ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4722
ตอบกลับ: 8
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~~พลังงาน~~

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย voon เมื่อ 2013-4-21 18:55




พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมชาติรู้ปรากฏการณ์ของธรรมชาติ เข้าใจเรื่องธรรมชาติ เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติสิ่งที่พระองค์ทรงสอนนั้นคือ ภาษา ภาษามีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ สัจจะคือความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าทรงสอนเพียงแค่ ใบไม้กำมือเดียวคือสอนให้พ้นทุกข์มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องมาเรียนรู้เรื่องกายและจิตของตัวเอง เท่านั้น และพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เรื่องสสารและพลังงาน”  หรือที่เรียกว่ารูปกับนาม พลังงานยังแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือพลังงานศักย์ พลังงานจลน์ และพลังงานสถิต




1.พลังงานศักย์ เป็นพลังงานสะสมเป็นพลังงานคงที่ ในขณะที่เราทำสมาธิเราจะใช้องค์บริกรรม คำภาวนาต่างๆก็ดี การสวดมนต์ในรูปแบบต่างๆก็ดีเป็นการรวบรวมพลังงานทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวกันจนเกิดเป็นสนามพลังงานขึ้นมามีลักษณะเหมือนคลื่นแม่เหล็ก หรือเป็นแสงสว่างเป็นรังสีก็มี ในทางธรรมเรียนว่า สมถะก็คืออุบายเป็นเครื่องสงบใจก็มีพลังขึ้นมานั้นเอง



2. พลังงานจลน์เป็นพลังที่ใช้จ่ายออกไปในระบบต่างๆของร่ายกาย คือจ่ายออกทางหู จมูก ลิ้น กาย โดยที่ใจดวงนี้สามารถควบคุมและนำไปใช้ในทางสันติได้หลายทางทางธรรมเรียกว่า วิปัสสนาคือการรู้แจ้งเห็นจริงในกายและจิตนี่เอง
            ผู้ที่ปฏิบัติสามาธิจะสามารถเรียนรู้แบะควบคุมการใช้พลังจิตที่ฝึกฝนอบรมมาได้ดังนี้
                2.1พลังงานทางเสียง พระพุทธเจ้าทรงอธิฐานจิตว่าใครก็ตามที่ได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์จะบรรเทาคลายความทุกข์ หายเจ็บหายป่วย สุขกายสบายใจ และเป็นคำสอนที่เรียกว่า อาเทสนาปฏิหาริย์ ซึ่งได้ผลที่น่าอัศจรรย์แม้ในปัจจุบันการได้ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ที่มีพลังงานทางเสียงก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเมตตาที่สงบเยือกเย็น
            2.2 พลังงานทางคลื่นคือ กระแสจิตที่แผ่ซ่านออกมาอย่างเช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใครได้เข้าใกล้หรือเพียง พระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ ก็มีความรู้สึกเย็นสบาย ปลาบปลื้มปิติ หรือร้องไห้ อย่างครูบาอาจารย์ต่างๆ ก็เช่นเดียวกันใครเข้าใกล้ก็มีความรู้สึกสบายใจ สุขใจ เหมือนอยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรทั้งนี้เป็นเพราะการใช้กระแสคลื่นในทางการแผ่เมตตา แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลปลดปล่อยจิตวิญญาณที่ทุกข์ทรมานให้มีความสุขใจ เป็นกุศลหาบุญประมาณไม่ได้




               2.3พลังงานทางแสง สำหรับผู้ที่ฝึกกสิณ10 จนได้ณานหรือผู้ที่ฝึกสมาธิจนถึงระดับ 5จิตจะมีพลังแสงออกกมาเป็นแสงสว่างเหมือนแสงนีออน หรือเป็นสีรุ้น 7 สีเป็นเกราะครอบคลุมตัวเอง บางคนก็มีความใสสว่างเหมือนกลางวัน บางคนมีความสว่างถึง20 วาก็มีแล้วแต่บุญบารมีที่สั่งสมมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน
                2.4 พลังงานทางรังสีเป็นคลื่นความถี่ที่สูงและมีความเร็วกว่าคลื่นแสง 15 เท่าขึ้นไปเป็นอภิญญาจิตสำเร็จด้วยความรู้สึกของใจ เป็นการปรับจูนคลื่นเข้าหากัน ทำให้รู้จักอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งของตัวเองและผู้อื่นได้ เราสามรถเทียบจากเฉดสีทางพุทธศาสนาซึ่งได้ระบุถึงน้ำเลี้ยงหัวใจมี 6 อย่าง ทำให้ทราบถึงจริตของแต่ละคนดังนี้
                - ราคะจริตคือน้ำเลี้ยงหัวใจมีสีแดง
                -โทสจริต คือน้ำเลี้ยงหัวใจมีสีดำ
                -โมหะจริต คือน้ำเลี้ยงหัวใจมีสีหม่นเหมือนน้ำล้างเนื้อ
                -วิตกจริต คือ น้ำเลี้ยงหัวใจมีสีเหมือนน้าเยื่อถั่วพู
                -สัทธาจริต คือน้ำเลี้ยงหัวใจมีสีเหลืองอ่อนคล้ายสีดอกกรรณิการ์
                -พุทธิจริต คือน้ำเลี้ยงหัวใจมีสีขาวเหมือนสีแก้วเจียระไน
ทั้งนี้ยังสามารถใช้รังสีก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่นได้รังสีที่ได้จะมีสีใกล้เคียงกับ ฉัพพรรณรังสี อาจจะสีอ่อนกว่า



3.พลังงานสถิตเป็นพลังงานที่สะสมคั่งค้างมานานแสนนาน มีพลังเกินกว่าธรรมชาติทั่วไปบางครั้งเหมือนกับมีชีวิตที่เราเรียกว่า อาถรรพ์ ของขลัง อิทธิฤทธิ์ อะไรต่างๆในทางธรรมเรียกว่า พลังบารมีเป็นพลังงานที่เราสะสมมาทั้งทางดีและทางชั่วนั่นเอง

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-21 17:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย voon เมื่อ 2013-4-21 19:10



-คลื่นของความร้อนรน กระสับกระส่ายจะออกมาแบบเดียวกับคลื่นที่ปล่อยจากธาตุปรอท เป็นสาเหตุให้เกิดโรคปวดข้อและกระดูก
-คลื่นของความโกรธจะออกมาแบบเดียวกับคลื่นที่ปล่อยจากธาตุตะกั่ว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำเสื่อมสังขารเสื่อม
-คลื่นของความเศร้าจะออกมาแบบเดียวกับคลื่นที่ปล่อยจากธาตุอะลูมิเนียม เป็นสาเหตุให้คลื่นไส้ อาเจียน
-คลื่นของความวิตกกังวล จะออกมาแบบเดียวกับคลื่นที่ปล่อยจากธาตุแคดเมียมเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
-คลื่นของความสับสนงงงวย จะออกมาแบบเดียวกับคลื่นที่ปล่อยจากธาตุเหล็ก
การเผชิญความรู้สึกในแง่ลบสามารถ ใช้ความคิดเชิงบวกมาแก้ได้
          ความเกลียด<> ความขอบคุณ
          ความโกรธ<>ความอ่อนโยน
          ความกลัว <> ความกล้า
          ความไม่สบายใจ <> ความสงบนิ่ง
          ความร้อนรน<>ความสุขุม
          ความกดดัน<>การปล่อยวาง



อดีตเหตุคือการให้ สะสมความรู้สึกที่ดี =>ชาตินี้จึงมีแต่คนอยากให้อยากช่วย
อดีตเป็นคนขี้โกรธ =>ปัจจุบันจึงเป็นคนผิดพรรณไม่ผุดผ่อง!
อดีติเป็นคนขี้อิฉาริษยา =>ปัจจุบันเกิดในตระกูลต่ำ
อดีตเป็นคนรักษาศีล =>ปัจจุบันจึงเป็นคนสวย
อดีตเป็นคนไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ =>ปัจจุบันพ่อแม่ก็ไม่เลี้ยงดู !
อดีตเคยทำให้ลูกพลัดพรากจากพ่อแม่ =>ปัจจุบันจึงกำพร้าพ่อแม่ !
อดีตทำให้เขาเจ็บอกเจ็บใจ =>ปัจจุบันจึงเป็นโรคหัวใจ
อดีตใครทำผิดไม่ให้อภัย เหยียบย่ำซ้ำเติม =>ปัจจุบันก็มีแต่คนเหยียบย่ำซ้ำเติม
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-21 18:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย voon เมื่อ 2013-4-21 18:57

วิธีการปฏิบัติวิธีการปฏิบัติสมาธิเพื่อการผ่อนคลายฯ

ปิดเพลงสรรเสริญคุณงามความดี เช่น เพลงสวดมนต์ต่างๆ

ท่าที่ 1
นั่งสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย หงายฝ่ามือทั้งสอง วางบนหัวเข่า ยกฝ่ามือทั้งสองขึ้น กำหนดเอาสมอง (ความคิด) วางไว้บนฝ่ามือข้างขวา กำหนดเอาหัวใจ (ความรู้สึก) วางไว้บนฝ่ามือข้างซ้าย แล้วยกมือขึ้นลง สลับข้างกัน ขวาขึ้นซ้ายลง ขวาลงซ้ายขึ้น เป็นจังหวะไปเรื่อยๆ เหมือนเราชั่งน้ำหนัก ระหว่างสมองกับหัวใจ ยกขึ้น ยกลงอย่างเบาๆ ช้าๆ พอดีๆ สบายๆ ผ่อนคลาย

ท่าที่ 2
ให้เราเอาฝ่ามือทั้งสอง มาหมุนอยู่ข้างหน้า หมุนเป็นธรรมจักร หมุนไปเรื่อยๆ การหมุนฝ่ามือเป็นการสร้างพลังงานประจุไฟฟ้าบวกขึ้นมาใหม่ เราจะรู้สึกถึงพลังงานและความสดชื่นขึ้นมาทันที ทำไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาที เป็นการสร้างพลังงานให้กับตัวเอง เหมือนการหมุนของไดนาโมที่ปล่อยสนามพลังงานไฟฟ้าออกมา
ท่าที่ 3
ให้เราเอามือซ้ายอยู่ล่าง มือขวาอยู่บน แล้วนำพลังงานทั้งหมด มาปั้นรวมกันอยู่กึ่งกลางฝ่ามือ ให้เป็นลูกแก้วที่กลางฝ่ามือ ประคองไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ตรงนี้จะเป็นการอัดพลังงานเข้าสู่ร่างกาย พลังงานส่วนหนึ่งจะไหลเข้าไปตามเส้นประสาท ไปรักษาหัวใจ ปอด ตับ ไต ม้าม ลำไส้ ถุงน้ำดี อวัยวะภายในทั้งหมดก่อน และพลังงานอีกส่วนหนึ่งจะไหลไปตามกระแสเลือด เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

ท่าที่ 4
คือ ท่าไร้รูปแบบ ไร้วิธีการ ทำกายและจิตของเรานี้ให้เคลื่อนไหว เหมือนใบไม้ที่พริ้วไหวไปตามลม

วิธีการตั้งสมาธิ
แบมือทั้ง 2 ขึ้น นึกมโนภาพหรือจินตนาการว่า มีลูกหินทรงกลมวางไว้บนฝ่ามือทั้งสอง แล้วยกมือสาวเข้าหาตัว พร้อมๆ กับหมุนลูกหินบน ฝ่ามือไปด้วย ทำไปเรื่อยๆ จนกว่า จะเห็นลูกหินหมุนอย่างชัดเจนที่กลางฝ่ามือ บางครั้งจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายหายไป เหลือ แต่ลูกหิน ในขณะที่ปฏิบัตินี้สามารถนึกภาพจินตนาการ เปลี่ยนจากลูกหินให้กลายเป็นลูกแก้วใส ดอกบัว ลูกไฟ ธรรมจักร พระพุทธรูป ลูกโลก ดวงจันทร์ พระอาทิตย์ ฯลฯ


วิธีถ่ายทอดสมาธิ

ท่าที่ 1: จูนสมาธิ
ให้ผู้สอนหงายฝ่ามือทั้งสอง นิ้วโป้งกดกลางฝ่ามือ 4 นิ้วที่เหลือ แตะอยู่ใต้หลังมือของผู้ฝึกหัดใหม่ แล้วสาวฝ่ามือเข้าออก หมุนเป็นวงกลมหรือวงรี คล้ายกับการสาวเชือก ทำต่อไปเรื่อยๆ จนสังเกตว่า ผู้ฝึกใหม่เริ่มผ่อนคลาย แล้วปล่อยให้เขาทำเอง
ท่าที่ 2: ถ่ายทอดผ่านฝ่ามือ
ให้ผู้สอนใช้ฝ่ามือแตะฝ่ามือของผู้ฝึกหัดใหม่ แล้วหมุนเป็นวงกลม พร้อมๆ กันทั้งสองฝ่ามือ ให้ส่งความรู้สึกไปที่หัวใจกับปอด ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้ฝึกใหม่ผ่อนคลาย แล้วปล่อยให้เขาทำเอง

ท่าที่ 3: สายสัมพันธ์
ให้นั่งหันหลังชนกัน แล้วต่างคนต่างปฏิบัติสมาธิพร้อมกัน กำหนดจิตส่งพลังเข้าแผ่นหลังของอีกฝ่ายหนึ่ง ( เหมาะกับสามี-ภรรยา, เพื่อน, ญาติสนิทที่เจ็บป่วย และผู้ที่ต้องการกำลังใจ)

ท่าที่ 4: การฝึกแบบอนุกรม
ใช้ผู้ฝึก 5-10 คน นั่งขัดสมาธิ ให้ฝ่ามือสัมผัสกัน แล้วโยกตัวในจังหวะที่สอดคล้องไปด้วยกัน โดยที่ฝ่ามือไม่หลุดออกจากกัน (เหมาะสำหรับนักเรียนเป็นอย่างมาก)

สมาธิพิเศษ
1. เส้นแสง
ให้กำมือชูนิ้วโป้งขึ้นทั้งสองมือ ให้นึกมโนภาพเป็นเส้นแสงเหมือนเลเซอร์สีเงิน-สีทอง หรือสีอื่นๆ ที่ปลายนิ้วโป้ง แล้วใช้เส้นแสงถูไปตามจุดเจ็บปวดในร่างกาย ถูไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกร้อน สามารถกำหนดจิตโดยให้เส้นแสงเล็กลง เป็นเส้น-คม-บาง ไปตัด-ถูหรือทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ จะได้ผลดีมากๆ เหมาะกับผู้ที่มีแผลพุพอง เน่าเปื่อย มะเร็ง เนื้องอก น้ำเลือด น้ำเหลืองไม่ดี

2. ขับพิษออกจากร่างกายใส่ลูกแก้ว
ให้นึกมโนภาพว่ามีลูกแก้วใสๆ ที่กลางฝ่ามือ และนึกว่าเชื้อโรค สารพิษและความเจ็บป่วยเป็นสีดำไหลไปตามกระแสเลือด ไหลไปที่ปลายฝ่ามือทั้งสอง ม้วนไหลเข้าไปในลูกแก้ว เหมือนม้วนเส้นด้ายพันเข้าสู่ลูกแก้ว ทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเราโล่ง โปร่งใส สบายขึ้น และลูกแก้วเป็นสีดำคล้ำ เสร็จแล้วให้กำหนดจิตดีดลูกแก้วสีดำนั้นออกไปนอกโลก ระวังอย่าดีดใส่ใครจะเป็นบาปอย่างหนัก
3. สมาธิอักษร
ให้ผู้ปฏิบัติเลือกบทสวดมนต์บทใดบทหนึ่ง เช่น บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ บทพาหุง ธรรมจักร ยอดพระกัณฑ์ ฯลฯ อ่านให้คล่อง ท่องให้จำ ภาวนาที่ใจ สวดให้ชัด ตรงตามอักขระ วรรคตอน จากนั้นใช้ใจเป็นปากกา เขียนบทสวดมนต์ที่ท่องจำในใจโดยไม่ออกเสียง เมื่อสวดไปแล้วเกิดลืมขึ้นมาในบางวรรค บางตอนให้ปล่อยเลยไป ไม่ต้องย้อนกลับไปสวดใหม่ คนโบราณพูดไว้เป็นปริศนาของวิชาสมาธิอักษรว่า “หงส์ทองคู่ ตัวหนึ่งอยู่ ตัวหนึ่งไป” ขณะที่สวดจิตจะเป็นสมาธิ บางครั้งอาจจะมองเห็นเทพ เทวดา ญาติ ภูตผีปีศาจมานั่งฟังเต็มไปหมด อย่ากลัว อย่าตกใจ อย่ารำคาญ จะได้บุญ


ที่มา http://www.sripai.net/


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-21 18:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอบคุณครับ  
voon ตอบกลับเมื่อ 2013-4-21 18:56

ไอ๊ย๊ะ! วุ่นไม่ธรรมดา
voon ตอบกลับเมื่อ 2013-4-21 18:56

มีพลังแล้วอย่าลืมแวะมาเยี่ยมกันบ้างนะครับ
voon ตอบกลับเมื่อ 2013-4-21 18:56

รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2013-4-23 08:35

แบบนี้จูนสมาธิได้ด้วยหรอครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้