ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงพ่อใช่ สุชีโว วัดปาลิไลยวัน(วัดเขาฉลาก) ~

[คัดลอกลิงก์]
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-22 19:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงพ่อใช่ สุชีโว ขณะอยู๋ในกุฏิของท่าน


๏ สุปฏิปันโนแห่งหุบเขาฉลาก

กาลเวลาที่ผ่านมาได้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเป็นพระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของหลวงพ่อ แม้ว่าจะลำบากสักเพียงใด ท่านก็ยังมั่นคงในข้อวัตรปฏิบัติเสมอมา กระทั่งในช่วงวัยชรา หากท่านไม่ติดธุระที่จำเป็นหรือเจ็บป่วยจริงๆ ท่านจะเดินบิณฑบาตโปรดญาติโยมทุกเช้า ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านเคยอบรมเสมอว่า “การบิณฑบาตนั้น เป็นนิสัยของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฉะนั้น พวกเราที่เข้ามาบวชในพระธรรมวินัยของพระองค์ท่าน ต้องดำเนินตามนิสัยของท่าน เว้นแต่มีเหตุขัดข้องจริงๆ”

หลวงพ่อเป็นพระที่สันโดษ ไม่แสวงหาลาภยศสรรเสริญ ได้เคยมีลูกศิษย์บางคนติดตั้งเครื่องปรับอากาศถวายหลวงพ่อ ท่านได้ฉลองศรัทธาเจ้าภาพเพียงคืนเดียว แล้วท่านก็ไม่ใช้อีกเลย ท่านไม่เรี่ยไรใครและไม่อนุญาตให้ตั้งตู้บริจาคภายในวัด ท่านกล่าวว่า ถ้าใครศรัทธาเขาบริจาคเอง กุศลจะเกิดกับตัวเขาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ตอนที่วัดไทยกุสินาราสร้างเสร็จ ได้มีพระผู้ใหญ่มาชักชวนให้หลวงพ่อไปเป็นเจ้าอาวาสที่นั่น แต่ท่านได้ปฏิเสธไป แม้แต่หนังสือประเภทปาฏิหาริย์ จะมาสัมภาษณ์ท่านเพื่อเอาประวัติลงหนังสือ ท่านได้กล่าวกับพวกเขาว่า “พวกโยมเที่ยวไปเขียนกันว่าพระองค์นั้นองค์นี้เป็นพระอริยะ พวกโยมทราบได้อย่างไร และจะทำให้พระพวกนั้นเสื่อมเสียไปด้วย ไม่ควรเขียนเพื่อขายหนังสืออย่างเดียว” พวกนั้นก้มลงกราบ และกล่าวว่าไม่เคยมีพระรูปไหนพูดกับพวกเขาอย่างนี้เลย

หลวงพ่อเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที เมื่อตั้งวัดเขาฉลากได้ระยะหนึ่ง ท่านได้รับเอาโยมบิดามาอยู่ด้วย และได้บำรุงโยมบิดาด้วยปัจจัยสี่มิให้ขาดแคลน ตลอดจนให้คำแนะนำในข้อธรรมปฏิบัติ ซึ่งโยมบิดาก็ปฏิบัติตามด้วยดีและอยู่ ณ วัดเขาฉลาก ตราบจนสิ้นอายุขัย

สำหรับอดีตพระอาจารย์ยอด ซึ่งเคยอบรมหลวงพ่อเมื่อครั้งอยู่ที่วัดโพธิ์ จ.ชลบุรี ต่อมาได้บรรพชาเป็นสามเณรที่เขาฉลาก เมื่อายุได้ 74 ปี หลวงพ่อได้ดูแลเป็นอย่างดี ดังที่หลวงปู่เณร (อดีตพระอาจารย์ยอด) ได้เล่าใน “หลวงปู่เณรอาลัย” ในอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อ ความว่า

“ส่วนฉันเอง ต่อมาเมื่อปี 2526 ฉันพิจารณาดูแล้วว่าหลวงพ่อใช่องค์นี้ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พอจะเป็นที่พึ่งแก่ฉันได้ ฉันอายุ 74 ปี ใกล้ตายแล้ว จึงตัดสินใจสละลูกเมียสมบัติทั้งหมด ไปหาท่านขอบรรพชา ท่านก็เมตตาอนุเคราะห์เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ เครื่องอัฏฐบริขารทั้งหมดท่านเมตตาจัดให้ นับว่าเป็นผู้มีพระคุณอย่างสูง เมื่อบวชแล้วท่านก็แนะนำสั่งสอนข้อวัตรปฏิบัติให้ แล้วยังเมตตาอีก ท่านเห็นว่าฉันแก่แล้ว ก็บอกว่าไม่ต้องลงไปบิณฑบาตที่ตีนเขา มันเดินไกล ให้บิณฑบาตที่โรงครัว ให้แม่บ้านเขาใส่ให้ แล้วยังมีเมตตาอีกตั้งมากมาย...”

คุณธรรมประการหนึ่งที่เป็นลักษณะเด่นของหลวงพ่อ คือความเมตตา ทั้งในหมู่ศิษยานุศิษย์และบุคคลทั่วไป ตลอดจนสัตว์ทั้งหลาย อย่างทั่วถึงกัน

พระภิกษุสามเณรนั้น หากท่านรูปใดอาพาธ หลวงพ่อจะดูแลให้กำลังใจ แนะนำวิธีบำบัดรักษา ถ้ามีอาการรุนแรงจนถึงกลับต้องนอนโรงพยาบาล หลวงพ่อก็จะเมตตาไปเยี่ยมไข้อยู่เสมอๆ ทำให้พระเณรที่กำลังอาพาธ มีกำลังใจสู้กับทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น

ในส่วนของฆราวาสญาติโยม ท่านเมตตาให้คำปรึกษาเวลาพวกเขาเหล่านั้นประสบปัญหาชีวิต ตลอดจนให้ความช่วยเหลือตามควร แม้กระทั่งพวกพ่อค้า แม่ค้าขายยา ขายน้ำผึ้งที่เดินทางมาไกลๆ มาขอร้องให้ท่านช่วยอุดหนุน ด้วยความเมตตา ท่านจะสั่งให้แม่ชีซื้อแบบเหมาหมด โดยไม่สนใจว่าจะเป็นยาดีหรือน้ำผึ้งปลอม ถ้ามีหลายเจ้าก็จะเฉลี่ยซื้อเท่าๆกันหมดทุกคนเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ

พลเอกสุเมธ ภวมนตรี ได้เล่าถึงความเมตตาของหลวงพ่อใน “สร้างเหตุให้ดี แล้วผลจะดี” ในอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อไว้ว่า

“หลวงพ่อมีความเมตตาแก่ผู้มีความทุกข์ มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งทำกิจการค้า แต่มีหนี้สินมาก คิดจะหนีเจ้าหนี้ หลวงพ่อไม่ให้หนี แนะนำให้ทำบุญ ให้มีสติ และหลวงพ่อได้แผ่เมตตาให้ จนปัจจุบันนี้มีกิจการดีมาก อีกรายหนึ่ง ถูกฟ้องเกี่ยวกับหุ้นส่วนโรงแรม เมื่อหลวงพ่อพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นฝ่ายถูก ท่านก็แนะนำเช่นเดียวกันกับคนแรก หลวงพ่อแผ่เมตตาช่วยจนชนะคดี ปัจจุบันนี้มีฐานะดีมาก

หลวงพ่อมีเมตตาช่วยเหลือทุกคน ท่านให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ว่าจะมีหรือจนเพียงใด แม้แต่บางคนที่ไม่เคยรู้จักกับหลวงพ่อมาก่อน ท่านก็ช่วยเหลือ เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่งในตอนเช้า ข้าพเจ้าและคุณพงศ์สวัสดิ์ รัตนะเหลี่ยมได้ไปพบหลวงพ่อซึ่งกำลังฉันอาหารเช้าอยู่ สตรีมีครรภ์ผู้หนึ่งได้เข้ามากราบหลวงพ่อและพูดอะไรกับท่าน ข้าพเจ้าได้ยินไม่ถนัด หลวงพ่อได้ถามคุณพงศ์สวัสดิ์ว่า “เจี๊ยบมีสตางค์ไหม” หลวงพ่อบอกให้เจี๊ยบมอบเงินให้แก่สตรีผู้นั้นไป 300 บาท ข้าพเจ้าเรียนถามหลวงพ่อว่า สตรีผู้นั้นเป็นใคร หลวงพ่อตอบว่า “ไม่ทราบ ไม่เคยเห็นมาก่อน สงสารเด็กในท้อง”...”

แม้พวกสัตว์ทั้งหลาย หลวงพ่อก็มีเมตตาต่อพวกมัน หากสัตว์ตัวใดผอมโซหรือได้รับบาดเจ็บ ท่านจะให้ความช่วยเหลือทันที ในวันหนึ่ง ท่านเห็นตัวด้วงเกาะอยู่ที่ล้อรถ ท่านยังเข้าไปจับมันออก กลัวรถจะทับมัน

ในด้านการอบรมศิษยานุศิษย์นั้น ท่านก็ทำได้เป็นอย่างดียิ่ง ท่านคอยเอาใจใส่พระบวชใหม่ให้มีความเข้าใจในเรื่องของศีล วินัย และข้อวัตรต่างๆ ท่านสอนผู้บวชใหม่ว่า “เมื่อบวชแล้ว เธอจะต้องเป็นพระ พระในที่นี้คือเป็นพระตามพระธรรมวินัย หมายถึงต้องนั่งอย่างพระ เดินอย่างพระ พูดอย่างพระ ฉันดื่มอย่างพระ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะอย่างพระ” คำว่าอย่างพระในที่นี่ ก็คืออย่างพระธรรมวินัย ตามเสขิยวัตรนั่นเอง ท่านเคยพูดอยู่เสมอว่า “อุปัชฌาย์อาจารย์เขามีไว้เพื่ออบรมสั่งสอนกัน ไม่ใช่มีไว้เพื่อเรียกขานกันเฉยๆ”

หลวงพ่อเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา ที่กุฏิท่านจะมีหนังสือมากมาย และท่านยังทุ่มเทให้กับการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณร โดยการสอนนักธรรม ท่านมีความละเอียดในเรื่องพระวินัยและธรรมะ สามารถอธิบายให้เข้าใจง่าย

จากความเป็นพระสุปฏิปันโนผู้เอื้อประโยชน์แก่หมู่ชนทั้งหลาย ได้เป็นดั่งกลิ่นหอมทวนลมไปในทิศทั้งสี่ ประกาศเกียรติคุณของหลวงพ่อให้สาธุชนได้รับรู้ แม้ป่าเขาจะหนาทึบเพียงใด ก็ไม่อาจปิดกั้นเกียรติคุณของหลวงพ่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแห่งเขาฉลากได้เลย

“พระหลงใหลยศศักดิ์ผิดหลักพระ
ต้องมุ่งละทุกข์โทษโลภโกรธหลง
จึงจะชอบระบอบบุตรพุทธองค์
พระถ้าหลงลาภยศก็หมดงาม”

ลิขิตหลวงพ่อใช่

23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-22 19:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก


พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร


๏ สายสัมพันธ์หนองป่าพง

ช่วงบ่ายวันหนึ่ง หลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ได้มากิจธุระทางจังหวัดชลบุรี และได้แวะเยี่ยมวัดเขาฉลาก หลังจากทักทายปราศรัยกันแล้ว จึงได้ทราบว่า หลวงพ่อชาอายุมากกว่าหลวงพ่อหนึ่งปี ด้านพรรษาก็ต่างกันหนึ่งพรรษาเช่นกัน

ช่วงหนึ่งของการสนทนา หลวงพ่อชาได้ถามหลวงพ่อว่า ศึกษาด้านข้อปฏิบัติและพระธรรมวินัยจากสำนักไหน หลวงพ่อได้ตอบว่า ศึกษามาจากหลวงพ่อสาลี วัดเขาวัง จ.ราชบุรี ผู้เป็นศิษย์หลวงปู่เภา วัดเขาวงกฎ จ.ลพบุรี หลวงพ่อชายิ้มและอุทานว่า “งั้นเราก็เค้าเดียวกัน ผมก็ศึกษามาจากวัดเขาวงกฎเหมือนกัน”

หลวงพ่อได้เล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อชาไว้ตอนหนึ่งว่า “...เป็นวาสนาของเรากับหลวงพ่อชา เกิดจากต้นตอเดียวกัน สำนักปฏิบัติสายหลวงพ่อเภาเหมือนกัน เราก็เลยสบาย อาจารย์ทวีจะให้ผมไปเป็นสาขา ไปช่วยติดต่อหลวงพ่อชาให้รับเขาฉลากเป็นสาขา พอท่านทราบจากผมว่า ผมเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่เภา ท่านว่าไม่ได้ ให้เป็นสาขาไม่ได้ ต้องร่วมกัน ท่านว่าอย่างนี้ มันระดับเดียวกัน...”

จากสายสัมพันธ์ครูบาอาจารย์ พระเณรทั้งสองสำนักจึงมีการไปมาหาสู่ ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติร่วมกัน อาทิเช่น พระอาจารย์ผัส จารุธมฺโม เจ้าอาวาสวัดหนองเลง สาขาวัดปาลิไลยวัน (วัดเขาฉลาก) อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

พระอาจารย์ผัส จารุธมฺโม มีนามเดิมว่า นายผัส ภูมิสา เกิดที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ต่อมาได้อุปสมบทที่จังหวัดอุดรธานี เมื่ออายุได้ 33 ปี แล้วไปจำพรรษาที่วัดหนองป่าพงกับหลวงพ่อชา สุภทฺโท ต่อมาได้ย้ายไปจำพรรษาที่สาขาวัดหนองป่าพง ในอ.เชียงคำ จ.พะเยา และจังหวัดเพชรบุรี

ท่านอยู่กับหลวงพ่อชาได้ 8 พรรษา เมื่อพรรษาท่านมากขึ้นต้องนั่งหัวแถวของหมู่สงฆ์ และจำเป็นต้องแสดงธรรม แต่ท่านไม่ถนัดการเทศนา ท่านจึงได้ขออนุญาตหลวงพ่อชาไปจำพรรษากับหลวงพ่อที่เขาฉลาก 2 ครั้งแรกหลวงพ่อชาบอกให้รอไปก่อน ครั้งที่ 3 ท่านบอกว่า “อยากไปก็ไปเถอะ ถ้าไม่ถึง 10 ปี อย่ากลับมา” ด้วยเหตุนี้ พระอาจารย์ผัสจึงมาอยู่กับหลวงพ่อที่เขาฉลากตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2525  ต่อมาหลวงพ่อได้เริ่มสร้างวัดหนองเลงในปี พ.ศ. 2530 และในปี พ.ศ. 2531 ท่านได้ส่งพระอาจารย์ผัสมาประจำที่นี่


หลวงพ่อชา สุภทฺโท

22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-22 19:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระประธานภายในศาลาวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี


พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)


๏ ใต้ร่มเงาแห่งธรรม ณ วัดป่าบ้านตาด


หลวงพ่อได้พบกับ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) เป็นครั้งแรกที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ องค์หลวงตาได้ทักหลวงพ่อว่า “สีจีวรท่านเหมือนพ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย” หลวงพ่อได้กราบเรียนว่า จำสีจีวรหลวงปู่มั่นมาจากความฝัน และได้เล่าเรื่องที่ท่านเคยฝันเห็นหลวงปู่มั่นให้องค์หลวงตาฟัง

องค์หลวงตาท่านจึงว่า “นี่แสดงว่าท่านมีนิสัยกับองค์ท่านอยู่ จึงได้มีนิมิตให้เห็นอย่างนั้น” แล้วองค์หลวงตาได้ซักถามประวัติหลวงพ่อต่อไป

“ใครเป็นอาจารย์กัมมัฏฐานของท่าน”

“อาจารย์ถวิล ขอรับ”

“อาจารย์ถวิลเป็นลูกศิษย์ใคร”

อาจารย์เกิ่ง ขอรับ”

“อาจารย์เกิ่งเป็นคนจังหวัดอะไร”

“จังหวัดสกลนครขอรับ”

พอถามเท่านี้ องค์หลวงตาก็รู้ว่าเป็น พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก ศิษย์รุ่นอาวุโสของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

ต่อมาท่านได้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมกับองค์หลวงตาที่วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งในช่วงนั้นมีครูบาอาจารย์อยู่ที่นั้นมาก รวมทั้ง พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร เนื่องจากในสายปฏิบัติมีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าพระอาคันตุกะมาขออยู่ด้วย หากยังไม่คุ้นเคยในข้อวัตรปฏิบัติของกันและกันแล้ว แม้พระอาคันตุกะจะมีพรรษามากก็ตาม ต้องนั่งต่อท้ายพระผู้มีพรรษาน้อยที่สุดในสำนักนั้น จนกว่าครูบาอาจารย์เห็นสมควร จึงนั่งตามลำดับพรรษาได้ ดังนั้น ในช่วงแรกหลวงพ่อได้ถูกจัดให้นั่งอาสนะสุดท้ายเพื่อศึกษาข้อปฏิบัติก่อน

หลังจากที่หลวงพ่อได้มีโอกาสสนทนาธรรมและรับอุบายจากองค์หลวงตา วันรุ่งขึ้น พระลูกวัดก็มาจัดบาตรและอาสนะของหลวงพ่อให้นั่งติดกับองค์หลวงตา เป็นรูปที่สองรองจากองค์หลวงตาตามลำดับพรรษา หลวงพ่อบอกกับพระรูปนั้นว่า ให้ท่านนั่งที่เก่าก็ดีอยู่แล้ว พระรูปนั้นได้ตอบไปว่า ทำตามคำสั่งขององค์หลวงตา นับเป็นความเมตตาอย่างยิ่งขององค์หลวงตา แม้ในภายหลัง หลวงพ่อมักกล่าวสรรเสริญองค์หลวงตาให้คณะศิษย์ฟังเสมอ

ครั้นได้อยู่ศึกษาธรรมและข้อปฏิบัติจากองค์หลวงตาเป็นเวลาพอสมควร หลวงพ่อได้กราบลาองค์หลวงตากลับชลบุรี พร้อมกันนั้นได้นิมนต์องค์หลวงตาแวะเยี่ยมวัดเขาฉลาก ซึ่งท่านรับที่จะมา หากได้โอกาสอันเหมาะสม และในกาลต่อมา องค์หลวงตาได้เมตตาแวะมาเยี่ยมวัดเขาฉลาก ตามคำนิมนต์ ยังความปิติแก่หลวงพ่อและคณะวัดเขาฉลากยิ่งนัก
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-22 19:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ โยมจวน

โยมจวน เป็นอุบาสกที่อยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อในสมัยแรกๆ แกเป็นคนมีพื้นฐานทางจิตดี มีสมาธิเข้มแข็ง โดยได้กสิณสีขาวเป็นอารมณ์ หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า กสิณแกได้แล้วไม่เสื่อม แม้ตอนกินข้าว แกก็ประคองดวงกสิณไว้เฉพาะหน้าตลอด ตาแข็ง มือก็ตักข้าวกินไปโดยแทบไม่มองในจานเลย

แกเป็นคนไม่ห่วงเรื่องกินเรื่องอยู่เท่าไหร่นัก บางครั้งหลวงพ่อก็ไปธุดงค์ด้วยกัน เวลาไปพักที่ไหนใหม่ๆ แกก็แทบไม่ได้หลับได้นอนเลย แม้หลวงพ่อเองซึ่งสมัยนั้นยังหนุ่มแน่นกว่าแกมากนัก เมื่อเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ก็แค่สวดมนต์ทำวัตรนิดหน่อย คิดว่าจะพักผ่อนเอาแรงเสียก่อน พอมีกำลังตื่นขึ้นมา ค่อยภาวนาจริงๆ จังๆ ก่อนพักท่านก็เห็นโยมนั่งภาวนาอยู่ พอตื่นขึ้นก็ยังเห็นโยมนั่งอยู่ที่เดิม ครั้นมีโอกาสสนทนากับโยมจวน เพราะท่านไม่เห็นโยมพักผ่อนเลย แกตอบว่า “ไม่ได้หรอกขอรับท่านอาจารย์ เราเพิ่งจะมาถึงใหม่ๆ เจ้าของสถานที่เขาจะต้อนรับเราแค่ไหน เราก็ไม่รู้ จะประมาทไม่ได้”

ก่อนที่ท่านจะเดินทางขึ้นมาปฏิบัติบนเขาเขียวครั้งแรก ท่านก็บอกให้โยมจวนช่วยพิจารณาดูว่าจะมีอุปสรรคอะไรไหม โยมแกก็กำหนดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กราบเรียนว่า “นิมนต์ท่านอาจารย์เดินทางตามสบายเลยขอรับ กระผมพิจารณาภูเขาทุกลูกทะลุปรุโปร่งหมด ไม่เห็นมีอุปสรรคอันตรายใดๆ ขัดขวาง มีก็แต่เห็นเมฆฝนตั้งเค้าอยู่”

แต่แรกที่ท่านได้ยินดังนั้นก็ไม่ใคร่เชื่อมากนัก เพราะเพิ่มจะแค่กลางเดือนสี่ ลมว่าวก็ยังพัดอู้ๆ อยู่ ครั้นพอหลวงพ่อเดินทางขึ้นไปก็เอาญาติโยมไปกัปปิยะทางด้วยหลายคน ขากลับเกิดฝนตกลงมาห่าใหญ่ ต่างคนต้องตัดเอาใบก้านกล้วยมาเป็นร่มกันฝน ท่านจึงได้นึกเลื่อมใสโยมจวน

อย่างไรก็ตาม ท่านได้พิจารณาแล้วว่า แม้โยมจวนจะเป็นผู้มีสมาธิจิตเข้มแข็ง แต่ก็เป็นแค่ขั้นโลกียฌานเท่านั้น ท่านจึงคิดจะอนุเคราะห์โดยการแนะนำให้โยมไปปรึกษากับท่านอาจารย์ถวิล วัดวิเวการาม

ท่านอาจารย์ถวิลได้พิจารณาดูก็ได้ให้อุบายโยมจวนให้รู้จักใช้สมาธิที่ได้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาน้อมธรรมเข้ามาในตัว หกวันแรกผ่านไปไม่ได้ผล พอวันที่เจ็ด ท่านได้แนะอุบายสุดท้ายคือ ให้โยมกำหนดดวงกสิณ ค่อยๆ จับหันเข้าหาตัว แล้วก็ผ่าเข้ามาในตัวโยมจวน เมื่อโยมนำมาปฏิบัติก็บังเกิดผลทันที และด้วยพื้นฐานสมาธิจิตที่เข้มแข็งอยู่แล้ว ก็ทำให้โยมจวนเห็นแจ้งในอริยสัจสี่ทันที  ภายหลังไม่นาน โยมจวนก็เสียชีวิต หลังฌาปนกิจแล้ว หลวงพ่อได้เก็บอัฐิของแกไว้บูชาบนหิ้งพระในห้องส่วนตัวท่าน ท่านสังเกตดูเรื่อย ก็เห็นว่า อัฐินั้นทำท่าจะรวมตัวเป็นพระธาตุเหมือนกัน
20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-22 19:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ถอนอารมณ์

ประมาณปี พ.ศ. 2500 หลวงพ่อได้ปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมที่เขาเจดีย์กลางน้ำ (สวนสัตว์เปิดเขาเขียวในปัจจุบัน) มีโยมจวนเป็นผู้ติดตาม ในการธุดงค์ที่เขาเจดีย์กลางน้ำ ท่านได้อาพาธเป็นมาลาเรีย ท่านได้พยายามใช้ขันติเข้าต่อสู้กับอาการไข้ แต่ก็ไม่สามารถข่มเวทนานั้นลงได้ ท่านจึงไปขอความช่วยเหลือจากโยมจวน เพราะในครั้งที่แล้วๆ มา พลังจิตของโยมจวนนั้นถือว่าใช้ได้ผลชะงัดนัก แต่ครั้งนี้ อาการป่วยของท่านหนักเกินกว่าจะใช้พลังจิตแก้ไขได้

โยมจวนจึงแนะนำให้หลวงพ่อเข้าโรงพยาบาล นอกจากอาการที่หนักแล้ว ท่านยังได้รับยาที่แพ้มาอีกด้วย ท่านว่าธาตุขันธ์ทำท่าจะทรงอยู่ไม่ไหว ท่านจึงให้พระอุปัฏฐากห่มจีวรให้ท่านในขณะที่นอนอยู่ และปลงอาบัติ ซึ่งเป็นไปอย่างทุลักทุเล ใช้เวลาร่วมชั่วโมงจึงเสร็จ

ท่านได้ขอให้พระอุปัฏฐากจับตัวท่านให้นอนในท่าตะแคงขวา และไม่ให้ผู้ใดแตะกายท่าน ท่านได้กำหนดจิตตภาวนาอย่างเต็มที่ ปรากฏว่าขณะนั้นจิตท่านไปจับเอาอาการในการถอนบริขารต่างๆเป็นอารมณ์ (ในพระวินัย ผ้าที่ใช้ต่างๆ รวมทั้งบาตร ภิกษุต้องนำมาอธิษฐานใช้เสียก่อน เวลาเลิกใช้ก็ถอนอธิษฐาน หรือเรียกว่าปัจจุทธรณ์) ซึ่งจิตก็ทำงานของเขาเอง

ในขั้นแรกที่ยังเป็นสัญญา ท่านก็เริ่มถอนบริขารใกล้ตัวก่อน โดยถอนบาตรเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ถอนไตรจีวร แล้วส่งจิตไปถอนบริขารเล็กน้อยที่เขาฉลาก หลังจากถอนบริขารของใช้ทุกชิ้นที่ท่านนึกได้แล้ว จิตก็คอยจ้องว่าจะถอนอะไรอีก ทีนี้ก็เกิดอารมณ์ขึ้น จิตก็ถอนอารมณ์ “อิมํ อารมฺณํ ปจฺจุทฺธรามิ” แรกๆ อารมณ์ก็ยังมีมาก ต่อไปก็ค่อยๆ น้อยลงตามลำดับ จนจิตรวมตัวเกิดเป็นภาวะทัสสนะทางใจ

ต่อมาจิตก็เข้ามาถอนธรรมะ คือสติปัฏฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม โดยถอนทีละตัว จากนั้นจิตก็เข้ามาถอนญาณทัสสนะนี้เองว่า “ญาณทัสสนะนี้ก็สักว่าเป็นญาณทัสสนะ เครื่องรู้ มิใช่สัตว์ บุรุษ บุคคล ตัวตน เรา เขา สมมุติบัญญัติทั้งหมด” ในขณะที่จิตกำลังทำงานภายในนี้เอง ก็เป็นเวลาเดียวกับแพทย์นำยาแก้แพ้มาฉีดถวายท่าน จากนั้นจึงค่อยๆ รู้สึกฟื้นตัวรอดตายมาได้  เมื่อท่านหายดีแล้ว ก็ได้กราบเรียนถึงธรรมะที่เกิดขึ้นถวายหลวงพ่อสาลี ท่านได้รับคำชมว่า ได้อุบายแยบคายดีมาก


หลวงพ่อใช่ สุชีโว

19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-22 19:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ อยู่กระท่อมผี

ต่อมาหลวงพ่อได้ออกจากเขาฉลาก ธุดงค์ไปทางจังหวัดจันทบุรี หาความวิเวกอยู่ที่นั่นพอสมควรแล้ว จึงมุ่งหน้าสู่จังหวัดตราด หาที่บำเพ็ญสมณธรรม ตามถ้ำ ภูเขา ป่า และป่าช้า เมืองตราดในสมัยนั้นยังเป็นป่าใหญ่ประกอบด้วยสัตว์ป่า

บ่ายวันหนึ่ง ท่านเข้าไปปักกลดในป่าช้า ขณะนั้นชาวบ้านเขากำลังเผาศพลูกสาวของเจ้านายคนหนึ่ง เป็นเด็กหญิงอายุประมาณสิบกว่าขวบ ตายเพราะไข้ป่า เขาเอามาเก็บไว้ที่กระท่อมเป็นเวลาหลายเดือนเนื่องจากเป็นฤดูฝน ครั้นตกแล้งจึงมาช่วยกันเผา ครั้นเขาเห็นพระธุดงค์ จึงได้นิมนต์ให้มาพัก ณ ที่นั้น ท่านจึงขอให้เขาทำความสะอาดกระท่อมที่เคยเก็บศพนั้น ในตอนแรกเขาจะรื้อกระท่อมเผาเสียด้วย แต่หลวงพ่อขอร้องให้เขาซ่อมแซมเพื่อให้เป็นที่พัก

คืนนั้น หลังจากทำกิจเสร็จ ขณะที่ท่านนอนตะแคงข้างขวา กำหนดสติเพื่อจำวัดอยู่นั้น จู่ๆ ได้มีเสียงคล้ายสัตว์ตัวใหญ่ๆ กระโดดลงมาที่พื้น จนกระท่อมนั้นสั่นสะเทือน มันวิ่งกึกๆ มาที่ตัวท่าน พอถึงกระโดดข้าม แล้วตะกายขึ้นข้างผนังกระท่อม ท่านเกิดความสงสัยว่ามันเป็นตัวอะไร เพราะกระท่อมปิดมิดชิด ไม่มีทางที่สัตว์ตัวใหญ่ขนาดนั้นจะเข้ามาได้

ท่านจึงเอามือตะปบจับสัตว์ที่กำลังไต่ข้างผนังอยู่นั้น ความรู้สึกบอกว่า มันต้องเป็นแมวแน่นอน แต่พอเอื้อมมือหยิบไฟฉาย เจ้าสิ่งนั้นก็ดิ้นหลุดแล้ววิ่งขึ้นเพดาน ท่านรีบฉายไฟตาม แต่นอกจากเพดานกระท่อมที่ตีปิดสนิทแล้ว ก็หามีสิ่งมีชีวิตอื่นไม่ ท่านจึงมาคิดว่า สิ่งที่ไม่คิดว่าจะมี จะเป็น มันก็มีได้ เพราะอุปาทานความยึดมั่นในสังขารนี่เอง ที่ทำให้สัตว์ต้องเวียนว่ายอยู่ในภพ ท่านได้แผ่เมตตาให้กับดวงจิตนั้น แล้วจึงจำวัดต่อไป


หลวงพ่อใช่ สุชีโว

18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-22 19:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงพ่อใช่ สุชีโว  


๏ กลางดงจงอาง

เมื่อทำความเพียรอยู่ที่เกาะสีชังเป็นเวลาพอสมควรแล้ว หลวงพ่อได้ข้ามมาพักอยู่ที่แหลมฉบัง (บริเวณท่าเรือน้ำลึกในปัจจุบัน) สมัยนั้นเป็นป่าใหญ่ตั้งแต่ถนนสุขุมวิทยันชายทะเล โดยอยู่กับโยมจวน  บริเวณนั้นมีงูจงอางชุกชุมมาก เคยมีพระและฆราวาสซุ่มแอบดูงูจงอางผสมพันธ์กัน แต่หลวงพ่อก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ ท่านถือคติว่า ถ้าไม่เคยมีเวรกรรมกันมา ก็จะไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด

ในการอยู่ที่แหลมฉบังนั้น ท่านมักปลีกตัวทำความเพียร แล้วให้โยมจวนเป็นคนต้อนรับแขกแทน เวลากลางคืน ท่านเดินจงกรมไปตามชายทะเลตั้งแต่แหลมฉบังไปยังบางละมุง เกือบถึงพัทยา ด้านซ้ายมือเป็นดงป่าทึบ ด้านขวามือเป็นทะเล ตลอดทางไม่มีบ้านคน หลวงพ่อออกเดินตั้งแต่เริ่มค่ำ จนถึงบางละมุง แล้วเดินกลับมาถึงสำนักที่แหลมฉบัง ก็สว่างพอดี ท่านเดินจงกรมอยู่อย่างนี้ประมาณหนึ่งเดือน จึงเอาชนะความง่วงได้ในที่สุด ท่านว่าอยากจะให้นอนหลับก็ไม่ยอมหลับแล้ว

แต่เดิมหลวงพ่อท่านได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติในหลายสำนักครูบาอาจารย์ วันหนึ่ง หลังจากที่ท่านได้พักกลางวันแล้ว ก็ลุกขึ้นมาเพื่อจะนั่งทำกิจดังเช่นทุกวัน ก่อนปฏิบัติท่านก็อธิษฐานจิตว่า เราปฏิบัติครั้งนี้เพื่ออะไร เพื่อรู้ธรรมอะไร เห็นธรรมอะไร และเนื่องจากท่านได้ศึกษามาหลายอาจารย์ ทำให้เกิดความลังเลในการปฏิบัติทุกคราวว่า วันนี้เราจะปฏิบัติตามครูอาจารย์ท่านใด เมื่อเลือกเป็นที่พอใจแล้วก็ลงมือปฏิบัติ บางครั้งปฏิบัติแล้วยังไม่ทันเกิดอะไรก็คิดจะเปลี่ยนอาจารย์อีก

ในคราวนี้ ท่านคิดว่า ข้อปฏิบัติสำหรับรวมอาจารย์จะต้องมี เพราะอย่างน้อยก็เพื่อความพ้นทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ท่านก็อธิษฐานจิตว่า ขณะนี้ข้าพระองค์มีความลังเลสงสัยในข้อปฏิบัติจากหลายสำนักครูบาอาจารย์ ยังไม่รู้เจตนาจุดมุ่งหมายที่ว่าตรงกัน นั้นได้แก่องค์ธรรมข้อไหน แล้วท่านได้ขอพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ มาเป็นที่พึ่ง

หลังจากนั้น ท่านก็เข้าที่ภาวนากำหนดจิตจนสงบตั้งมั่น เกิดเป็นภาวะทัสสนะทางใจ จิตไปสัมผัสกับความทุกข์ พอมีอารมณ์ทุกข์เกิดที่จิต จิตก็เอามาเป็นอารมณ์เฉพาะหน้า เป็นปัจจุบัน ยิ่งกำหนดทุกข์เข้าไปมากเข้า ทุกข์ก็มาปรากฏกว้างขวางออกไปจนไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ

เมื่อตัวจิตตกอยู่ในกระแสแห่งความทุกข์แล้ว ก็เกิดความกลัวขึ้น คิดจะหาทางออกจากทุกข์ จิตก็ตั้งคำถามว่า “เราต้องการทุกข์หรือ ก็เปล่า ในเมื่อเราไม่ต้องการความทุกข์แล้ว เหตุใดจึงตกอยู่ในท่ามกลางกระแสแห่งความทุกข์นี้ได้”

จิตก็ค้นหาต้นเหตุ ก็เริ่มพบว่า เพราะจิตไปคบกับชาติคือความเกิดเข้า จิตก็เข้าไปต่อว่าชาติว่า “นี่แนะ ชาติ เสียแรงที่เราคบกับท่าน ทำไมถึงส่งให้เราได้รับความทุกข์มากมายอย่างนี้”

ชาติก็ตอบว่า “เราคือชาติ เราทำตามหน้าที่ หน้าที่ของเราคือให้ไปเกิด ใครมาคบกับเราก็ต้องไปเกิด เมื่อเกิดแล้วก็ต้องตกไปในกระแสความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาทั้งสิ้น ถ้าจะโทษเรา ต้องไปโทษภพ เพราะภพเขาส่งท่านมา”

พอจิตรู้ก็หันไปโทษภพ จิตก็ถามว่า “ภพ เสียแรงที่คบกันมา ทำไมถึงส่งให้เราได้รับทุกข์มากมายอย่างนี้เล่า ”ภพก็ตอบว่า“ เราชื่อว่า ภพ เราทำตามหน้าที่ ถ้าใครมาคบเรา เราก็ต้องส่งให้เขาไปสู่ชาติ ถ้าจะโทษเรา ท่านต้องไปโทษอุปาทาน ที่ส่งท่านมา”

จิตก็หันไปโทษอุปาทานว่า “เพราะเหตุใดเมื่อคบกันแล้ว จึงส่งให้เราไปรับทุกข์ขนาดนั้น” อุปาทานตอบว่า “เราชื่อว่า อุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่น เราทำตามหน้าที่ ใครมาคบเราก็ต้องมีความยึดมั่นถือมั่น (ในกาม ทิฏฐิ ศีลพรต ตน) เมื่อยึดมั่นถือมั่นก็ต้องมีภพ ถ้าจะโทษเรา ท่านต้องไปโทษตัณหา เพราะเขาส่งท่านมา”

พอจิตรู้ดังนั้นก็ไปต่อว่าตัณหาว่า “นี่ ตัณหา เสียแรงที่เราคบกับท่านมา ทำไมถึงส่งให้เราได้รับทุกข์มากมายเช่นนี้” ตัณหาก็ตอบว่า “เราทำตามหน้าที่ เราชื่อว่าตัณหา คือความทะยานอยาก เมื่อใครคบเราก็ต้องมีความอยาก (ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์) เมื่อมีความอยากก็เป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน ดังนั้นถ้าท่านจะโทษ ก็ต้องโทษเวทนา เพราะเวทนาส่งท่านมา”

จิตฟังดังนั้นก็หันไปโทษเวทนาว่า “นี่แนะ เวทนา เสียแรงที่เราคบกับท่านแล้ว เหตุใดจึงส่งให้เราไปรับทุกข์มากมายอย่างนั้น” เวทนาก็ตอบว่า “เราทำตามหน้าที่ เราชื่อว่าเวทนา คือความเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ อัพยากฤต เมื่อเสวยอารมณ์แล้วก็ต้องเกิดความอยาก ฉะนั้น ถ้าหากจะโทษเรา ท่านต้องโทษผัสสะที่ส่งท่านมา”

จิตก็หันไปโทษผัสสะว่า “ผัสสะ แหม เสียแรงที่เราคบกันมา ทำไมถึงส่งให้เราไปได้รับทุกข์มากขนาดนั้น” ผัสสะก็ตอบว่า “เราทำตามหน้าที่ เราชื่อว่าผัสสะ คือการกระทบ (ระหว่างอายตนะภายในหก อายตนะภายนอกหก) เมื่อใครมาคบกับเรา ก็ต้องเกิดความกระทบ แล้วก็ต้องเกิดเวทนา ถ้าท่านจะโทษ ต้องโทษสฬายตนะ (อายตนะหก) ที่ส่งท่านมา”

จิตก็ไปต่อว่าสฬายตนะว่า “เสียแรงที่คบกันมา ทำไมถึงส่งให้ไปรับทุกข์มากมายขนาดนั้น” สฬายตนะก็ตอบว่า “เราทำตามหน้าที่ เราชื่อว่าสฬายตนะ คืออายตนะภายในหก ใครมาคบกับเรา แล้วก็ต้องมีการกระทบหรือผัสสะ ฉะนั้น ถ้าหากจะโทษเราก็ต้องไปโทษนามรูปที่ส่งท่านมา”

จิตได้ยินดังนั้นก็ไปโทษนามรูปว่า “แหมนี่ นามรูป เสียแรงที่คบมา ทำไมถึงส่งให้เราได้รับทุกข์มากขนาดนี้” นามรูปก็ตอบว่า “เราทำตามหน้าที่ เราชื่อว่านามรูป เมื่อใครมาคบเรา ก็ต้องมีนาม มีรูป (นามได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ รูปได้แก่ มหาภูตรูปสี่ อุปาทายรูป 24 รวมเรียกรูป 28) เมื่อมีนามรูป แล้วก็ต้องมีอายตนะภายในหกขึ้น ถ้าหากจะโทษเรา ก็ต้องโทษวิญญาณที่ส่งท่านมา”

จิตก็เข้าไปต่อว่าวิญญาณ “นี่แนะ วิญญาณ เสียแรงที่เราคบท่านมา ทำไมถึงส่งให้เราได้รับทุกข์มากมายอย่างนี้” วิญญาณก็ตอบว่า “เราทำตามหน้าที่ เราชื่อว่าวิญญาณ คือความรู้แจ้งอารมณ์ทางทวารทั้งหก เมื่อใครมาคบกับเรา ก็ต้องมีความรู้ทางอารมณ์ แล้วก็เกิดนามรูป ถ้าจะโทษต้องโทษสังขารที่ส่งจิตมา”

จิตก็ต่อว่าสังขาร “นี่สังขาร เสียแรงที่เราคบกัน ทำไมถึงส่งให้เราได้รับทุกข์มากขนาดนั้น” สังขารก็ตอบว่า “เราทำตามหน้าที่ เราชื่อว่าสังขาร คือ ความคิดนึกปรุงแต่ง (ปุญญาภิสังขาร คิดทางบุญ อปุญญาภิสังขาร คิดทางบาป อเนญชาภิสังขาร กลางๆ) ใครคบเราก็ต้องคิดนึกปรุงแต่งไป เมื่อคิดนึกปรุงแต่งแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้มีวิญญาณ ถ้าจะโทษก็ให้โทษอวิชชา เพราะอวิชชาเขาส่งท่านมา”

ทีนี้จิตก็ไปต่อว่าอวิชชาว่า “อวิชชา เสียแรงเราคบกัน ทำไมถึงส่งให้เราได้รับทุกข์มากอย่างนั้น” คราวนี้อวิชชาตอบไม่เหมือนตัวอื่น อวิชชาตอบว่า “คนพาลมีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง ท่านคบกับเราแล้วท่านก็มาโทษเรา เราชื่อว่าอวิชชา แปลว่าความไม่รู้ เมื่อใครมาคบกับเราก็ต้องเป็นผู้ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็เกิดสังขารคิดนึกปรุงแต่ง ส่งต่อไปจนถึงชาติ ให้ได้รับทุกข์มากมายขนาดนั้น ถ้าหากว่าเรามีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใดแล้วหละก็ พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตสาวกก็ดี จะมีได้อย่างไร ท่านเหล่านั้นไม่คบเรา ท่านไปคบกับวิชชา”

อวิชชาสั่งสอนจิตอย่างนี้ พอจิตได้ฟังดังนั้นแล้วก็รู้ตัวเองว่า เป็นผู้ผิด ตนไปคบกับเขาเอง แล้วไปโทษคนอื่นเขา เพราะว่าพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก ท่านเหล่านั้นไม่ไปคบกับอวิชชา แต่ท่านไปคบกับวิชชา คือความรู้ ท่านจึงไม่ต้องมารับทุกข์ทรมานอย่างรา ท่านจึงไปพระนิพพานดับทุกข์ทั้งหลายได้

จิตฟังอวิชชาสั่งสอนก็รู้ชัดว่า ทางใดถูก ทางใดผิด จิตก็มองเห็นวิชชา ความรู้เครื่องดำเนินไปถึงความดับแห่งทุกข์ จิตก็จับหลักได้ ต่อนั้นมาจิตก็ตั้งมั่นกำหนดตัวรู้เป็นครูเฉพาะหน้าเรื่อยไป ก็อาศัยตัวรู้ คือรู้ตัวไว้นั่นเอง ดั่งคำที่หลวงพ่อท่านพูดย้ำบ่อยๆ ว่า “รู้อะไรไม่สู้รู้สึกตัว ทางโลกว่า รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา แต่วิชาที่นี้หมายเอาความรู้ตัวชนิดที่ไม่มีความปรุงแต่งนั่นเอง”

หลวงพ่อตั้งใจจะตั้งสำนักสาขาที่แหลมฉบังแห่งนี้ แต่เมื่ออยู่มาระยะหนึ่ง ได้มีนักธุรกิจเข้าไปถางพื้นที่บริเวณใกล้สำนัก หลวงพ่อไปสอบถาม ได้ความว่า เขาจะมาตั้งรีสอร์ท ท่านพิจารณาว่า ถ้ามาตั้งรีสอร์ทจริง ก็จะเกิดความไม่สงบอีกต่อไป คนจะมากันมากขึ้น ท่านจึงทิ้งแหลมฉบังกลับเขาฉลากทันที
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-22 19:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ณ เกาะสีชัง

หลวงพ่อได้ธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมบนเกาะสีชัง จ.ชลบุรี ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานปฏิบัติอย่างเข้มงวดเป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่พอล่วงไปได้ยี่สิบกว่าวัน ก็เกิดความฟุ้งซ่านในจิตเป็นอันมากในขณะเดินจงกรมอยู่ จนเกือบจะยอมเสียสัจจอธิษฐาน เลิกล้มความตั้งใจในการปฏิบัติขณะนั้น ท่านได้ออกมาจากที่จงกรม มานั่งห้อยเท้าที่แคร่ แม้ร่างกายท่านจะเลิกปฏิบัติแล้ว แต่จิตใจของท่านที่ได้ผ่านการฝึกฝนมานาน ก็ยังคงทำงานภายในต่อไป

“เมื่อมันฟุ้งจนถึงที่สุด จิตก็มาคิดว่า หลักการปฏิบัตินั้น พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอะไร จิตตอบว่า สอนให้รู้ตัว พลันก็เกิดปัญญาขึ้นว่า งั้นฟุ้งก็ฟุ้งซิ เมื่อกำหนดรู้เช่นนั้น ที่เคยฟุ้งๆ นั้นดับเลย”

ในที่สุดหลวงพ่อก็จับหลักการปฏิบัติได้ว่า เมื่อฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง คือเอาตัวความคิดฟุ้งซ่านนั้นมาเป็นอารมณ์ เป็นที่ระลึกของสติต่อ ท่านสามารถกลับมาเดินจงกรมต่อ

จากประสบการณ์นี้ หลวงพ่อจะสอนเสมอว่า “ฉะนั้น นักปฏิบัติ อย่าทิ้งตัวรู้ อะไรเกิดขึ้นก็กำหนดรู้เรื่อยไป ชอบก็รู้ว่าชอบ ไม่ชอบก็รู้ว่าไม่ชอบ ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง อะไรมาก็ให้กำหนดรู้...” และท่านยังกล่าวอีกว่า นักปฏิบัติเวลาฟุ้งซ่านแล้ว รุนแรงกว่าคนปกติเสียอีก ยิ่งสงบมาก เวลาฟุ้งซ่านก็มากเช่นกัน แต่อย่างไรก็แล้วแต่ เขาก็ไม่มาเกินกำลังของเราไปได้ คือพอสู้ได้

หลังจากเอาชนะความฟุ้งซ่านในครั้งนั้นได้แล้ว หลวงพ่อได้รับความเย็นใจขึ้นมาก การกระทำความเพียรก็ติดต่อ ผลการปฏิบัติก็ก้าวหน้า ภายหลังท่านได้เล่าผลการปฏิบัติให้หลวงพ่อสาลีทราบ หลวงพ่อสาลีได้กล่าวยกย่องว่า “ที่ท่านใช่พิจารณานั้นเป็นอุบายที่แยบคายดี” ทั้งได้แนะนำข้อปฏิบัติต่างๆ อีกพอสมควร

อีกครั้งที่เกาะสีชัง ท่านได้หาอุบายในการภาวนา โดยการส่งจิตออกลงไปใต้ท้องทะเล แล้วยกขึ้น วางลง แล้วดึงจิตกลับมา พร้อมกับทำในใจว่า ไม่เอา (อารมณ์) ใดๆ ทั้งนั้น ไม่ให้มีสิ่งใดติดอยู่ในใจ จนจิตสงบรวมตัว แล้วมีคำถามผุดขึ้นมาว่า “อะไรๆ ก็ไม่เอา อย่างนี้จะถูกหรือ” สักพักนึงก็ปรากฏเป็นภาษาบาลีว่า อุปาทานํ ทุกฺขํ โลเก ท่านแปลว่า ความเข้าไปยึดมั่นถือมั่นแล้วไม่มีทุกข์ ไม่มีในโลก

และในครั้งนั้น ท่านว่าความเพียรกำลังดำเนินไปด้วยดี สามารถเกิดความรู้ความเห็นต่างๆ และสามารถแต่งเป็นคำกลอน ดังเช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ อุบาสิกา ก. เขาสวนหลวง เป็นต้น ท่านได้เก็บบันทึกไว้ บางส่วนก็เขียนเป็นจดหมาย เรื่องราวต่างๆ แต่หลังจากนั้นไม่นาน จิตเกิดเสื่อม ท่านว่า นักปฏิบัติที่ยังไม่มีความแน่นอนมั่นคงในใจ และหลงไปในอารมณ์นั้นๆ จิตจะเสื่อมได้ และเมื่อเสื่อมแล้วจะให้ดีดังเดิมนั้นยาก

จากเรื่องนี้ เป็นเหตุให้ภายหลังเมื่อท่านไปทอดกฐินวัดสาขาของหลวงพ่อชา สุภทฺโท ซึ่งมีการเทศน์ตั้งแต่หัวค่ำจนสว่างเป็นประเพณี และบางครั้งก็เทศน์เพียงรูปเดียว ท่านได้ถวายคำแนะนำหลวงพ่อชาว่า พระที่จะเทศน์อย่างนี้ได้ควรมีธรรมะในใจตนก่อน มิฉะนั้น ผู้ที่เทศน์เก่ง พูดเก่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งฟุ้งซ่านมากเท่านั้น ในงานนั้นพระอาจารย์ที่เทศน์พรรษากว่าสามสิบแล้ว และเทศน์อยู่รูปเดียวยันรุ่ง ปรากฏว่าภายหลังไม่นานมีข่าวว่าสึกเสียแล้ว


อุบาสิกา ก. เขาสวนหลวง

16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-22 19:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ อุบายธรรมจากส้วมหลุม

ในสมัยก่อนห้องน้ำยังเป็นส้วมหลุมอยู่ ท่านได้จำภาพในส้วมนั้น และค่อยประคองกำหนดนั่งภาวนาในกุฏิ โดยกำหนดให้ตัวหนอนที่จำมาวางไว้บนมือ แล้วให้ค่อยๆ กินขาทีละข้าง พอกินไปหมดข้างหนึ่งเหลือแต่กระดูก ก็ย้ายตัวหนอนให้มากินขาอีกข้างหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็กำหนดจิตขาข้างที่เหลือแต่กระดูกไว้ควบคู่กันไปด้วย

พอกินได้สักครึ่งแข้ง จิตก็รวมตัวเกิดเป็นภาวะทัสสนะทางใจ ทีนี้ทั้งได้เห็นและได้ยินเสียง จากหนอนตัวเล็กที่ท่านได้กำหนดไว้เดิม ปรากฏในนิมิตตัวใหญ่ขึ้น กำลังกินตับไตไส้พุง เสียงดุบซุบๆ  ซิบๆ และกำลังคลานขึ้นมากินหัวใจซึ่งกำลังเต้นตุบๆ ท่านว่าในขณะนั้นรู้สึกขยะแขยงเป็นที่สุด ถึงขนาดต้องเอามือกดขาที่นั่ง คล้ายกับจะผละออกวิ่งหนีเสียให้ได้ จนแล้วจนรอด ท่านต้องถอนออกจากสมาธิ เพราะทนไม่ได้ ในภายหลังท่านได้บอกเป็นที่เฉพาะว่า ถ้าขณะนั้นสามารถทนพิจารณาและผ่านไปได้ ก็สามารถบรรลุขั้นพระอนาคามี เพราะคุณธรรมในขั้นนี้สามารถละตัวราคะและปฏิฆะได้เด็ดขาด


ท่านพุทธทาสภิกขุ


15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-22 19:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระครูพรหมสมาจารย์ (สาลี ธมฺมสโร)  


๏ ศึกษาธรรมกับหลวงพ่อสาลี

ในช่วงแรกๆ ของการตั้งวัดเขาฉลาก หลวงพ่อได้ศึกษาข้อปฏิบัติเพิ่มเติมจาก พระครูพรหมสมาจาร (หลวงพ่อสาลี ธมฺมสโร) วัดเขาวัง จ.ราชบุรี   ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เภา วัดเขาวงกฎ จ.ลพบุรี  หลวงพ่อได้เล่าถึงการเจอกับหลวงพ่อสาลีครั้งแรกไว้ว่า

“ที่อ่างศิลา ท่านเที่ยวธุดงค์มา ผมไปพบท่านที่อ่างศิลา (บริเวณวัดโกมุทรัตนารามในปัจจุบัน) เรื่องราวยาวยืด ผมปรารถนากับท่านองค์นี้ว่าผมจะขอเป็นลูกศิษย์ท่าน พบท่านตั้งแต่สมัยผมอยู่ในเมือง นั่งรถจะไปกรุงเทพฯ ท่านมาจากอ่างศิลา จะกลับเขาวัง พอดีท่านนั่งรถคันเดียวกับผม ผมก็จับตามองเรื่อย ท่านนั่งข้างๆ ผมก็นั่งข้างๆ จับตาดู แหม น่าเลื่อมใส บุคลิกก็ดี อัธยาศัยความสำรวมระวังของท่านเงียบ

ผมก็เลื่อมใสท่าน ตั้งปณิธานปรารถนาไว้ว่า ผมจะหาโอกาสมาค้นดูที่กรุงเทพฯ ท่านลงที่ราชประสงค์ ลงรถก็จะจอดฝั่งซ้ายใช่ไหมท่าน ผมไปหาก็เถอะไม่มีทางเจอหรอก ท่านอยู่วัดมะกอกนั้น วัดอภัยทายาราม โรงพยาบาลพระมงกุฎนั้น

ท่านลงตรงสี่แยกราชประสงค์ นั่งรถจากสี่แยกราชประสงค์ไปพญาไท ผมก็กะจะหาแถวนี้ แถวราชประสงค์วัดต่างๆ ถ้าเจอ ผมจะยอมมอบตัวเป็นศิษย์ ถ้าหากเป็นธรรมยุต ขอมอบตัวเป็นศิษย์ ถ้าหากไม่ยอมจะให้ญัตติ ผมก็จะญัตติถึงขนาดนั้น จิตใจมันเลื่อมใสแล้ว...”

หลวงพ่อสาลีนั้น นอกจากท่านจะเคร่งครัดในพระวินัยอย่างหาที่ติไม่ได้แล้ว ปฏิปทาในด้านต่างๆ  เช่น การต้อนรับแขก การแสดงธรรม การตัดสินปัญหา และการบริหารหมู่คณะของท่าน ก็ดูงดงามเปี่ยมด้วยลักษณะของบัณฑิต ทั้งท่านเป็นพระที่พูดน้อย พูดเฉพาะถ้อยคำที่เป็นอรรถเป็นธรรมจริงๆ

การอยู่ใกล้ชิดกับหลวงพ่อสาลี ทำให้หลวงพ่อได้รับความรู้ความเห็น ทั้งในด้านพระธรรมวินัยและสติปัญญาเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับหลวงพ่อเป็นผู้มีความอ่อนน้อมและมุ่งมั่นต่อการประพฤติปฏิบัติอย่างแท้จริง ทำให้ท่านได้รับความรักใคร่และสนับสนุนจากจากหลวงพ่อสาลีอย่างเต็มที่

ขณะที่อยู่เขาวัง ท่านได้มีโอกาสติดตามหลวงพ่อสาลีไปในที่ต่างๆ อยู่เสมอ ครั้งหนึ่งท่านได้ติดตามหลวงพ่อสาลีไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีบ่อน้ำลึกมากที่ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้

วันหนึ่ง เด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องชายของพระในวัด ได้วิ่งพลาดตกลงไปในบ่อร้างนั้น พวกเด็กๆ จึงไปบอกพระพี่ชายของเด็กนั้น พอพระพี่ชายมาเห็นน้องชายชักดิ้นชักงออยู่ก้นบ่อ ท่านก็กระโดดลงไปในบ่อ หวังช่วยน้องชาย แต่กว่าพระเณรและชาวบ้านจะช่วยกันนำร่างขึ้นจากบ่อได้ ทั้งสองก็ได้สิ้นชีวิตเสียแล้ว

“ก็บ่อลึกอย่างนั้น จะเอาอากาศที่ไหนเล่ามาหายใจ” หลวงพ่อสาลีเล่าเรื่องจบพร้อมกับหันมาพูดกับหลวงพ่อว่า “นี่แหละ คนโง่เขารักกันอย่างนี้”

นอกจากนี้ ในบางครั้ง หลวงพ่อสาลีได้เดินทางมาพักที่เขาฉลากเป็นเวลาหลายวัน และหลวงพ่อก็ได้ไปมาหาสู่หลวงพ่อสาลีมิได้ขาด แม้ภายหลังหลวงพ่อสาลีท่านได้มรณภาพไปแล้ว แต่ท่านก็จะไปกราบทำวัตรอยู่เป็นประจำทุกปี หลวงพ่อเรียกขานนามหลวงพ่อสาลีด้วยความเคารพว่า “หลวงพ่อใหญ่เขาวัง”
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้