นับว่าเป็นนิมิตรหมายจากอดีตที่ดีในพุทธศาสนา ของพื้นที่บ้านเมืองลี้(อำเภอ ลี้) จ.ลำพูน
ที่มีวัดสำคัญของพระนักบุญแห่งล้านนาไทยถึง 3 วัดคือ วัดบ้านปาง บ้านเกิดและวัดของ
ครูบาศรีวิชัยนักบุญแห่งล้านนาไทย วัดที่สองคือวัดพุทธบาทผาหนาม ของท่านครูบา-
อภิชัยขาวปี และ วัดพระบาทห้วยต้ม ของท่านครูบาชัยวงศาอันเป็นแกนใจของชาว
กะเหรี่ยงที่ศรัทธาในพุทธศาสนา...น่าสนใจที่ท่านทั้งสามมีแนวชีวประวัติที่เป็นครูบา-นักบุญ
เหมือนกัน และ มาอยู่ในพื้นที่เดียวกันแห่งช่วงชีวิต ณ เมืองลี้ หรือ อำเภอลี้ จ.ลำพูนวัดแรกที่คณะเราแวะนมัสการที่อำเภอลี้ คือ"วัดบ้านปาง" ตั้งอยู่บนเนินเขาบ้านปาง หมู่ที่ 1
ตำบลศรีวิชัย ห่างจากตัวอำเภอลี้ 38 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายลี้-บ้านโฮ่ง-เชียงใหม่
กิโลเมตรที่ 89 ภายในบริเวณวัดนอกจากจะร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มีโบสถ์วิหารสวยงาม
และยังมีพิพิธภัณฑ์ครูบาศรีวิชัยซึ่งเก็บของใช้ส่วนตัวของท่านไว้อย่างครบถ้วน
นับแต่ สบง จีวร หมอน และเครื่องใช้อื่นๆ เช่น กระโถน แจกัน เป็นต้น บ้านปางคือเรือนเกิด และ เรือนตายปลายชีวิตของท่านครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย
กระดูกธาตุของท่านยังตั้งไว้เคารพบูชา ระลึกร่ำร้องย้ำความเป็นมาของชีวประวัติท่าน...
ชาวล้านนาว่าท่านเป็น "ตนบุญ" หรือ "นักบุญ"อายุได้ ๑๘ ปีก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดแห่งนี้
โดยมีครูบาขัติยะเป็นพระอุปัชฌาย์ ๓ ปีต่อมา (พ.ศ. ๒๔๔๒) มีอายุย่างเข้า ๒๑ ปี ก็ได้เข้า
อุปสมบทในอุโบสถวัดบ้านโฮ่งหลวง อำเภอบ้านโฮ่งจังหวัดลำพูน โดยมีครูบาสมณะ
เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับนามฉายาในการอุปสมบทว่า สิริวิชโยภิกฺขุ มีนามบัญญัติว่า "พระศรีวิชัย"
ครูบาศรีวิชัยรับการศึกษาจากครูบาอุปละวัดดอยแตเป็นเวลา ๑ พรรษาก็กลับมาอยู่ที่วัดบ้านปาง
จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๔ และเมื่อครบพรรษาที่ ๕ ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านปาง จากนั้นก็ได้ย้ายวัดไปยังสถานที่ที่เห็นว่าเหมาะสม คือบริเวณเนินเขาซึ่งเป็นที่ตั้งวัดบ้านปางในปัจจุบัน เพราะเป็นที่วิเวก
และสามารถปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดีโดยได้ให้ชื่อวัดใหม่แห่งนี้ว่า วัดจอมสรีทรายมูลบุญเรือง
แต่ชาวบ้านทั่วไปยังนิยมเรียกว่า วัดบ้านปาง ตามชื่อของหมู่บ้าน
ครูบาศรีวิชัยเป็นที่รู้จักและอยู่ในความทรงจำของชาวล้านนา คือการที่ท่านเป็นผู้นำในการสร้าง
ทางขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยสุเทพโดยพลังศรัทธาประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งกำลังกายและ
กำลังทรัพย์ ซึ่งใช้เวลาสร้างเพียง ๕ เดือนเศษ โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ และยังบูรณะ
พัฒนาสร้างวัดวาอาราม ปูชนีย์สถานของล้านนาอีกมากมาย โดยแรงศรัทธาของลูกศิษย์
และพุทธศาสนิกชน เป็นหัวหมวดพระอุปัชฌาย์ โดยฐานะเช่นนี้ ครูบาศรีวิชัยจึงมีสิทธิ์ตามจารีต
ท้องถิ่นที่จะบวชกุลบุตรได้ ทำให้ครูบาศรีวิชัยจึงมีลูกศิษย์จำนวนมาก
ลูกศิษย์เหล่านี้ก็ได้เป็นฐานกำลังที่สำคัญของครูบาศรีวิชัยในการดำเนินกิจกรรมทางศาสนา
และกิจกรรมสาธารณประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นแนวร่วมในการต่อต้านอำนาจจากกรุงเทพฯ
เมื่อเกิดกรณีขัดแย้งขึ้นกับทางคณะสงฆ์ และ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.ลี้ ถึงต้องอธิการหลายครั้ง
ด้วยที่ท่านแยกแตกนิกายเป็น "นิกายล้านนา"ทำให้ขัดกับพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์
กำหนดว่า "พระอุปัชฌาย์ที่จะบวชกุลบุตรได้ ต้องได้รับการแต่งตั้งตามระเบียบการปกครอง
ของสงฆ์จากส่วนกลางเท่านั้น" โดยถือเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะแขวงนั้น ๆครูบาฯจึงผิด พรบ.สงฆ์
เจ้าคณะแขวงและนายอำเภอได้พาตำรวจควบคุมครูบาศรีวิชัยไปกักไว้ที่วัดเจ้าคณะแขวงลี้
ได้ ๔ คืน จากนั้นก็ส่งครูบาศรีวิชัยไปให้พระครูบ้านยู้ เจ้าคณะจังหวัดลำพูนเพื่อรับการไต่สวน
ซี่งผลก็ไม่ปรากฏครูบาศรีวิชัยมีความผิด หลังจากถูกไต่สวนครั้งแรกไม่นานนัก ครูบาศรีวิชัย
ก็ถูกเรียกตัวสอบอีกครั้งโดยพระครู มหาอินทร์ เจ้าคณะแขวงลี้ เนื่องจากมีหมายเรียกให้
ครูบาศรีวิชัยนำลูกวัดไปประชุมเพื่อรับทราบระเบียบกฎหมายใหม่จากนายอำเภอ
และเจ้าคณะแขวงลี้ แต่ครูบาศรีวิชัยไม่ได้ไปตามหมายเรียกนั้น
ครูบาศรีวิชัยได้ถูกจับกุม เหมือนถูกกลั่นแกล้ง โดยตั้งกรรมการสงฆ์ระดับอำเภอและจังหวัด
สอบและควบคุมตัวไว้อีก เสมือนเป็นการกระด้างกระเดื่องต่อการปกครองสงฆ์
และที่หนักต้องอธิการคุมขังไว้เป็นปีด้วยข้อกล่าวหาว่า "ครูบาศรีวิชัยเกลี้ยกล่อมส้องสุมผู้คน
คฤหัสถ์นักบวชเป็นก๊กเป็นเหล่า และใช้ผีและเวทมนต์"เสมือนหักล้างศรัทธาประชาชน
ที่สนับสนุนในการสร้างวัดพัฒนาสถานที่ ที่ท่านไป"นั่งหนัก"หรือเป็นประธานงานบุญต่าง
เรื่องราวรุกลามไปใหญ่โต มองดังว่า"เพราะทำดี-ทำเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครหยากเห็นที่เด่นเกิน"
ท่านโดนหนักที่สุดอีกครั้งคือ เจ้าคณะเมืองเชียงใหม่และเจ้าคณะมณฑลพายัพได้ส่ง
ครูบาศรีวิชัยไปรับการไต่สวนพิจารณาที่กรุงเทพฯ ซึ่งผลการพิจารณาไม่พบว่ามีความผิด
ศรัทธาประชาชนก็เห็นใจและช่วยงานเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ข้าวของเครื่องใช้ในพิพิธภัณฑ์ที่วัดบ้านปาง และ รถยนต์สมัยนั้นที่คณะบดีพ่อค้าเชียงใหม่
ถวายเป็นพาหนะให้ท่านเดินทางไปแสวงบุญ ณ ท้องถิ่นห่างไกล จังหวัดต่างๆ ครูบาศรีวิชัยเริ่มต้นการบูรณะวัดขณะที่ท่านอายุ ๔๒ ปี โดยเริ่มจากการบูรณะพระเจดีย์บ่อนไก้แจ้
จังหวัดลำปาง ถัดจากนั้นได้บูรณะเจดีย์และวิหารวัดพระธาตุหริภุญชัย ต่อมาได้ไปบูรณะ
เจดีย์ดอยเกิ้ง ในเขตอำเภอฮอด เชียงใหม่ บูรณะวัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา กล่าวกันมาว่า
ในวันที่ท่านถึงพะเยานั้น มีประชาชนนำเงินมาบริจาคร่วมทำบุญใส่ปีบได้ถึง ๒ ปีบ
หลังจากนั้นมาบูรณะวัดพระสิงห์ เชียงใหม่ เป็นอาทิ รวมแล้วพบว่างานบูรณะ
ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามของครูบาศรีวิชัยมีประมาณ ๒๐๐ แห่ง
ในขณะที่ครูบาศรีวิชัยกำลังบูรณะวัดสวนดอกเชียงใหม่ใน พ.ศ.๒๔๗๕ อยู่นั้น หลวงศรีประกาศ
ได้หารือกับครูบาศรีวิชัยว่าอยากจะนำไฟฟ้าขึ้นไปใช้บนดอยสุเทพ แต่ครูบาศรีวิชัยว่าหากทำถนน
ขึ้นไปจะง่ายกว่าและจะได้ไฟฟ้าในภายหลัง ทั้งนี้ทางการเคยคำนวณไว้ในช่วง พ.ศ.๒๔๖๐
ว่าหากสร้างทางขึ้นดอยสุเทพนั้นจะต้องใช้งบประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ครูบาศรีวิชัยได้เริ่ม
สร้างทางเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๗ และเปิดให้รถยนต์แล่นได้ในวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๘ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณเลย ครั้นเสร็จงานสร้างถนนแล้ว
ครูบาศรีวิชัยก็ถูกนำตัวไปสอบอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯอีกเป็นครั้งที่สอง
(สถานที่ตั้งศพท้ายชีวิตที่บ้านปาง อ.ลี้)
ครูบาศรีวิชัยถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๑ ที่วัดบ้านปาง ขณะมีอายุได้
๖๐ ปี ๙ เดือน ๑๑ วัน และตั้งศพไว้ที่วัดบ้านปางเป็นเวลา ๑ ปี บางท่านก็ว่า ๓ ปี
จากนั้นได้เคลื่อนศพมาตั้งไว้ที่วัดจามเทวี ลำพูน จนถึงวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๙
จึงได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่องานพระราชทานเพลิงศพเสร็จสิ้นจึงได้มีการแบ่งอัฐิ
ของท่านไปบรรจุไว้ตามที่ต่าง ๆ เช่น ที่วัดจามเทวีจังหวัดลำพูน วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่
วัดพระแก้วดอนเต้า จังหวัดลำปาง วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา วัดพระธาตุช่อแฮ
จังหวัดแพร่ และที่วัดบ้านปาง จังหวัดลำพูนอันเป็นวัดดั้งเดิมของท่าน เป็นต้น
ยังมีเรื่องลี้ลับ ที่เมืองลี้อีก 2 วัด ที่มาแนวเดียวกันอีกสองท่านครูบา..ในเอนที่หน้าครับ
วัดที่สองคือวัดพุทธบาทผาหนาม ของท่านครูบา-อภิชัยขาวปี และ วัดพระบาทห้วยต้ม
ของท่านครูบาชัยวงศาอันเป็นแกนใจของชาวกะเหรี่ยงที่ศรัทธาในพุทธศาสนา.. |