ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 13393
ตอบกลับ: 31
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

“พระชัยพุทธมหานาถ” พระพุทธปฏิมากรนาคปรก ...พลานุภาพแห่งจักรวรรดิบายน

[คัดลอกลิงก์]

  ตามแนวถนนจากประตูชัย (Victory Gate) ทางทิศตะวันออกของเมือง “พระนครธม” (Angkor Thom) หรือ “นครชยศรี” (Jayasri) ตรงเข้ามาก่อนถึงลานดิน “สนามชัย” หน้าฐานพลับพลารูป “กากบาท” (+)ขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อของ  “ระเบียงช้าง” (Terrace of Elephants)บริเวณด้านหน้าของสระน้ำทางฝั่งทิศใต้ของถนน เป็นที่ตั้งของกลุ่มอาคารศาสนสถาน ที่มีกำแพงล้อมรอบ มีชื่อว่า “วิหารเจ็ดชั้น” หรือ “วัดพรามณ์ไปรลอเวง”  (Vat Prampei Loveng) ที่น่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงสุดท้ายของพุทธศตวรรษที่ 18 ตามคติพุทธศาสนาแบบ “เถรวาท”

.

.

ภายในวัดพราหมณ์ไปรลอเวง ทางทิศตะวันออกของลาน “สนามชัย” หรือ “สนามหลวง”

.

ตรงบริเวณกึ่งกลาง บนฐานอาคารภายในวัด เป็นที่ตั้งของอาคารเรือนมณฑปทรงสูง ภายในประดิษฐานรูปประติมากรรมของ “พระพุทธปฏิมากรนาคปรก – พระนาคปรก”  (Buddha Sheltered by a Naga) บนฐานยกสูงขนาดใหญ่รูปหนึ่ง ที่หากเมื่อผ่านมาและมองอย่างผิวเผินจากถนนชัย (Jaya road) เข้าไป ก็คงเห็นเป็นเหมือนกับรูปสลักของพระพุทธรูปและประติมากรรมรูปเคารพที่สลักขึ้นจากหินทรายโดยทั่วไป ที่มีให้พบเห็นได้อย่างดาษดื่นในพระนครโบราณอันเก่าแก่แห่งนี้



แต่รูปประติมากรรมพระนาคปรกที่มีริ้วรอยของการซ่อมแซมประกอบต่อเป็นจิกซอว์ไปทั่วทั้งองค์ที่วัดแห่งนี้ กลับมีความสำคัญ แตกต่างไปจากรูปเคารพโดยทั่วไป เพราะพระพุทธรูปองค์นี้ เป็นองค์เดียวกันกับองค์ที่เคยตั้งประดิษฐานอยู่ในคูหา “ปราสาทประธาน” (Principal Tower) บนยอดมหาปราสาทบายน หรือในความหมายของ “มหาปราสาทไพชยนต์” บนสรวงสวรรค์ วิมานสถานที่อภิเษกสมรสระหว่างโอรสแห่งอินทราเทพกับพระธิดาของพญานาคา ผู้ให้กำเนิดและปกปักษ์คุ้มครองอาณาจักร

.

.

พระพุทธปฏิมากรนาคปรกขนาดใหญ่ ในซุ้มมณฑปรูปทรงสูง ภายในวัดพราหมณ์ไปรลอเวง


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-8 21:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

นั่นก็คือพระนาคปรกในที่ตั้งอยู่ในสถานอันเงียบเหงาแห่งนี้ เคยเป็น“พระประธานสำคัญ” ที่ทรง ”อานุภาพ - พลานุภาพ” ที่สุด ณ จุดศูนย์กลางของจักรวรรดิบายน (Bayon Empire) อันยิ่งใหญ่ ในยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองสูงสุด ในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (Jayavarman VIII) ไงครับ !!!

.

         ......

.

         ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1933 (หรือ ปี พ.ศ. 2476) เมื่อ “จอร์จ อเล็กซานเดอร์ ตรูเว่” (Georges Alexandre Trouvé) ภัณฑารักษ์ของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ (École française d'Extrême-Orient หรือ EFEO)ได้เข้ามาทำการสำรวจและจัดทำรายละเอียดแผนผังในทุกซอกมุมของมหาปราสาทบายน ภายหลังจากที่มีการขุดลอกดินทับถมออกไปแล้ว เขาก็ได้มาพบกับห้องคูหาใต้ปราสาท มันทำเป็นช่องประตูเข้าสู่บ่อน้ำบาดาลที่ถูกทับถมด้วยดินและเศษหินจนตื้นเขิน

.

.

“จอร์จ อเล็กซานเดอร์ ตรูเว่”

ภัณฑรักษ์ของสำนักฝรั่งแห่งปลายบุรพทิศ ระหว่างปี 1931 - 1935

.

         เมื่อตรูเว่ ได้เริ่มการขุดลอกดินที่ทับถมอยู่ในบ่อน้ำออก จนเมื่อถึงระดับความลึกที่ 5 เมตรจากระดับพื้นบน เขาได้พบกับชิ้นส่วนของรูปประติมากรรมที่เป็นส่วนพระเศียรและนาคปรกที่แตกหักขนาดใหญ่ที่ขัดขวางติดอยู่กับกำแพงกรุบ่อ และชิ้นส่วนขนาดเล็กกระจายตัวอยู่ทั่วระดับ และเมื่อเขาขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ เขาก็ยังคงพบชิ้นส่วนขนาดเล็กใหญ่ไปตลอดทาง จนเมื่อถึงระดับประมาณ 12.5 เมตร จึงได้พบกับชิ้นส่วนของพระหัตถ์และขนดนาคที่แตกละเอียด และยังคงพบชิ้นส่วนแตกหักอื่น ๆ  ไปจนถึงระดับ 14 เมตร เป็นระดับเดียวกับชั้นของน้ำบาดาลที่ไหลออกมาเจิ่งนองไปทั่วหลุมขุดลึก  แต่เพื่อความแน่ใจ เขาจึงสั่งให้ขุดต่อลงไปอีก 1 เมตร ซึ่งเขาก็ได้พบกับชิ้นส่วนของรูปพระนาคปรกชิ้นสุดท้ายที่ระดับความลึก 15 เมตร


3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-8 21:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

.

ชิ้นส่วนแตกหักของพระพุทธรูปนาคปรกขนาดใหญ่

ที่ถูกกู้ขึ้นมาจากบ่อน้ำใต้มหาปราสาทบายน (ภาพ EFEO)

.

         เมื่อนำชิ้นส่วนที่แตกหักของพระนาคปรกมาวางเรียงบนระเบียงชั้นบนของปราสาทบายน ร่องรอยหลักฐานสำคัญที่ปรากฏบนรอยแตก รอยแยกและรอยกะเทาะบนผิวของเนื้อหินแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาเพื่อการ “ทุบทำลาย”แบบที่ต้องการให้แตกละเอียด ย่อยยับไปทั้งหมดโดยความตั้งใจ

.

         เป็นเพราะอะไร พระพุทธรูปนาคปรกขนาดใหญ่ ที่เคยเป็นประธานของมหาปราสาทบายน ศูนย์กลางแห่งคติความเชื่อและการปกครองแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ จึงถูกทุบทำลายและเอาไปทิ้งลงสู่ความมืดมิดในบ่อน้ำใต้ปราสาท ....?

.

.

ชิ้นส่วนแตกหักของพระพุทธปฏิมากรนาคปรก จัดวางเรียงบนลานชั้นบนของปราสาทบายน

ในสภาพที่แสดงให้เห็นชัดว่า “ถูกทุบทำลาย” อย่างชัดเจน (ภาพ EFEO)

.

        ภายหลังการค้นพบและกู้คืนพระนาคปรกคู่จักรวรรดิขึ้นมาจากบ่อลึก และได้มีการประกอบชิ้นส่วนแตกหักกลับมาเป็นรูปประติมากรรมโดยสมบูรณ์แล้วพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์มุนีวงศ์ (เจ้ามณีวงศ์) กษัตริย์แห่งกัมพูชาได้โปรดให้เคลื่อนย้ายรูปประติมากรรมพระนาคปรกที่ซ่อมแซมแล้ว ไปประดิษฐานไว้ที่วัดพราหมณ์ไปรลอเวง มาจนถึงในปัจจุบันครับ


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-8 21:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

.

พระพุทธปฏิมากรนาคปรก เมื่อแรกบูรณะซ่อมแซมต่อเติมจนแล้วเสร็จ

.

.

เปรียบเทียบขนาดความสูงใหญ่ของพระประธานแห่งจักรวรรดิบายนกับมนุษย์

.

         ภายหลังการเคลื่อนย้ายพระพุทธปฏิมาแห่งจักรวรรดิไปยังที่แห่งใหม่ ในวันที่ 18 กรกฎาคม ปี 1935 ภัณฑารักษ์ผู้ค้นพบ ก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอย ซึ่งบ้างก็เล่าต่อกันมาว่าเขา “ฆ่าตัวตาย” จากงานที่มากมายสับสน แต่บ้างก็เล่าลือว่า เขาอาจถูกอาถรรพณ์จากอดีต ที่ผนึกคำสาปแช่งของไสยเวทย์ตันตระลงบนเศษซากของพระนาคปรกที่เขาค้นพบ จนนำมาสู่ความตายที่ยังเป็นปริศนาของภัณฑารักษ์หนุ่มที่ยังมีอนาคตอีกยาวไกลในวัย 33 ปี

.

.

พระพุทธปฏิมากรนาคปรก "ชัยพุทธมหานาถ"
ภายหลังการซ่อมแซมและถูกนำไปประดิษฐานที่วัดพราหมณ์ไปรลอเวง

.

        นอกจากจะต้องทุบทำลายแล้วยังนำไปทิ้งลงสู่ใต้โลก (คือสถานแห่งพระยม ไม่ใช่ “เฮเดรส” นะ คนละแนวกัน) แล้ว ยังต้องผนึกอาถรรพณ์คำสาปในภาษาลับ (ตันตระ) กำกับทับไว้ด้วยอีกหรือ ?.....

.

         สองคำถามแล้วนะครับ ?

.

         การทำลายรูปเคารพในลักษณะของพระนาคปรก พุทธปฏิมาแห่งจักรวรรดิบายน ยังพบเห็นได้โดยทั่วไปในเขตอำนาจของหัวเมืองชั้นในของอาณาจักรกัมพุชเทศ แทบทุกปราสาทในยุคจักรวรรดิบายนจะมีการขูดลบภาพสลักของเหล่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ไม่ว่าจะมีอานุภาพ – อำนาจในระดับใด เปลี่ยนแปลงเป็นรูปของพระศิวะเทพบ้าง เป็นรูปศิวลึงค์บนฐานบ้าง เป็นรูปฤๅษีในท่าโยคะสนะบ้าง หรือไม่ก็ขูดลบออกเฉย ๆ ทิ้งรูปให้ว่างเปล่าไม่สลักอะไรเข้าไปใหม่

.

.

ภาพพระพุทธเจ้าในท่ามกลางทวยเทพบนสรวงสวรรค์ ที่ปราสาทตาพรหม

ก็ถูก”ขูด” สกัดออกทิ้งว่างไว้


5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-8 21:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

.

ภาพพระพุทธเจ้าบนบัลลังก์ ท่ามกลางการอัญชลีของเทพยดาที่ปราสาทตพรหม

ก็กลายมาเป็นรูปศิวลึงค์ของพระศิวะ

.

.

ภาพสลักพระพุทธเจ้าในตอนมารผจญ ที่หน้าปราสาทพระขรรค์ ก็ถูกขูดสกัดลบหายไป

.

         ส่วนประติมากรรมรูปเคารพ หากไม่ถูกทุบทำลาย หรือถูกรื้อถอนยกออกจากที่ประดิษฐานในราชวิหาร ปราสาทหลังต่าง ๆ แล้วนำไปฝังทิ้งใต้ดิน (สถานแห่งพระยมที่มืดมิด) อย่างในกรณีการขุดพบรูปประติมากรรมจำนวนมากที่ปราสาทบันทายกุฎี (Banteay Kdei Pr.) หรือที่ขุดพบล่าสุดเมื่อปีกลายที่ปราสาทตาพรหม (Ta Prohm Pr.) หลายรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่มีเค้าร่างคล้ายคลึงกับเหล่าทวยเทพ (Divinities) ก็จะถูกดัดแปลงแก้ไขเปลี่ยนให้กลายเป็นรูปเคารพในคติความเชื่อแบบฮินดู (Hinduism)

.

        หรือไม่ก็ทุบทำลายทิ้งเสีย !!!

.

.

รูปประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร

ในสภาพถูกทุบทำลาย ตั้งอยู่ในระเบียงคดของปราสาทนครวัด

.

.

รูปประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี

ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นพระศิวะ โดยการเติมตาที่สามเข้าไปที่พระนลาฎ (หน้าผาก)

.

         การทุบทำลาย การฝังทิ้งและการดัดแปลงประติมากรรมรูปเคารพในยุคจักรวรรดิบายนอันรุ่งเรืองตามคติมหายานแบบวัชรยานตันตระ (Vajrayana Tantra) นั้น เชื่อกันว่าเกิดขึ้นในช่วงของ “พระเจ้าชัยวรมันที่ 8”  (Jayavarman VIII) กษัตริย์แห่งอาณาจักรในยุคเสื่อมถอย (Diminish Period) ไม่มีหลักฐานความเป็นมาของพระองค์ที่ชัดเจนมากนัก รู้แค่เพียงว่าพระองค์ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับราชวงศ์ “มหิธระปุระ”  (Mahidharapura  Dynasty) ของ “พระเจ้าชัยวรมันที่ 7”  (Jayavarman VII) พระองค์อาจมาจากสายตระกูลเชื้อสายจามปา หรือ อาจเป็นเพียงแม่ทัพควบคุมไพร่พลที่เพียงมีสายสัมพันธ์กับพระธิดาในพระญาติพระวงศ์ห่าง ๆ เพื่อการ “ไต่เต้า” แล้วเข้าชิงบัลลังก์ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของ “พระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 “ (พระโอรส ? ผู้อ่อนแอ ? ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7)  แต่ที่แน่ ๆ  พระองค์มีความเลื่อมใสศรัทธาในลัทธิฮินดูตันตระอย่างมั่นคง จากผลงานอันโดดเด่นทั้งการทำลายรูปเคารพอานุภาพของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์แบบ “ขุดรากถอนโคน” รวมไปถึงการดัดแปลงปราสาทศาสนสถานและรูปเคารพจากพุทธศาสนาให้กลายมาเป็นรูปเคารพในคติฮินดูตันตระ ก็ยิ่งเป็นการการันตรีความศรัทธาของพระองค์ได้เป็นอย่างดี

.

.

รูปประติมากรรมที่อาจเคยเป็นรูปของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรและพระนางปรัชญาปารมิตา

ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นพระวิษณุและพระนางลักษมี

จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกัมพูชา

.


6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-8 21:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ตลอดระยะเวลาการครอบครองบัลลังก์ที่พระนครธมยาวนานกว่า 50 ปี กลุ่มบ้านเมืองในแว่นแคว้นที่เคยอยู่ใต้จักรวรรดิบายนอันยิ่งใหญ่ ก็ได้เริ่มแยกตัว ปลดแอกออกจากการปกครองที่ศูนย์กลางของเมืองพระนครหลวงทีละน้อย เริ่มต้นจากอาณาจักรจามปาทางตะวันออก กลุ่มแคว้นสุโขทัย กลุ่มแคว้นลพบุรี กลุ่มแคว้นฝั่งตะวันตกของลุ่มน้ำเจ้าพระยา กลุ่มแคว้นทางอีสานเหนือ หรือแม้แต่กลุ่มที่มีความใกล้ชิดทางเครือญาติวงศ์วานที่สุดอย่างกลุ่มสายราชวงศ์มหิธระปุระเก่าในเขตอีสานใต้ (เจนละบกเดิม – เขมรสูง)

.

       ดูเหมือนว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 8 เองก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจต่อการแตกแยก และความล่มสลายของจักรวรรดิบายนในพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มากนัก แค่ทรงมีอิทธิพลและอำนาจการปกครองเฉพาะในเขตกลุ่มบ้านเมืองของเขตเขมรต่ำ ก็เป็นการเพียงพอแล้วที่จะใช้เวลาตลอดรัชสมัย เลือกที่จะใช้แรงงานไพร่ทาสที่เคยเป็นผู้สร้างปราสาทขนาดใหญ่น้อย ให้กลับมาเป็นผู้เข้ารื้อทำลายปราสาทราชวิหาร ลบล้างและเปลี่ยนแปลงรูปอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ เลือกเฉพาะในคติความเชื่อวัชรยานตันตระเป็นหลัก ส่วนอาคารศาสนสถานและรูปเคารพของพระพุทธเจ้าตามคติความเชื่อแบบ “เถรวาท” ทั้งหมด ก็จะทรงละเว้นไม่แตะต้อง

.

         และเพื่อการรับรองและคุ้มครองอาณาจักรเรอเนสซองซ์ - เจนละใหม่ที่มีอำนาจทางการเมืองเหลือเพียงพื้นที่รอบโตนเลสาบของพระองค์ ในช่วงปลายรัชกาล พระองค์จึงได้ส่งคณะทูตขึ้นไป “จิ้มก้อง” ถวายบรรณาการแก่พระเจ้ากุบไลข่าน (Great Kublai Khan) จักรพรรดิแห่งราชวงศ์มองโกลที่กำลังแผ่ขยายอิทธิพลลงมาสู่อุษาคเนย์ และในอีกไม่กี่ปีต่อมา ราชสำนักมองโกลจึงได้ส่งคณะราชฑูตที่มี “โจวต้ากวาน” (Chou Ta Kuan) (ผู้บันทึกเรื่องราววิถีชีวิตของชาวพระนครธมในหลายมิติ ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เพราะเป็นหลักฐานเพียงฉบับเดียวที่มีอยู่... หุหุ) ร่วมเดินทางมาด้วย

..

         เมื่อครั้งพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 สิ้นพระชนม์อย่างเป็นปริศนา ในพระราชวังหลวงของเมืองพระนครธม กำลังไพร่พลในสังกัดของแม่ทัพผู้คุมเมืองหลวงผู้หนึ่ง ก็ได้เข้ายึดอำนาจ ขึ้นประทับใต้เศวตฉัตรบัลลังก์ทองแห่งกัมพุชเทศะ ประกาศพระนามว่า “พระเจ้าชัยวรมันที่ 8” (หรือพระนามหลังสวรรคตว่า “ปรเมศวร” – ผู้เป็นใหญ่ดั่งพระศิวะ) เพื่อเป็นการสร้าง อ้าง“สิทธิ” และความชอบธรรมของการสืบทอดราชวงศ์มาจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 ในอาณาจักรเจนละยุคเริ่มแรก

.

.

มหาปราสาทบายน หลักหมุดขนาดใหญ่แห่ง “พุทธมันดารา” บนพื้นพิภพ

.

       จนเมื่อเข้าควบคุมอำนาจในเขตหัวเมืองชั้นในไว้ได้อย่างราบคาบไร้ผู้ต่อต้านแล้ว พระองค์จึงได้เริ่มมีพระราชโองการครั้งสำคัญ นั่นคือพิธีกรรมการถวายพระรูปศิวลึงค์แห่งไศวะนิกายอันศักดิ์สิทธิ์ประจำพระองค์ในฐานะแห่ง ”เทวราชา” (Devaraja Cult)ผู้ปกครองสกลจักรวาลพระองค์ใหม่ แต่กระนั้น บ้านเมืองของพระนครธมก็ยังคงเต็มไปด้วยรูปเคารพแห่งอานุภาพของกษัตริย์โพธิสัตว์พระองค์เก่าที่น่ารังเกียจ เป็นอริศัตรู กำแหงหาญต่อเหล่าทวยเทพเก่าแก่

.

         พระองค์จึงมีราชโองการสั่งให้เหล่าทหารและไพร่ทาส บุกเข้าสู่มหาปราสาทบายน ปราสาทที่สร้างขึ้นตามยันตรมณฑล (Yantra Mandala)อันศักดิ์สิทธิ์ ให้รื้อถอน “หลักหมุด” แห่งอานุภาพของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ ด้วยการทุบทำลายพระปฏิมานาคปรกประธานแห่งปราสาทให้แตกสลาย เสมือนการ “สลายอำนาจ” อานุภาพของกษัตริย์พระองค์ก่อน ที่แม้จะเคยยิ่งใหญ่ ปกครองแว่นแค้วนกว้างใหญ่เพียงไหน หรือจะเคยเป็นพระโพธิสัตว์ทรงอานุภาพผู้สอดส่องดูแลผู้คนทั่วหล้าก็ตาม แต่ในวันนี้ วันที่แผ่นดินได้เปลี่ยนแปลงไป พระองค์ก็ได้สลาย ...ตายไปอย่างมนุษย์ปุถุชนทั่วไปเมื่อนานมาแล้ว

.

        เฉกเช่นกัน ...รูปเคารพอันน่าอัปลักษณ์..ไร้ความหมายที่พระองค์เคยสร้างไว้ ในวันนี้มันก็จะไม่มีอำนาจอานุภาพ หลงเหลืออยู่เพื่อใครในอาณาจักรนี้อีกต่อไปแล้ว !!!

.

.

ภาพกราฟิกแสดงระดับความลึกของบ่อน้ำใต้ปราสาทบายน


7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-8 21:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

แต่กระนั้น อำนาจแลอานุภาพ ที่ลึกลับยากที่จะต้านทานจากอาณาจักรเก่า ก็อาจจะย้อนกลับมาสร้างความเสียหายแก่ผลผลิตในไร่นา นำพามาซึ่งโรคระบาดและบารายที่เหือดแห้ง จึงต้องกำกับทำลายอำนาจเหนือธรรมชาติเก่านั้น ด้วยพิธีกรรมการสาปแช่ง การลงอาถรรพ์เวทย์ตามคัมภีร์ปุราณะแห่งตันตระ (Tantra Black Magic) และให้นำชิ้นส่วนที่แตกหักของรูปเคารพแห่งอานุภาพสูงสุดคู่จักรวรรดิเก่า ไปทิ้งลงสู่ก้นบ่อน้ำใต้ปราสาทเพื่อการสะกด กำจัดอำนาจแลอานุภาพเดิมให้สิ้นสูญไปจากโลกแห่งความสว่าง โลกของอาณาจักรแห่งใหม่ ลงไปสู่สถานแห่งพระยม (Yama Deva) อันเป็นดินแดนที่มืดมิด จมสู่ขุมนรกภูมิและจงได้ดับสูญไปตลอดกาล

.

.

ประตูทางเข้าสู่บ่อน้ำ ชั้นล่างสุดของมหาปราสาทบายน

.

.

ภายในบ่อน้ำที่มีการกรุขอบบ่อด้วยหินทรายและศิลาแลง
ที่ทิ้งชิ้นส่วนแตกหักของพระพุทธปฏิมากรนาคปรกลงไปทั้งองค์

.

         อีกทั้งรูปเคารพทั้งพระนาคปรก เหล่าพระโพธิสัตว์และเทวีปรัชญาปารมิตาอีกมากมายในปราสาทราชวิหารทุกแห่ง ก็ให้รื้อถอนถอดโคนเดือยออกจากอาคารศาสนสถาน หรือไม่ก็ให้ทุบทำลายเสีย แยกส่วนพระเศียรที่เป็นส่วนสำคัญให้แตกออกจากร่าง แล้วให้นำชิ้นส่วนรูปเคารพที่แตกหักทั้งหลายนั้นไปฝังกลบในหลุมลึกใต้ดิน แทนความหมายของนรกภูมิที่มืดมิด สะกดอำนาจแลอานุภาพเก่าให้ดับสูญ สลายหายไปจากโลกใหม่ของอาณาจักรเช่นเดียวกัน

.

        จะต้องตามทำลายล้างกันอย่างที่เล่ามานี้เลยหรือ ? ท่านผู้อ่านก็คงจะเริ่มสงสัย

.

         ในปี ค.ศ. 2001 ในระหว่างการขุดค้นทางโบราณคดี โดยความร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยโซเฟีย (Sophia University Angkor International Mission) จากประเทศญี่ปุ่นกับองค์กรอัปสรา (Apsara Authority) ที่ปราสาทบันทายกุฎี (Banteay Kdei Pr.) บริเวณอาคารขนาดเล็กทางด้านหน้าฝั่งทิศเหนือก่อนข้ามคูน้ำเข้าสู่ซุ้มประตูโคปุระ ที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่โซน D11 ในระหว่างการขุดลอกหน้าดินตะกอนทับถมและตรวจชั้นดินของปราสาท ในหลุมขุดด้านหน้าประตูลึกประมาณ 2.5 เมตร ก็ได้มีการขุดค้นพบ หลักฐานสำคัญที่จะช่วยคลายความสงสัยในเรื่องราวรายละเอียดของการสลายอำนาจ – อานุภาพที่ดู “ไม่น่าเชื่อ” ที่ผมเพิ่งเล่าไปเมื่อซักครู่นี้ครับ

.

.

.

การขุดค้นทางโบราณคดีที่ปราสาทบันทายกุฎีในปี 2001

ได้เผยให้เห็นหลักฐาน “เรื่องราวโศกนาฏกรรม” ครั้งสำคัญของจักรวรรดิบายนในยุคเสื่อมถอย

.

          หลักฐานที่ขุดพบโดยบังเอิญ แบบไม่ตั้งใจในระหว่างการศึกษาชั้นดินที่ปราสาทบันทายกุฎี ก็คือการค้นพบประติมากรรมรูปเคารพ (Discovered Buddhist Statues) ในคติมหายาน (Mahayana) หรือวัชรยานตันตระ ที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในช่วงยุคสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งจักรวรรดิบายน จำนวน 274 ชิ้น ประมาณกันว่าเป็นชิ้นส่วนที่แตกหักของพระพุทธรูปนาคปรกขนาดต่าง ๆ จำนวนไม่น้อยกว่า 150 องค์ เศียรพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรอีกกว่า 10 ชิ้น  “หลักยันตรมณฑล” ขนาดใหญ่ 1 หลัก และปราสาทจำลองมีซุ้ม 4 ทิศ 1 หลัก (ภายในซุ้มปราสาทจำลอง ทำเป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับยืน รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 กร รูปเทวรปรัชญาปารมิตาและรูปพระวัชรธร บุคลาธิษฐานแทนความหมายของการบรรลุนิพพานอย่างรวดเร็ว) และรูปประติมากรรมอีกหลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นเครื่องบนประดับปราสาทเฉพาะที่เป็นรูปพระพุทธเจ้า รูปพระพุทธรูปประทับยืน และรูปเคารพสามองค์ตามคติวัชรยานไตรลักษณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกรื้อถอนออกมาจากภายในหมู่อาคารอย่างเป็นระบบขั้นตอน ดังที่พบ “รูหลุมเดือย” ที่เคยเป็นที่ตั้งของรูปเคารพอยู่ทั่วไปในอาคารหลังต่าง ๆ ของปราสาท แล้วย้ายมาฝังรวมไว้ในหลุมเดียวกันทั้งหมดในคราวเดียว

.

.

ชิ้นส่วนของรูปประติมากรรมพระนาคปรกและพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจำนวนมาก

ในสภาพถูกทุบหรือทิ้งกระแทกให้พระเศียรหรือส่วนพังพานนาคหัก แล้วนำมาฝังรวมกันในหลุม


8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-8 21:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

.

.

พระพุทธรูปในรูปแบบแบบ “ชัยพุทธมหานาถ” ขนาดใหญ่น้อย
และหลัก “พุทธะ-ยันตระมณฑล” ที่ถูกรื้อถอนออกมาจากภายในปราสาท
มาฝังรวมกันไว้ในหลุมหน้าอาคารขนาดเล็ก
ทางด้านหน้าฝั่งทิศเหนือของปราสาทบันทายกุฎี

.

          ซึ่งก็คงต้องยกให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ผู้ล้มล้างจักรวรรดิบายนทั้งทางโลก (อำนาจ การปกครอง)และในทางอำนาจเหนือธรรมชาติ (อำนาจแลอานุภาพ) ได้กลายเป็น “จำเลย” ในหน้าประวัติศาสตร์ของการทำลายล้างคติความเชื่อเดิมของอดีตแห่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แบบ “ขุดรากถอนโคน” ในปราสาทบันทายกุฎีนี้ อย่างไม่มีข้อสงสัย

.

.

.

รูปประติมากรรมขนาดใหญ่น้อย ในรูปแบบต่าง ๆ

ที่ถูกรื้อถอนออกมาจากภายในอาคารศาสนสถาน

มาฝังรวมกันไว้ในหลุมหน้าอาคารขนาดเล็ก ทางด้านหน้าฝั่งทิศเหนือของปราสาทบันทายกุฎี

.

         และเมื่อปีที่แล้ว (2011) ก็ยังมีการขุดพบรูปประติมากรรมของพระพุทธรูปนาคปรกขนาดใหญ่ศิลปะแบบบายน ความสูงกว่า 2 เมตร ที่ข้างฐานอาคารหอนางรำ (วิหาร) ด้านหน้าของปราสาทตาพรหม ที่น่าจะเป็นพระประธานสำคัญของราชวิหารแห่งนี้ ในสภาพถูกทุบแยกพระเศียรออกจากพระวรกาย เช่นเดียวกันกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในทั่วเมืองพระนครในช่วงเวลาเดียวกัน

.

.

พระพุทธปฏิมากรนาคปรกขนาดใหญ่ ที่อาจเป็น “พระชัยพุทธมหานาถ”

ประธานของราชวิหารแห่งปราสาทตาพรหม ถูกขุดพบในเดือนตุลาคม ปี 2011

.

         ปัจจุบันรูปประติมากรรมทางพุทธศาสนาที่ขุดพบในเขตปราสาทบันทายกุฎีทั้งหมดถูกนำขึ้นมาเก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระนโรดมสีหนุ (Preah Norodom Sihanouk – Angkor museum) ซึ่งรายละเอียดจากการศึกษารูปแบบทางศิลปะในยุคบายน “แท้” ที่พบหลักฐานแบบ “ยกเข่ง – เหมาโหล”เช่นนี้ ก็จะมีส่วนช่วยให้เราทำความเข้าใจเรื่องราวความต่อเนื่องของ “พระพุทธรูปนาคปรก” ที่สืบทอด “ร่องรอยทางศิลปะและคติความเชื่อ” มาจนถึงในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีครับ

.

.

ช่องรูที่ชั้นบนสุดของปราสาทประธานปราสาทบายน
เป็นช่องรูที่เคยสวมเดือยของแท่นฐานพระพุทธปฏิมากรนาคปรกคู่จักรวรรดิ

.

         ซึ่งนั่นก็คือเรื่องราวของ “พระพุทธรูปนาคปรก” และรูปเคารพ “ชัยพุทธมหานาถ” ในศิลปะแบบบายน ที่พบเห็นได้ในเขตจักรวรรดิบายนที่เคยยิ่งใหญ่ในยุคโบราณ ซึ่งใน “ปัจจุบัน” ก็คือส่วนของประเทศกัมพูชา บางส่วนของประเทศไทยและประเทศลาว ไงครับ

.

.

หลักหินในคติ “พุทธมณฑล”( Buddha Mandala)

เป็นการจัดวางเหล่าพระพุทธเจ้าบนสรวงสวรรค์มันดารา

แบบเดียวกับหลัก “ยันตรมณฑล” ของฮินดูตันตระในยุคก่อนหน้า

ขุดพบที่ปราสาทบันทายกุฎีพร้อมกับพระพุทธรูปที่ถูกทุบทำลายจำนวนมาก

.

.

หลักหินรูปซุ้มปราสาท 4 ทิศ

ด้านฝั่งที่เป็นรูปของ “พระวัชรธร” หรือบุคคลาธิษฐานแห่งความสำเร็จโดยพลัน

.

.

พระพุทธรูปนาคปรกในรูปแบบมีมวยผมหรืออุษณีษะแบบรัดเกล้าเป็นรูปกลีบบัวซ้อน
แบบ ”พระชัยพุทธมหานาค” ที่ปราสาทบันทายกุฎี

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-8 21:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

.

รูปประติมากรรมพระพุทธปฏิมากรนาคปรกที่ขุดพบที่ปราสาทบันทายกุฎี

จะมีลักษณะของใบหน้าเพียงแค่”คล้ายคลึงกัน” แต่ไม่ได้เหมือนกันไปทั้งหมด

.

.

พระพุทธปฏิมากรนาคปรกขนาดใหญ่ ในรูปแบบของ “พระชัยพุทธมหานาถ”

ถูกฝังทิ้งที่ปราสาทบันทายกุฎี

.

         คติความเชื่อของการสร้างรูปเคารพพระศากยมุนี ที่มีพญานาคแผ่พังพานปกคลุมอยู่ด้านบนนั้นแรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้มีรากเหง้ามาจากวัฒนธรรมของเขมรโบราณนะครับ แต่มีพื้นฐานสำคัญมาวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาในอินเดีย ที่เกิดขึ้นมาจาก “พุทธประวัติในตอนตรัสรู้”  ที่มีการกล่าวถึงพญานาค “มุจลินท์”  (Mucalinda Serpent) ผู้เป็นราชาแห่งเหล่านาคราช ที่ขึ้นมาแผ่พังพานเสมือนดั่งเป็นเศวตฉัตร 7 ชั้น ปกคลุมเบื้องบน แล้วม้วนตัวทำเป็นขนดนาคล้อมพระวรกายอีก 7 ชั้น มิให้ลมพายุฝน แมลงร้ายและลมหนาวถูกต้องพระวรกายองค์พระศากยมุนีเจ้า

.

         สอดรับเข้ากันกับตำนานเก่าแก่ของชาวกัมพุชเทศโบราณ ที่ถือว่า“นาค” หรือ “นาคราช” เป็นผู้ให้กำเนิดและเป็นผู้ปกปักษ์รักษาอาณาจักรเขมรมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ดังนิทานพื้นบ้านที่กล่าวถึงเรื่องราวของ “นางโสมะ” ผู้เป็นธิดานาคราช ได้อภิเษกสมรสกับ “โกญฑัญญะ” (แปลว่า ผู้มีเกาทัณฑ์วิเศษ) วรรณะพราหมณ์จากอินเดีย และพญานาคราชผู้เป็นพระราชบิดาของนางโสมะก็ได้ช่วยสร้างอาณาจักรกัมโพชขึ้นให้กับทั้งสอง

.

         การวางองค์ประกอบของรูปประติมากรรมพระนาคปรกแบบลอยตัวในสมัยวัฒนธรรมทวารวดี ที่ถือเป็นช่วงแรกของการ “เคลื่อนย้าย” (Movements) หรือ “ลอกเลียน” (Imitates) ประติมากรรมรูปเคารพทางศาสนาจากวัฒนธรรมอินเดียเข้ามาสู่ภูมิภาคอุษาคเนย์ เป็นครั้งแรก ๆ จะวางรูปของพระศากยมุนีในท่าธยานะมุทรา (ปางสมาธิ) ประทับนั่งบนบัลลังก์ขนดนาค ด้านบนวางเป็นรูปของพญานาคามุจลินท์ 7 เศียร (Seven-headed serpent) แผ่พังพานแยกออกเป็นร่มฉัตร ที่ด้านข้างทั้งสองฝั่งวางเป็นรูปของยอดพระสถูป

.

         รูปประติมากรรมพระนาคปรกที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในภูมิภาค น่าจะเป็นรูปพระนาคปรกที่พบที่เมืองศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี  กับพระพุทธรูปนาคปรกที่พบจากบ้านเมืองฝ้าย จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีอายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่  11 และพระพุทธรูปปางนาคปรกที่พบในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีอายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 12

.

.

พระพุทธปฏิมากรนาคปรกองค์แรก ๆ ที่อาจมีอายุเก่าแก่ที่สุดของอุษาคเนย์
(เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) พบที่เมืองโบราณศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี
จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร/ปราจีนบุรี

.

.

พระพุทธปฏิมากรนาคปรกองค์แรก ๆ ที่อาจมีอายุเก่าแก่ที่สุดของอุษาคเนย์อีกองค์หนึ่ง
อายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 11 พบที่เมืองโบราณบ้านฝ้าย จังหวัดบุรีรัมย์
ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดอุทัยมัคคาราม ตำบลหินดาด อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา

.

.

พระพุทธปฏิมากรนาคปรกองค์แรก ๆ ของอุษาคเนย์ อายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 12

พบที่พระนครศรีอยุธยา จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา

.

         ส่วนในอาณาจักรกัมพุชเทศะโบราณ เริ่มปรากฏรูปของประติมากรรมพระนาคปรกครั้งแรก ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 16โดยอิทธิพลของราชวงศ์มหิธระปุระ ที่มีความใกล้ชิดกับวัฒนธรรมเถรวาทแบบทวารวดี เป็นพระนาคปรกในช่วงศิลปะแบบบาปวน (Baphuon Style) มีลักษณะของพระศากยมุนีนั่งขัดสมาธิราบในท่าธยานะมุทรา (ปางสมาธิ) ประทับบนบัลลังก์ขนดนาค 3 ชั้น ที่ขยายขนดให้ใหญ่ขึ้นทีละชั้น ที่พระวรกายยังไม่มีการประดับอาภรณ์แบบพระทรงเครื่อง แต่ละรูปสลักจะมีรูปใบพักตร์ (หน้า)แตกต่างไม่คล้ายคลึงกัน อุษณีษะ (อุณหิส – พระเกตุมาลา )เหนือพระเศียรบางรูปทำคล้ายเป็นรัดเกล้ารูปกรวยแหลม บ้างก็เป็นขมวดพระเกศาต่อขึ้นไปจากพระเศียร หรืออาจอาจทำเป็นรัดเกล้ารูปกลีบบัวซ้อนขึ้นไปหลายชั้น  

.

.

พระพุทธปฏิมากรนาคปรกในยุคแรกของวัฒนธรรมเขมร
จากจังหวัดพระตะบอง ศิลปะแบบบาปวน จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกัมพูชา

10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-8 21:05 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


.

         ลักษณะของพญานาค 7 เศียร จะทำดูเหมือนยกตัวขึ้นมาจากด้านหลังของพระวรกาย แผ่พังพานคล้ายรูปใบโพธิ์ยอดแหลม เริ่มแผ่ตัวจากส่วนต้นแขนขึ้นไปเหนือพระเศียร เศียรนาคไม่มีรัศมีหรือกะบังหน้าประกอบ เศียรนาคตรงกลางเงยหน้าเชิดตรง หรือมองมาทางข้างหน้า ส่วนเศียรนาคด้านข้างทั้งหกเศียรก็หันหน้าสอบขึ้นไปตามแนวแผ่ข้าง มองขึ้นไปยังเศียรกลาง หรือบางรูปก็จะเอียงเศียรออกมาทางด้านหน้าในแนวสอบเข้าอย่างเดียวกัน

.

.

พระพุทธปฏิมากรนาคปรกในยุคแรกของวัฒนธรรมเขมร

ศิลปะแบบบาปวน จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์กีเมต์ ประเทศฝรั่งเศส

.

        ต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 รูปประติมากรรมพระนาคปรก เริ่มได้รับอิทธิพลทางคติความเชื่อในลัทธิมหายาน นิกายวัชรยานตันตระ (Vajrayana Tantra) ที่มีต้นทางมาจากวัฒนธรรมอินเดียตั้งแต่ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 14เกิดเป็นความนิยมในการสร้างพระพุทธรูปของ “พุทธราชา” หรือ “พระอาทิพุทธเจ้า” ที่มีการประดับรูปเครื่องอาภรณ์แบบกษัตริย์หรือที่เรียกว่า“พระพุทธรูปทรงเครื่อง” (Crowned Buddha) ขึ้นเป็นครั้งแรกของศิลปะเขมร โดยมีการใส่เครื่องประดับศิราภรณ์ทั้งกะบังหน้า มงกุฎรูปกรวยครอบพระเศียรที่เคยเป็นเพียงขวดพระเกศา สลักรูปของกุณฑล (ตุ้มหู) ที่ปลายพระกรรณทั้งสองข้าง ส่วนของพระวรกาย ก็สลักเป็นรูปแผงกรองพระศอประดับด้วยลายดอกไม้ตรงกลางและมีพู่อุบะห้อยอยู่ด้านล่าง ที่พระพาหา (แขน) ยังสลักเป็นรูปพาหุรัด ที่ต้นแขน และรูปทองพระกร ที่ข้อมือ

.

.

พระพุทธรูปทรงเครื่องศิลา 5 ปาง ศิลปะอินเดียแบบปาละ – เสนะ
อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 16พบจากแคว้นพิหาร
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย (Asian Art Museum)

.

พระพุทธรูปทรงเครื่องปางวิตรรกะมุทธราในซุ้มบัญชร ศิลปะอินเดียแบบปาละ – เสนะ
อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ British Museum

.

.

พระพุทธรูปทรงเครื่องรุ่นแรก ศิลปะอินเดียแบบปาละ – เสนะ

อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16

จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย (Asian Art Museum)


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้