลอดทาง  ดูเหมือนเชื่อมกันอยู่ตลอด บางแห่งน้ำ
ก็แห้ง บางแห่งก็ยังมีน้ำขังอยู่ น่าจะเป็นระบบชลประทานแบบหนึ่งของเค้าที่แลดูเข้า
ท่าเข้าทางอยู่นะครับ  ส่วนถนนนะเหรอ...สมัยก่อนที่เค้าบอกนั่งหัวสั่นหัวคลอนนะมัน
คงจะเป็นหลายสิบปีที่แล้ว  มาถึงตอนนี้เป็นถนนราดยางอย่างดี  รถวิ่งสะดวกทำเวลา
ได้ดีพอสมควรเลยครับ  พวงมาลัยฝั่งขะโน้นเป็นพวงมาลัยซ้าย เค้าอนุญาตให้เราเอา
รถเข้าไปได้ก็จริง(เข้าไปถึงไหนไม่รู้) แต่ผมว่านั่งรถที่จ้างทางฝั่งเขมรจะสะดวกมาก
กว่าครับ...เที่ยวกันแบบสบาย ๆ



ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-21 22:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


...
3
...
ตกเข้าช่วงบ่ายรถตู้ที่พาเรามาเริ่มจะเข้าเขตเสียมเรียบแล้ว  ถนนภายในเขตนี้จะเริ่มรู้
สึกได้ว่าแคบลง  บางครั้งดูเหมือนไม่มีไหล่ถนน  รถวิ่งสวนกันดูหวาดเสียวมิใช่น้อย
รถจักรยาน-มอเตอร์ไซค์ก็ขี่กันประมาณตามใจฉัน  คนขับรถต้องอาศัยจังหวะแซงเอา
หรือม่ายก็บีบแตรไล่กันบ้าง  พอเริ่มเข้าตัวเมืองเริ่มจะมีต้นไม้ใหญ่ ๆ  แลดูร่มรื่นขึ้นมาก
เลย เป็นลักษณะของไม้ใหญ่มาก  ถนนคดเคี้ยวไปตามหมู่ไม้เหล่านี้หละครับ...รถจอด
ครั้งแรกก็เป็นที่ "สระสรง" โชเฟอร์บอกจอดเข้าห้องน้ำ  พวกเราก็เลยเข้าห้องน้ำแล้ว
เดินมาดู "สระสรง"  ที่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ไม่มีวันแห้ง แลดูน้ำตื้น ๆ นะครับอาจจะ
เป็นเพราะว่าอยู่ช่วงหน้าแล้งกระมัง
...




...

ออกจาก "สระสรง" ลัดเลาะมาตามหมู่ไม้เริ่มเห็นเงาโบราณสถานวอบ ๆ แวม ๆ ตาเริ่ม
จะโตแระ  เพ่งมองแบบใช้กระแสจิตหวังจะมองทะลุป่าจะได้เห็นตัวปราสาท  ตอนนี้
ท่านอาจารย์ธรรมรัตน์จะพาเราหาที่พักก่อนเพื่อเก็บสัมภาระ  แล้วจะได้มีเวลาออกทัวร์
กันแบบสบายใจ  พระอาจารย์บอกกับพวกเราว่าในเมืองนั้นน่ะเทียบกับไทยแล้วก็เหมือน
เมืองเชียงใหม่นั่นหละ(โอ๊ว..ว้าววว!!!  นึกในใจว่ามันจะขนาดนั้นเลยเหรอ..แอบไม่เชื่อ
นะครับ)  
...
รถเริ่มพาเราเข้าตัวเมือง  เริ่มเห็นตึกรามบ้านช่อง เออ...เริ่มรู้สึกว่ามันเป็นเมือง ๆ หนึ่งนะ
ไม่ใช่ป่านี่หว่า  ขับรถตะลุยเมืองมาเรื่อย ๆ  เฮ้ย! ร้านพิซซ่าฮัท, KFC,ซเวนเซ่น นึกในใจ
ว่าไม่อดตายแล้ว  แต่ก็ยังดูเล็กกว่าเมืองเชียงใหม่อยู่ดีนั่นแหละน่าถึงจะดูมีทุกอย่างที่ทัน
สมัยครบก็เหอะ  พอมาถึงโรงแรมรถตู้ก็จอดให้เราไปจัดการต่อรองราคา ฟุตฟิตฟอไฟตกกะ
ไดขาหักกันเสร็จ  ประมาณแร้วเราต้องจ่ายค่าห้องพักโดยเฉลี่ยคนละ 300 ก่า ๆ ต่อคืนถ้า
จะให้ดาวตามประสาผม ก็คงเป็นโรงแรมสองดาวได้หละมั้งครับ  จากการสำรวจของคุณโอม
และเหล่าพี่น้องสรุปได้ว่า  โรงแรมในเมืองนี้มีเยอะมากจนน่าจะเกินความต้องการของตลาด
ตอบสนองต่อผู้เข้าพักได้หลายระดับ  สุดแต่นักท่องเที่ยวจะสรรหาครับ นับว่าเป็นเรื่องดี ๆ
ในเมืองนี้เลยเชียว เราจ่ายค่าที่พักกันเป็นเงินดอลล์ครับ
...

...
ตอนที่ไปค่าเงินไทยที่ผูกอยู่กับดอลล่าร์แข็งค่าขึ้น  ถ้าแลกไปจากเมืองไทยจะถือว่าได้ถูก
กว่าเราไปแลกที่โน่นครับ  มาแลกที่เขมรก็จะแพงขึ้นนิดหน่อย  ใช้จ่ายเป็นดอลล์จะได้เปรียบ
เพราะการแข็งของค่าเงิน สะดวกเพราะใช้จ่ายได้ทุก ๆ ที่  แต่ก็ควรมีเงินเรียลติดไม้ติดมือไว้
เพื่อใช้ตามเขตรอบนอกนะครับจะได้ไม่ต้องทอนเงินให้ยุ่งยากเวลาใช้ดอลล่าร์  ส่วนเงินไทย
ใช้ได้บ้าง แต่เหรียญสิบใช้ไม่ได้นะค๊าบ
...
มาถึงตรงนี้เริ่มมองเห็นภาพราง ๆ กันบ้างหรือยังครับ...เมืองแห่งมรดกโลกที่มีที่พักในราคาที่
คุณหรือใคร ๆ ก็ไปพักได้ ค่าใช้จ่ายอาหารการกินก็แพงแบบเมืองท่องเที่ยว เพราะใช้เงินสกุล
ดอลล่าร์เป็นหลัก  ถ้าคุณฉลาดรู้จักพูดภาษาอังกฤษได้นิด ๆ หน่อย ๆ พอรู้เรื่องแบบนักท่อง
เที่ยว  อยู่ติดเมืองไทยแบบนั่งเครื่องบินชั่วโมงก่า ๆ ถึงหรือโดยสารรถตู้ก็สะดวกสบายในระดับ
หนึ่ง  จับกลุ่มกันหลายคนไปเที่ยวแบบสามวันสองคืนผมจัดงบประมาณให้แบบสบาย ๆ ตกคนละ
ประมาณ 5,000.- บาทเท่านั้น(ถ้านั่งเครื่องบินโลว์คอสต์มีหมื่นก็น่าจะพออ่ะนะ)  ไอ้ห้าพันนี่ถ้า
วางแผนดี ๆ ผมว่าเงินเหลืออ่ะนะ.

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-21 22:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
...
เชิงอรรถ กับ ประวัติศาสตร์
...
สระสรง
สระน้ำที่ไม่เคยเหือดแห้ง !!




    สระสรงเป็นบาราย (อ่างเก็บน้ำ) แห่งหนึ่งในอังกอร์ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของบารายตะวันออก และอยู่ทางทิศตะวันออกของปราสาทบันทายกุฎี สระสรงขุดขึ้นประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 10 และได้ขยายต่อเติมเมื่อพ.ศ. 1743 ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และทรงโปรดให้สร้างท่าน้ำขึ้นโดยใช้หินศิลาแลง สระสรงนี้มีขนาดประมาณ 350 x 700 เมตร และในปัจจุบันนี้ก็ยังใช้กักเก็บน้ำอยู่ ท่าน้ำนี้อยู่ทางฝั่งทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศตะวันออกดังที่เห็นในภาพ ซึ่งจุดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเก็บภาพ ในปัจจุบันนี้ยังคงหลงเหลือราวบันไดโบราณรูปพระยานาคและรูปปั้นสิงห์ตามศิลปะเขมรให้เห็นอยู่ ที่สระสรงนี้มีรูปพระยานาค 5 เศียรอยู่เบื้องหน้าครุฑซึ่งทำท่าสยายปีกออก หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเหมือนเช่นปราสาทอื่นๆ ในอังกอร์แห่งนี้

นำ้ใส สะอาดจน เห็นถึงพื้นดิน



ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-21 23:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
...
4
...





จากที่มีเค้าลางว่าจะต้องนอนวัด...กลายเป็นโรงแรมห้องแอร์ มีสระว่ายน้ำ ไวไฟ...แถมฟรีอาหาร
เช้าอีกตะหากในราคาที่คุณประทับใจ มีกะลังใจเพิ่มขึ้นมาเห็น ๆ นอนกลิ้งตากแอร์กันพักใหญ่อาบ
น้ำอาบท่าให้สดชื่น  รถตู้ก็มารับเราพาวิ่งทะลุเมืองจุดหมายวิ่งไปยังนครวัด  



ตอนนั้นล่วงเลยมาถึงประมาณห้าโมงเย็นกว่า ๆ แล้วครับ  
รถตู้พาเราไปจอดที่วัดบริเวณข้างปราสาท เดินออกมา...อู้หู้???
คนเต็มไปหมดเรยย์  เค้ารออะไรกันเนี้ยะ???  ตอนนี้เริ่มมีมาดเป็นนักท่องเที่ยวกะเค้าแระ คว้า
กล้องมาถ่ายรูปมั่งสิ  สังเกตไปสังเกตมา...พวกนี้รอดูพระอาทิตย์ตกที่ตัวปราสาทครับประมาณว่า
ดูงดงามได้บรรยากาศเหมือนพันปีที่แร้ว   นอกจากเราจะเห็นฟ้าหรั่งมังค่าแร้ว...คุณ
จะเห็นสาว ๆ ชาวเกาหลี-ญี่ปุ่น  เดินกันให้ขวักไขว่ดูลานตาไปโม้ดดด  เป็นสวรรค์ทางสายตาจิง ๆ
แปลกแต่จริงผมสังเกตดูหลายครั้งแระ  ทางยุโรปชอบมาเป็นคู่ชาย-หญิง  แต่ทางเอเชียดูเหมือนจะ
มีแต่สาว ๆ มากันเป็นคู่ ๆ หรือหลาย ๆ คนเป็นกรุ๊ป  บางครั้งก็มีผู้ชายปะปนมาด้วยนิดหน่อย...น่าสน
ใจมากจริง ๆ


...
มัวแต่มองดูสาว ๆ เพลินพระอาจารย์กะท่านอาจารย์เดินนำพวกเราลิ่วไปยังห้องปราสาททางด้านทิศ
ตะวันตก  แข่งกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับจากขอบฟ้า  ทำเอาเดินจ้ำอ้าวตามอาจารย์กันแทบจะไม่
ทันทีเดียว  คนเยอะจริง ๆ นะครับ  ถ้าเราคลาดสายตาจากหมู่คณะอาจจะหากันไม่เจอได้...ขนาดนั้น
...






...
พอขึ้นถึงห้องปราสาทที่หมายตาไว้  ดูเหมือนจะมีคนเดินเข้าออกตลอดเวลา  พอคณะของพวกเรา
เดินมาถึงก็แลดูเหมือนจะเป็นจังหวะที่ปลอดคนอย่างน่าประหลาดใจ  ผมเดินตามเข้ามาทีหลังพี่ ๆ
น้อง ๆ คศช.เลยครับ  



ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-21 23:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
...
5
...
เท้าที่ก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย เมื่อทอดสายตามองเข้าไปในตัวปราสาทก็จะ
เห็นรูปสลักหินที่ยืนหันพระพักตร์ไปทางพระอาทิตย์อัศดง  แสงเงาที่สาดเข้ามาทำให้เบื้องหลังของ
ท่านแลดูมีพลังอย่างบอกไม่ถูก  มาถึงตอนนี้พี่ ๆ น้อง ๆ หลายคนที่อ่านอยู่คงจะเดาได้แล้วว่าสิ่งที่
ผมเห็นนั้นก็คือ องค์อัฎฐะกรเทวราช ที่สถิตย์อยู่กลางใจของเหล่า
พี่ ๆ น้อง  ๆ ของเรานี่เอง.





ครั้นก้าวเดินไปยังเยื้องเบื้องหน้าพระพักตร์องค์ท่าน  แสงอาทิตย์สีทองยามเย็นที่ตกกระทบ
องค์อัฎฐะกรเทวราชนั้นแลดูราวกับท่านมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง พระพักตร์ที่แย้มยิ้มของ
ท่านแสดงถึงความเมตตาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้  เหล่าสมาชิกคณะคศช. ต่างก็แสดงความ
เคารพและสักการะแด่องค์ท่านด้วยความเคารพ  ศิษย์พี่ต่างก็ช่วยกันจัดเตรียมพิธีบวงสรวง
ต่อหน้าพระพักตร์ของท่านแข่งกับเวลา  ความรู้สึกของผม ณ ห้องในปราสาทแห่งนั้นเหมือน
กาลเวลาจะเดินผ่านไปอย่างช้า ๆ  บางเวลามีผู้คนเดินผ่านพวกเราไปมา  แต่ก็รู้สึกถึงความ
สงบที่กระจายอยู่ทั่วทุกซอกทุกมุมในองค์ปราสาท  เมื่อเสร็จพิธีท่านอาจารย์ได้พนมมือโดย
ศีรษะแนบสัมผัสกับองค์ท่านอยู่ซักครู่ใหญ่ เป็นแบบอย่างให้เหล่าศิษย์คศช.กระทำตามบ้าง
...

...
ใครรู้สึกอย่างไรผมมิอาจทราบได้แต่สัมผัสแรกที่ได้สัมผัสองค์ท่านนั้น ผมรับรู้ได้ถึงพลังจริง ๆ
(ทัวร์คราวนี้เราต้องจับนู่นนิดนี่หน่อยเป็นประจำครับ...อดใจไม่ได้บ้าง...ด้วยความศรัทธาบ้าง)
เนื้อหินที่ดำมันเป็นเงาแสดงถึงความศรัทธาที่หลาย ๆ คนกระทำการสักการะในแบบเดียวอย่าง
ที่เราทำ  พลังที่สัมผัสเป็นพลังที่รับรู้ได้แต่ไร้ซึ่งคำบรรยาย...ขออนุญาตใช้คำพูดว่า "ต้องไป
รับรู้ด้วยตัวท่านเองเท่านั้นครับ"  นี่เป็นความประทับใจครั้งแรกในทริปนี้ของผม.
...

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-21 23:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
...
เชิงอรรถ กับ ประวัติศาสตร์
...



         มหาปราสาทนครวัด ใช้เวลาในการก่อสร้างเกือบตลอดรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่2 ยาวนานกว่า30 ปีประมาณกันว่าหินที่นำมาสร้างนั้นเป็นจำนวนหลายล้านลูกบาศก์เมตร มีแหล่งอยู่ที่เทือกเขาพนมกุเลนซึ่งทอดยาวอยู่ด้านหลังมหาปราสาทตรงปลายฟ้าที่อยู่ห่างออกไปกว่า50 กิโลเมตรใช้ช้างนับพันเชือกสำหรับขนหินถึงกระนั้นก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ยังมีการก่อสร้างเพิ่มเติมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่7 และสลักภาพบนผนังระเบียงคตเพิ่มจนครบแปดภาพในสมัยของนักองค์จันทร์      (พ.ศ.2059-2099) แม่น้ำด้านหลังมหาปราสาทนครวัดคือแม่น้ำเสียมเรียบมีต้นน้ำจากยอดเขาพนมกุเลนหินที่นำมาจากเทือกเขาพนมกุเลนส่วนหนึ่งล่องแพมาตามลำน้ำสายนี้ มหาปราสาทนครวัดจึงเป็นสถานที่หลอมรวมดวงวิญญาณขององค์เทวราชาแห่งขอม นักโบราคดีบางท่านสันนิษฐานว่า



เมื่อสร้างปรางค์ประธานเสร็จก็มีการนำประติมากรรมลอยตัวรูปพระวิษณุมาประดิษฐานไว้ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดูไวษณพนิกายที่พระเจ้าชัยวรมันที่2 ทรงเคารพนับถือโดยเชื่อว่า พระองค์ก็คือพระวิษณุอวตารลงมาปกครองโลกรูปสลักจึงเป็นตัวแทนกษัตริย์และเทพเจ้าตามลัทธิเทวราชา ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตก็นำพระศพมาฝังไว้ที่ใต้ฐานเทวรูป ณ ปรางค์องค์กลางเพื่อให้ดวงวิญญาณหลอมรวมกลับเป็นเทวะอีกครั้งและได้รับพระนามหลังสวรรคตว่า“บรมวิษณุโลก”และมหาปราสาทนครวัดในสมัยนั้นก็ถูกเรียกว่า“พระวิษณุโลก” ก่อนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น“นครวัด” ในการเข้าชมมหาปราสาทนครวัด นอกจากโครงสร้างทางศิลปสถาปัตยกรรมแบบ“ปราสาทหิน” หรือ“เทวลัย” อันใหญ่โตโอฬารสมกับเป็นทิพยวิมานของเทพเจ้าบนโลกมนุษย์แล้วยังมีภาพจำหลักหรือแกะสลักลงบนผนังหินที่“ระเบียงคด”ชั้นนอกคำว่า“ระเบียงคด”หมายถึงทางเดินที่ผนังกั้นมีหลังคาคลุมคล้ายห้องยาวต่อเนื่องที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบปราสาทชั้นในภาพจำหลักที่ระเบียงคดปราสาทนครวัดหรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า“ระเบียงประวัติศาสตร์” ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้มาเยือนทุกยุคทุกสมัยมา

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้