ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

>> ธรรมชาติ ปราสาท ศิลา สวรรค์ one Dollar กับ Lady Boy<<

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-21 23:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
...
เชิงอรรถ กับ ประวัติศาสตร์
...

โคปุระชั้นนอกด้านทิศตะวันตก
ปรากฏเทวรูปพระวิษณุสูงเกือบจรดเพดาน 4 เมตร
สลักด้วยหินทรายประทับยืน



        พระเจ้าสุริยวรมันที่2  ผู้สร้างนครวัดทรงนับถือศาสนาพราหมณ์นิกายวิษณุเวฏ (ไวษณเวศ) ทรงบูชาพระนารายณ์ เป็นเทพสูงสุด บรมวิษณุโลก จึงเป็นพระนามของพระองค์ จึงสร้างรูปปั้นนี้ โดยมุ่งหมายให้เป็นรูปแทนตัวของพระองค์เองคือพระวิษณุอวตารลงมาปกครองโลก และ นครวัดจึงเต็มไปด้วยภาพจำหลักปางอวตารต่างๆ ขององค์นารายณ์ ในบทบาทของ "เทพผู้รักษา"



เข้ามาติดตาม....ขอบคุณ ครับ ภาพสวยๆ เรื่องราวดีๆ แล้วอย่าลืมนำมาลงอีกนะ   น้องเพชร
รอติดตามต่อครับ
เรื่องราวหน้าติดตามครับ
กางเสื่อกางร่มรอแระงับ
รอติดตามด้วยครับ

...
6
...

อะแฮ่ม!...เขียนมาก ๆ ชักฝืดคอต้องหาน้ำมาแก้กระหายกันหน่อย  เดินออกมาตาม
ทางที่ปูหินก้อนใหญ่ ๆ ปะเข้ากับคนขายน้ำตาลสด  มีกระบอกไม้ไผ่ใหญ่ ๆ ใส่น้ำตาล
เป็นเครื่องยืนยันวิทยฐานะ  เหล่าคศช. ไม่รอช้าล้อมวงเข้ามาในทันใด...ด้วยความ
อยากรู้ว่าน้ำตาลสดเขมรจะสู้ของไทยได้หรือป่าว???  พอถึงคิวผมซดเข้าไปอึกใหญ่
รสชาติหวานแบบปะแล่ม ๆ เจือด้วยรสของไม้ที่ใส่เข้าไปในกระบอกไม่ทราบว่าเป็นตะ
เคียนหรือไม้พะยอม ไอ้ที่แน่ ๆ มันมีดีกรีซะด้วยจิคับ  อาจจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อน
อบอ้าวทำให้เกิดกระบวนการดังกล่าวขึ้น  แต่ยังไม่เข้มข้นนักน่าจะซัก 2-3 ดีกรี
จิบกันไปคุยกันไปพอหายเหนื่อย  ก่อนออกจากตัวปราสาทกลับไปยังรถ  ผมมองดูภาพ
ปราสาทที่เริ่มสลัวรางอยู่ในความมืด  พร้อมกับหมายหมั้นปั้นมือ...ฝากไว้ก่อนเถิด...พรุ่ง
นี้เราคงจะได้เจอกัน


...
รถตู้พาเราวิ่งเข้าเมืองมา  เริ่มเห็นแสงสีแล้วครับ  ในเมืองคนเยอะมากรู้สึกว่าจะเป็นวัน
สำคัญวันหนึ่งของชาวเขมร  หลายครั้งที่เรานั่งรถตู้ผ่านบ้านที่กำลังจัดพิธีแต่งงานกันถือ
ว่าวันนี้เป็นวันดีจริง ๆ ครับ  หลวงพ่อธรรมรัตน์พาเราไปไหว้สักการะ องค์เจ็กองค์จอมที่
ศาลอยู่ประมาณว่าใจกลางเมืองเลยครับ  คนเยอะมาก...เนื่องจากเป็นวันดีอย่างที่ว่าหละ
ครับ  ถัดมาจากนั้นไม่ไกลก็เป็นที่ตั้งศาลของย่าดำ  ดูจากรูปยังไม่รู้สึกเท่าไหร่ครับ แต่
ถ้าไปสักการะท่านแล้ว  ก็แลดูจะหวาดเสียวเล็กน้อยเพราะศาลท่านทำเลที่ตั้งคล้ายกับ
เกาะกลางถนนยังไงยังงั้นเลย  เนื่องจากเป็นศาลที่ไม่ใหญ่มากนักและมีรถวิ่งผ่านตลอด
เวลา ก็ทำให้ดูตื่นเต้นดีนะครับ
...

...

นั่งรถตู้เข้าเมืองยังไม่ทันไร  คนขับจะพาไปนั่งกินอาหารแบบบุพเฟ่ซะแร้ว...หัวละ 350.-
รึเปล่าจำไม่ได้เพราะไม่ได้กิน...555  ตัดสินใจกันไปกินกันข้างหน้าดีก่า  เข้าเมืองมา
เรื่อย ๆ ชักจะเริ่มคุ้นตาว่าตอนบ่ายก็ผ่านทางนี้นี่นา  ขอลงเดินดีกว่ารถตู้จะไปไหนก็ไป..ไป๊!
ร้อนวิชาแร้วคับ  พากันลงเดิน  เดินกันอยู่พักใหญ่พอเพลิน ๆ เหงื่อท่วมหลัง ก็มาเจอร้าน
อาหารตามสั่งไม่ไกลจากที่พักนัก  กินกันแบบง่าย ๆ ก็เป็นข้าวผัด,น้ำปั่น...เย็นชื่นใจด้วย
ราคาจ่ายกันเป็นดอลล์ ข้าวผัดนี่น่าจะจานหละ 1.5 ดอลล์ น้ำปั่นแก้วหละ 1 ดอลล์อ่ะมั้งคับ
จำไม่ได้แหล่ว  เงิน ๆ ทอง ๆ ชอบนึกไม่ออกนะเนี้ยะ  กินกันไปพวกเราต่างก็เมียงมองกัน
ตัวตลาดที่อยู่ตรงข้ามฝั่งถนน  มาถึงตอนนี้แล้วที่หลวงพ่อท่านว่าคล้ายกับเมืองเชียงใหม่นี่ผม
ว่าใกล้จะเป็นแบบถนนข้าวสารในเมืองกรุงของบ้านเราแล้วครับ  " PUB STREET" ที่เป็นป้าย
ไฟ ช่างเย้ายวนใจศิษย์พี่ศิษย์น้องและตัวผมยิ่งนัก...เอาไว้ก่อนน่ากลับที่พักตั้งหลักกัน
ซะก่อน.


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
...
7
..
นอนกระดิกเท้าตากแอร์พอหายเหนื่อย  เหล่าลูกศิษย์คศช. ก็พากันรวมตัวเพื่อปฏิบัติ
ภารกิจลับยามค่ำคืน...อา....ราตรีนี้ช่างยาวนาน  ร้านรวงต่างก็พากันเปิดแสงสีดึงดูด
ใจเหล่าแมลงเม่าตาดำ ๆ อย่างเรา  ให้พากันเดินตูดบิดไปบิดมา  ดูร้านนี้..ร้านโน้น...
ร้านนั้น...โฮ้ย!!!จะเดินอะไรกันนักหนาไม่เข้าไปนั่งกันซักทีนึง   ...แบบว่าส่วนมาก
เป็นร้านเหล้าแบบถนนข้าวสารนี่หละฮะ  เดินไปคุณจะเห็นถนนเป็นสี่แยกร้านก็กระจัดกระ
จายตามแยกต่าง ๆ ไป  แสงสีตระการตา  แต่เหล่าคศช.มองตาปริบ ๆ เพราะไม่มีใคร
เดินนำ...เอ๊ย!!ไม่มีใครกินเหล้า ประมาณนั้น(คิดถึงพี่ตี๋กับพี่สุริยาจังเลยค๊าบ)
...







เดินดูบรรยากาศกันจนเหนื่อยจนไปนั่งพักกันที่ร้านไอติม กินนู่นกินนี่เล็ก ๆ น้อย ๆ ผลสุด
ท้ายมาจบที่ร้านนวดข้างๆ โรงแรมที่พัก...มีไวไฟด้วยนะทันสมัยป่ะหละ  นักท่องเที่ยวก็
นวดกันไปเล่นไอแพดกันไป  สมาชิกบางท่านนวดทั้งตัว,บางท่านก็แค่นาบ...อร๊ายยย??
นวดเฉพาะขา  นอนเรียงกันหน้าสลอนเลยฮะ  เจ้าของร้านเป็นสาวสวยเฉี่ยวไฉไลทันสมัย
ฝุด ๆ เลยค๊าบ  ส่วนพนักงานนวดก็มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย  ผมเองเป็นพนักงานนวดผู้ชายฮะ
นวดกันสุดตัวไปเรยยย์  เค้าค่อย ๆ นวดเริ่มจากเท้าก่อนครับ แล้วก็ค่อย ๆ ไล่ขึ้นมาข้าง
บนเรื่อย ๆ ...เรื่อย ๆ ...อืม...เวลาเราหลับตาแล้วมีมือมาลูบ ๆ คลำ ๆ ตัวมันสบายยังงี้เอง
เนาะ!  แต่ทำไมยิ่งนวดมันยิ่งสูงขึ้นหว่า  แสดงว่าวิชาเค้าไม่เหมือนวิชาของไทยต้องเปิด
ใจให้กว้างรับรู้สิ่งใหม่ ๆ นะฮะ  ก่อนที่จะจบคอร์ส มือก็มาสัมผัสกับใบหน้าของเรา  นวดตรง
นู้น  ปาดตรงนั้น ขยี้ตรงนี้...อั้ยย่ะห์...นี่มันหน้าป๋มนะค๊าบบ  พี่พนักงานเล่นนวดเท้าแล้ว
มานวดหน้านี่คนไทยเค้าถือกันนะค๊าบ...อารมณ์เสียแระ  มีพี่นกนี่หละที่รู้ทันไม่
ยอมให้เค้าล่วงเกิน
...
กลับมานอนพักผ่อนด้วยความผ่อนคลาย...คืนนี้ฝันถึงใครดีนะเออ....อาเจ๊เจ้าของร้านนวด
ดีป่ะ   แต่ว่าราตรีนี้ยังยาวนานสำหรับใครบางคนอีกนะครับ  ไม่ยอมกลับไม่ยอมหลับไม่
ยอมนอนทำตัวน่าสงสัยฝุด ๆ  ตลอดทริปการเดินทางในยามค่ำคืน...ไม่นานครับเราจะได้
รู้กัน...คืนนี้ฝันดีทุกคนนะค๊าบ...ราตรีสวัสดิ์ เรียห์เตรย ซัวสเดย.

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ก่อนจะตื่นมายามเช้าเพื่อเตรียมตัวตะลุยปราสาทกันทั้งวันนั้น  ต้องมาทำฟามเข้าจัยกันเล็ก ๆ น้อย ๆ
ซักหน่อยนะฮะ จะเที่ยวโบราณสถานให้สนุกและมีความสุขนั้น คุณจะต้องมีความรู้ติดไม้ติดมือติดหัว
สมอง ๆ น้อย ๆ ไปซักกะหน่อย  เพราะความยิ่งใหญ่ของตัวโบราณสถานนั้น ๆ เอง ย่อมมีรายละเอียด
เยอะแยะมากมาย  ถ้ารู้นู่นนิดนี่หน่อย  จับมาผสมรวม ๆ กันจะเที่ยวได้สนุกยิ่งขึ้นครับ  ความรู้ปราสาท
เมืองเขมรของป๋มก็ประมาณหางอึ่ง  เทียบท่านอาจารย์กับพี่เพชรมะได้  แต่จะขอเท้าความแบบอึ่ง ๆ
ซักกะติ๊ดพาดย้อนอดีตกันไปไกล ๆ ก่าเดิมซักหน่อย...เอาสนุกนะฮะ
...
ย้อนไปถึงยุคแรก ๆ ของอินตระเดีย นับกันจริง ๆ แบบคศช. คงต้องมาเริ่มกันที่ "ยุคพระเวท"  ที่มี
เหล่าพราหมณ์เป็นเจ้าพิธี  ติดต่อบวงสรวงเทพเจ้าที่ถือกำเนิดมาจากธรรมชาติ  ต้องมีการบูชายัญ
กันว่างั้นเถอะ  นักบวชหรือเหล่าพราหมณ์นี่จะต้องกล่าวคำบูชาหรือ "โศลก" อ่านโองการสรรเสริญ
เทพเจ้า  เกิดเป็นคัมภีร์พระเวทขึ้นมา  ไม่ว่าจะเป็น "ฤคเวท" ,"ยชุรเวท",หรือ สามเวท  รวมกัน
เรียกว่า "คัมภีร์ไตรเพท" ครับ  เชื้อสายที่ครองความยิ่งใหญ่ในยุคนั้นเป็นเชื้อสาย "เผ่าอารยัน" ที่
ฮิตเลอร์หลงไหลนั่นเอง
...
ยุคแรกเริ่มเดิมทีอาจจะสับสนกันนิดหน่อย  ข้อมูลทางวิชาการหากันไม่ค่อยจะครบหรอกครับ  มี
หลายสาย หลายวิชาที่ถือว่าเป็นความลับ  มาเป็นรูปเป็นร่างกันจริง ๆ ตอนที่เกิดสงครามระหว่าง
พวกปานฑปกับพวกเการพที่เค้าเรียกว่า "มหาภารตยุทธ"   เหล่านักบวชได้นำเอาสงครามครั้งนี้
มาจดเอาไว้  เล่าขานถึงวิธีการต่อสู้ การใช้เวทย์มนต์คาถา  จนมากลายเป็นคัมภีร์ที่สี่ "อาถรรพ์เวท"
...
ยุคถัดจากมหาภารตยุทธพวกพราหมณ์รุ่งเรืองถึงขีดสุด แตกแยกแขนงออกไปเป็นศาสนาฮินดูที่
นับถือและบูชาเทพเจ้าอย่างชัดเจน ซึ่งก็คือ พระพรหม,พระวิษณุ,และพระศิวะ  กลายเป็นอักขระ
ยอดฮิต อ,อุ,ม  รวมเป็นคำศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า "โอม"...แทนพระนาม "ตรีมูรติ"
...
ยุคนั้นนิกายที่โด่งดังมีสองนิกายครับ คือ "ไศวะนิกาย่" และ "วิษณุนิกาย"    พวกที่นับถือพระศิวะ
นั้นจะอยู่ในตอนกลางของประเทศอินเดีย  ส่วนพวกนับถือพระวิษณุนั้นจะอยู่ทางอินเดียตอนล่าง...
ส่วนประวัติความเป็นมาของเทพทั้งสามนั้นพี่ ๆ คงจะคุ้นเคยกันดี...เชิญหาอ่านกันตามสะดวกเลยครับ
แน่นอนครับ ความนับถือในนิกายเหล่านี้ต่างถ่ายทอดผ่านการเดินทางมายังดินแดนสุวรรณภูมิจนเกิด
กลายเป็นสรรพวิชาและมรดกโลกชิ้นงามในปัจจุบัน
...
ในอินเดียสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้านั้นมีมากมายมหาศาลใหญ่โต ที่ยังสมบูรณ์อยู่
ก็มีเป็นจำนวนมาก  ผมดูความงดงามของปราสาทในอินเดียแล้วหันมาชมของนครวัด-นครธมก็ล้วน
แล้วเป็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมต่อ  ๆ กันมานี่เองครับ  ...พอจะมองเห็นภาพรวมกันบ้างไหม
เอ่ย???
...
9
...

เสียงเคาะประตูดังลั่นเข้ามาในความรู้สึก สมาชิกร่วมห้องดีดตัวขึ้นจากเตียงแทบจะพร้อม ๆ กัน
เปิดประตูออกมาเป็นพี่วุ่นนี่เองมาเคาะปลุก เพราะถึงเวลานัดแล้วแต่ห้องนี้ยังม่ายตื่น:L  ชีวิตวุ่น
วายมากครับกับการอาบน้ำทำเวลาอย่างรวดเร็ว แล้วลงมานั่งรอรถตู้ที่นัดเอาไว้ยามเช้าตรงล๊อบบี้
ของโรงแรมกันหน้าสลอน  โรงแรมเห็นเราจะออกเดินทางแต่เช้าไม่รับอาหารเช้าฟรีก็ยังใจดีจัด
กล่องอาหารว่างแบบเบา ๆ ให้พวกเราไปกินกันบนรถซะอีกแน่ะ
...
เนื่องจากวันนี้เราต้องเข้าไปเยี่ยมชมหลายปราสาทมาก...มากจริง ๆ ;P ผิดพลาดประการใดขอ
อำไพทุก ๆ ท่านมา ณ โอกาสนี้ครับ  การทัวร์ปราสาทในแต่ละวันจะต้องมีการซื้อตั๋วเข้าชมครับ
ในราคา 20 ดอลล่าร์  ขาดตัวต่อมะได้  แถมต้องไปรายงานตัวตอนซื้อตั๋วซะด้วยเพราะเค้าต้อง
ถ่ายรูปของเราลงบัตรแล้วปรินท์ออกมาให้พกติดตัวไว้แสดงเวลาพนักงานตรวจครับ หรือบางทัวร์
เค้าก็มีแจกแท็กไว้ให้ลูกทัวร์ห้อยคอเอาไว้เลย คิดเป็นเงินไทยกลม ๆ ณ เวลานั้นก็ 600 บาท
ครับ เข้าชมได้ทุกปราสาทที่ท่านอยากจะไปในหนึ่งวัน  แนะนำกันอีกซักนิดกรุณาเช็คเวลาเปิด
ปิดให้เข้าชมปราสาทต่าง ๆ ให้ดีก่อนวางแผนนะครับ  บางที่รู้สึกว่าจะปิดเร็ว  บางที่ก็ปิดช้าครับ
พลาดแล้วจะทำให้เสียเวลาในการเดินทาง...ต่อ...ต่อ...ถ่ายรูปเสร็จปุ๊ปได้ตั๋วปั๊ป เค้าจะมีโบชัวร์
วางเอาไว้ข้าง ๆ ช่องจ่ายเงินนั่นหละครับ  มือไวใจเร็วหยิบได้เรยย์ฟรีแน่นอน เป็นแผนที่พร้อม
ภาพประกอบสวยให้เราดูประกอบการตัดสินใจพอสังเขปครับ(ปล. 3 วันเค้าคิด 40 ดอลล์) เปิด
จำหน่ายตั๋วตั้งกะตีสีครึ่งหรือยังไงนี่ละครับ  ว่ากันตั้งแต่เช้ามืดไปเรยย์  เค้าเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ตี
สามหรือตีสี่นี่แหละครับจำไม่ได้แหล่ว:L  เรียกว่าจุดเทียนส่องกันได้ตามที่ท่านต้องการเลย(อัน
นี้เข้าทางทัวร์คณะนี้พอดี;P)
...



...
จริง ๆ แล้วนักท่องเที่ยวส่วนมากจะรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ตัวปราสาทบริเวณสระน้ำนั่นเองครับเป็น
ไฮไลท์สำหรับจุดนี้โดยเฉพาะ  ส่วนคณะคศช. ไม่มีเวลาดูพระอาทิตย์ขึ้นหรอกครับ  รีบจ้ำอ้าวไป
ยังตัวปราสาทหลังเล็กที่องค์อัฎฐะกรเทวราชประทับอยู่ตามนิมิตรของท่านอาจารย์ที่เห็นว่ามีคนมา
โยนผ้าสีขาวให้  คณะของคศช.ทำการสักการะท่านอีกครั้ง  ด้วยความปลาบปลื้มครับ ใครจะไปนึก
ว่าจะได้พบท่านทั้งเช้าและเย็น  ถึงตอนนี้ก็เปิดการเจรจากับผู้ดูแลบริเวณนั้นครับและ
ผ้าคล้องพระกรขององค์ท่านก็ได้ถูกอัญเชิญมาโดยท่านอาจารย์สรายุทธของเราให้ลูกศิษย์ที่ไม่ได้
ไปในครั้งนี้ได้สักการะบูชาถึงสำนักกรุงเทพเลย...แน่นอนครับจุดนี้เราได้มวลสารแบบเยอะมาก ๆ
ขออะไรได้อย่างนั้นเลยเชียว ....เติมเต็มด้านกำลังใจกันเต็มที่แล้วได้เวลาตะลุยปราสาท
นครวัดกันแล้วค๊าบบ..








ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้