(เทศนาโดย หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม) ในคราวกาลครั้งนั้น พระพุทธองค์เจ้าพระโคดมของเรา ได้เกิดเป็นชายทุกขตา ชื่อว่า ติณปาละ เป็นคนทุกข์ เกิดขึ้นมาแล้วพ่อแม่ก็ล้มหาย ตายจากไป ไร่นาก็บ่มี เที่ยวรับจ้างเขากินอย่างนั้นแหละ ได้ข้าวมาก็พอได้มาหุงกินมื้อเช้ามื้อเย็นพอประทังชีวิตไป เมื่อถึงเดือน ๙ ดับนี่แหละ ก็หุงข้าวใส่ก่องไว้แล้ว ก็เลยว่าจะกินแล้วจะออกไปหารับจ้าง เลยพอดีเห็นประชาชนผู้ใจบุญใจกุศลเดินทางไปใส่บาตร ไปถวายบุพพเปตพลี สมัยพระพุทธเจ้าชื่อว่า พระมหากัสสปะ หรอก เห็นคนไปมาก ก็เลยร้องถามเขา พ่อแม่พี่น้อง ป้าลุงพากันไปไหนมากมายจัง อ้อ! วันนี้เป็นวันถวายบุพพเปตพลี จะไปทำบุญใส่บาตรวัดกัน ว่าอย่างนั้นแหละ คิดในใจ ชะรอยเราเกิดมาที่เป็นคนทุกข์คนจน พ่อแม่ล้มหายตายจากไป เราคงไม่เคยให้ทานสักทีละมั้ง ว่างั้นก็เลยสะพายก่องข้าวอันนั้นแล้วข้าวหุงใส่ก่องไว้ แล้วไปตามหลังคนกลุ่มนั้น ผ้าก็ขาดๆ ครั้นจะไปใกล้หมู่เขาก็ย่านเขาจะเห็นหำแหละ เดินตามห่างๆ ไป พอไปถึงวัดแล้ว เขาก็ทำพิธีไหว้พระ สมาทานศีล แล้วก็ว่าตามพระนั่นแหละ ศีล ๕ ประการนั้น เมื่อถึงเวลาพระเจ้าพระสงฆ์เขาก็ตั้งแถวกัน เหมือนกับพวกเราตั้งแถวกันเมื่อตอนเช้าวันนี้แหละ พระมหากัสสปะพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ ออกบิณฑบาต แกก็ไม่ใส่หลายองค์ แกใส่หมดก่องเลย ใส่องค์พระศาสดาหัวหน้านั่น ข้าวไม่เหลือสักเม็ดเลย ใส่แล้วก็เลยปรารถนา ขึ้นชื่อว่า ความทุกข์ ความจน ความหิว อย่าได้มี จากวันนั้นจนข้าพเจ้าสิ้นภพนั่นแหละ คิดอธิษฐานในใจไม่ได้ให้ใครได้ยินด้วยดอก แล้วสะพายก่องข้าวเปล่ากลับเลย ไม่ได้คอยพระยะถาสัพพี ไม่ได้คอยกินข้าวก้นบาตรเหมือนพวกเราหรอก ไปเลย ไปถึงที่พักแล้ว เอาก่องข้าวห้อยไว้ แล้วก็เอาผ้าห่มมาห่มนอน ถ่วงท้ายถ่วงหัวว่าจะกินบุญวันนี้ อิ่มบุญแล้วไม่ต้องออกไปรับจ้าง นอนหลับ พอตื่นขึ้นมามันก็หิวซีทีนี้ คิดในใจว่า ข้าวไม่เหลือติดก่องสักเม็ดเลยหรือ พอได้มาอมแก้หิวบ้าง ใจหนี่งบอกว่าจะยังยังไง เอาใส่บาตรหมดแล้วนี่ เถียงกันอยู่นั่นแหละ ใจหนึ่งบอกว่ามันหมดแล้ว เอาใส่บาตรหมดแล้วนี่ เถียงกันอยู่นั่นแหละ ใจหนึ่งมันบอกว่าหมดแล้ว ใจหนึ่งบอกว่าดูเหมือนยังมีอยู่ พอหิวแล้วก็ลุกไปเปิดก่องข้าวดู เปิดฝาก่องมีข้าวเต็มอ้อล่อหอมกรุ่นเชียว มันเป็นข้าวทิพย์ ว่างั้นเถอะ กินไม่เหลือสักเม็ด อิ่มแอแหลเลย กินแล้วก็นอน ก็มีข้าวเต็มก่องให้กินทุกมื้อเลย ในชาตินั้นเลยไม่อดกิน นั่น อานิสงส์ของติณปาละ พอคิดอยากกินไปเปิดก่องข้าวแล้วได้กินเลย มีข้าวเต็มเลย ไม่อดไม่อยาก ไม่ต้องไปทำชั่ว ศีลก็เลยบริสุทธิ์ ไม่ได้ฆ่า ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดเท็จ ไม่ได้กินเหล้า แล้วรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยตลอดเวลา วนว่ายตายเกิดวัฏสงสาร เที่ยวไปโง่มา สุดท้ายก็มาเกิดเป็น สิทธัตถะกุมาร ออกบวชในพระศาสนาสัมฤทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า บรมครูนั่งนิ่งเหมือนก้อนหิน ให้พวกเรากราบไหว้อยู่บนนั้นแหละ นั่น ! ต้องบำเพ็ญอย่างนั้น พระบรมครูนั่นนะ แต่ครั้งเกิดเป็น ติณปาละ ในศาสนา พระมหากัสสปะพุทธเจ้าโน่น ท่านก็เป็นคนทุกข์คนจนเหมือนกับพวกเรานี้แหละ ทุกข์กว่าพวกเรานี่ด้วย ซ้ำไป แต่ท่านเจตนาดี
|