นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีตำนานทางฝ่ายฮินดู,กล่าวไว้อักว่า ไม้มะเดื่อนั้นเป็นที่ประทับของเทพตรีมูรติ ตามรูปทำเป็นเทวดามีสามหน้า ว่าหมายถึงพระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ธรรมเนียมที่ให้พระเจ้าแผ่นดิน ประทับบนตั่งไม้มะเดื่ออาจจะเนื่องมาจากนี้ก็ได้ เพราะไม้มะเดื่อเคยเป็นที่ประทับของเทพเจ้ามาแล้ว ไม้มะเดื่อตามความเชื่อของพวกฮินดูเขาว่าพวกผู้หญิงที่ปรารถนาจะได้บุตร เขาให้ไปเดินเวียนรอบต้นมะเดื่อหนึ่งพันรอบ ทุกๆ เช้า กิ่งแห้งใช้บูชาไฟ ต้นเหตุก็เห็นจะเป็นเพราะต้นมะเดื่อ มีผลดกมากนั่นเองคิดว่าถ้าบูชาแล้วคงจะมีลูกบ้าง ในคำอธิบายเรื่องพระศุนหเศป (หน้า ๘๖) พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงกล่าวไว้ว่า “๕๘ ผลอุทุมพรถือว่าเป็นผลไม้สำคัญ เพราะตัวต้นไม้เป็นที่นับถือ เป็นของสำหรับกันกับกษัตริย์ นอกจากตั่งภัทรบิฐ ยังมีของอื่นๆ ที่ทำด้วยไม้อุทุมพรเป็นเครื่องใช้ในงานราชาภิเษก คือกระบวยที่ใช้ตักนํ้ามันเจิมถวาย ก็ทำด้วยไม้อุทุมพร และในโบราณกาล หม้อน้ำที่พวกกษัตริย์ใช้ถวายน้ำก็ทำด้วยไม้อุทุมพร” ในตำนานอดีตพุทธเจ้ากล่าวว่า พระผู้มีพระภาคโกนาคมนะ ซึ่งเป็นบุตรของนางพราหมณีชื่ออุตตรา ภรรยาของพราหมณ์ยัญญทัต ในนครโสภวดี ต่อมาโกนาคมนะได้ขี่ช้างออกมหาภิเนษกรมณ์ กระทำความเพียรอยู่ ๖ เดือน ก็ตรัสรู้ที่โคนต้นมะเดื่อ นี่แสดงว่า ต้นมะเดื่อก็เคยเป็น “ต้นไพธิ์” ที่ตรัสรู้มาแล้วเหมือนกัน ความจริงนั้น ต้นมะเดื่อก็มีเรื่องเกี่ยวข้องอยู่ในพุทธประวัติเหมือนกัน ตามเรื่องกล่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้เป็นที่ประทับหลังจากที่พระองค์ได้เสด็จหนีออกจากพระบรมมหาราชวังเพื่อหาทางดับทุกข์สละกิเลส พระองค์ได้เสด็จไปถึงหน้าถํ้าแห่งหนึ่งบนเขารัตนะบุรี กรุงราชคฤห์ ที่หน้าถํ้านี้มีต้นมะเดื่อใบดกหนา ซึ่งเข้าใจว่าจะเป็นมะเดื่ออุทุมพร พระองค์ได้ประทับอยู่ในที่นี้ ตามพุทธประวัติ ได้บรรยายถึงสถานที่นี้ไว้ว่า “ท่านทั้งหลายที่ได้ผ่านมา ณ สถานที่นี้ควรจะได้แสดงคารวะโน้มเศียรอภิวาท เพราะจะหาที่ใดบริสุทธิ์ควรแก่การเคารพมากไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้วเนื่องจากเป็นสถานที่เดียวที่กษัตริย์ทรงสละราชบัลลังก์ ลงเกลือกกลั้วบนพื้นหญ้าแทนพระแท่นที่บรรทม’’ มะเดื่อมีหลายชนิด เช่นมะเดื่อฝรั่ง มะเดอปล้องหิน มะเดื่อกวาง มะเดื่อเถา มะเดื่อหว้า แต่ในที่นี้จะพูดถึงมะเดื่อชุมพรหรืออุทุมพรโดยเฉพาะ ลักษณะของมะเดื่อชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นเกลี้ยง ใบโตยาว โดยมากมีรังหนอน มีเม็ดกลมโต ปรากฏอยู่ที่ใบ ตามปกติชอบขึ้นตามริมแม่นํ้าลำธาร มีทั้งภาคเหนือและภาคกลาง เปลือกต้นมะเดื่อมีรสฝาดกินแก้ท้องร่วง และชะล้างบาดแผลเป็นยาสมานได้ดี รากใช้เป็นยาแก้ไขพิษทุกชนิด ผลมะเดื่อมักออกเป็นกระจุกอยู่ตามกิ่งและลำต้น ผลอ่อนใช้รับประทานได้ เคยเห็นบางคนเอามาจิ้มนํ้าพริกกิน ภายในผลมีเกสร เล็กๆ เมื่อสุกจัดจะมีสีแดง เวลาบิออกมักจะมีแมลงหวี่เข้าใจว่าแมลงหวี่จะเข้าไปฟักไข่ พอตัวแก่ก็พากันเจาะออกมา ด้วยเหตุนี้กวีจึงชอบนำเอามากล่าวเปรียบเทียบเสมอ อย่างเช่นสุนทรภู่ได้กล่าวไว้ในนิราศภูเขาทองตอนหนึ่งว่า “ถงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด
บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน
อุประไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา”
|