การโคจรลมปราณแบบต่างๆ
๑) โคจรลมปราณพลังกุณฑาริณี (จักระหนึ่ง – จักระเจ็ด)
ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่จักระที่หนึ่ง นั่งสมาธิแล้วปลุกลมปราณด้วยวิธีลับเฉพาะแบบกุณฑาริณี (ยังไม่ขอเผยแพร่ทางนี้) แล้วเคลื่อนลมปราณผ่านทุกจักระไล่ขึ้นไปสู่จักระที่เจ็ด ทะลวงทุกจักระที่มีลมปราณติดค้างหรือติดขัดให้โปร่งโล่งสบายทั่วร่าง
จากนั้น จึงเริ่มวงจรใหม่ ปกติมักทำได้ไม่มากครั้ง พลังก็จะลดลงจนสัมผัสไม่ได้ การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีทั้งในแง่สุขภาพ และเป็นพื้นฐานในการทะลวงชีพจรของกังฟู ข้อควรระวัง กุณฑาริณีที่ตื่นแล้วแต่ทะลวงออกจักระเจ็ดไม่ได้ จะดันศีรษะเหมือนงูไชหัว ทำให้ปวดหัวอย่างหนักคล้ายจะเป็นบ้า เหมือนคนกำลังจะประสาทเสียได้ ให้พึงระวังด้วย
๒) โคจรลมปราณพลังจักรวาล (จักระเจ็ด - จักระหก – จักระหนึ่ง)
ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่จักระที่หนึ่ง นั่งสมาธิแล้วปลุกลมปราณจากจักระที่หนึ่งออกไปสู่จักระที่เจ็ด แล้วดึงจากจักระที่เจ็ดลงไปอาบทั่วร่าง จากจักระเจ็ดลงไปหนึ่ง หมุนเวียนให้ครบวงจร การโคจรพลังจักรวาล จำต้องผ่านการเดินลมปราณกุณฑาริณีให้ได้ก่อน เมื่อได้กุณฑาริณีแล้ว จึงอาศัยจังหวะที่ระบายกุณฑาริณีออก เพื่อเปิดรับพลังจักรวาลเข้ามาแทน แล้วควบคุมปราณจากจักรวาลให้อาบลงทั่วร่าง เรียกว่า “อาบน้ำทิพย์” บางท่านจะใช้หลักพลังพีรามิดมาช่วยในการฝึกลมปราณจักรวาล ด้วยการใช้พีรามิดวางไว้รอบตัวตามจุดต่างๆ กัน เพื่อเหนี่ยวนำพลังปราณจักรวาลเข้ามาขณะทำสมาธิ แล้วให้ปราณจักรวาลเข้าทางจักระเจ็ด ถ่ายลงอาบไปทั่วร่าง (แบบนี้ขอไม่แสดงรายละเอียด)
จากนั้น จึงเริ่มวงจรใหม่ ทำหลายๆ ครั้ง จนรู้สึกเบาสบายกายใจ กระชุ่มกระชวยดี การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีทั้งในแง่สุขภาพ และเป็นพื้นฐานการรับถ่ายพลังภายนอก ข้อควรระวังในการเปิดรับพลังจักรวาล คือ ต้องเลือกรับพลังเฉพาะที่ดีต่อร่างกาย เป็นพลังด้านบวกไม่ใช่พลังด้านลบ จิตผู้ฝึกพึงระวังให้มีแต่กุศลแต่ส่วนเดียว เพื่อป้องกันพลังด้านลบ
๓) โคจรลมปราณธรรมจักร (ได้ทุกจักระ โดยเฉพาะเจ็ด)
ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่จักระใดจักระหนึ่งก็ได้ โดยปกติแล้วให้เริ่มฝึกจากจักระเจ็ด แล้วค่อยๆ หมุนลงไปยังจักระอื่นๆ ต่อไป หรือบางท่านจะเริ่มจากจักระหก ไปเจ็ด แล้วลงหนึ่ง เวลาฝึกให้ระลึกว่ามีอะไรบางอย่างหมุนวนรอบศูนย์กลางจักระนั้นๆ ให้ระลึกเป็นภาพเหมือนจักรจริงๆ ก็ได้ โดยหมุนเวียนขวาเท่านั้น (ซ้ายไปหน้า ขวาไปหลัง) ในการหมุนจักรสามารถใช้ท่า “กวนสมุทร” โดยเอาจุดศูนย์กลางคือท้องน้อยเป็นหลักได้
การนับวงจรเมื่อครบหนึ่งรอบนับ ๑ วงจร ทำจนรู้สึกสบายในแต่ละจักระ การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีในแง่สุขภาพร่างกาย ในจักระที่โคจรลมปราณ ซึ่งแต่ละจักระจะทำหน้าที่ดูแลร่างกายแตกต่างกันไป ข้อควรระวัง อย่าเดินลมปราณทวนทิศ ห้ามหมุนซ้าย
๔) โคจรลมปราณจักรวาลน้อยแบบเต๋า (ตานเถียนล่าง - ตานเถียนบน)
ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่ตานเถียนล่าง เดินลมปราณไปสู่จักระหนึ่งทางด้านหน้า แล้ววนไปด้านหลัง จากจักระหนึ่ง ไปสอง ไปสาม ไปสี่ ไปห้า ไปหก ไปเจ็ด แล้ววนกลับมาด้านหน้าจากจักระเจ็ด ไปหก ไปห้า ไปสี่ ไปสาม ไปสอง ครบหนึ่งรอบ
จากนั้น จึงเริ่มวงจรใหม่ จากตานเถียนล่าง (จักระสอง) ในวงจรเดิม การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีในแง่สุขภาพร่างกาย ทั่วทุกระบบโดยรวม ข้อควรระวัง อย่าเดินลมปราณทวนทิศ เพราะจะเกิดผลร้ายต่อชีวิตร่างกายได้อย่างคาดไม่ถึง มีอาการที่ตรวจแล้วไม่รู้โรคได้
๕) โคจรลมปราณพลังสิงโตคำราม (ตานเถียนล่าง – จักระห้า - จักระเจ็ด)
ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่ตานเถียนล่าง หายใจเข้าสั้นๆ แล้วผ่อนหายใจยาวๆ ไปสู่จักระห้า (กล่องเสียง) แล้วออกเป็นเสียง “โอม” ยาวๆ ให้คำว่า “โอม” เหมือนออกจากจักระที่เจ็ด แผ่ออกไร้ประมาณ เกิดคลื่นเสียงทั่วกระหม่อม สร้างพลังความสั่นสะเทือนให้มากที่สุด จนกระทั่งทุกสิ่งด้านหน้าสั่นตามคลื่นเสียงของเรา นับเป็นหนึ่งรอบโคจร
จากนั้น จึงเริ่มวงจรใหม่ ลองเปลี่ยนเป็นว่า “อา” หรือ ไล่เสียงตามตัวโน๊ตก็ได้ การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีในแง่พลังเสียง เหมาะสำหรับผู้ต้องใช้เสียงต่างๆ ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้พลังมากเกินไป เพราะจะทำลายกล่องเสียงได้ ควรฝึกในระดับที่พอดีในแต่ละครั้ง
๖) โคจรลมปราณฟ้าดิน – หยินหยาง (ฝ่ามือสองข้าง - จักระสี่)
ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่จักระที่สี่ (หัวใจ) ยกฝ่ามือขึ้นขนานพื้น ฝ่ามือหงายขึ้นไว้ระดับหน้าอก หายใจเข้ารวมปราณที่ฝ่ามือและหัวใจ หายใจออกแผ่ปราณออกทางฝ่ามือสองข้าง พร้อมดันฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นบน ข้างหนึ่งลงล่าง สลับกันไปมา เมื่อยืดฝ่ามือไปสุดแล้ว ปลายนิ้วทั้งสิบจะพุ่งชี้ฟ้ากับชี้ลงดิน จังหวะหายใจเข้าให้ดึงลมปราณฟ้าและดิน (บนและล่าง) เข้ามารวมที่หัวใจ แล้วหมุนสลับดันลมปราณออก พร้อมสลับมือซ้ายขวา ดังนั้น จะมีวงจรพลังฟ้าดินสองวงจร คือ วงจรฝ่ามือซ้ายและขวา คือ เมื่อขวาขึ้นบนดึงด้านบน ขวาลงล่างปล่อยลงล่าง ซ้ายลงล่างดึงด้านล่าง ซ้ายขึ้นบนปล่อยขึ้นบน เวลาดึงลมปราณฟ้าดิน ดึงเข้ามาพร้อมกันทั้งสองฝ่ามือ มารวมตรงกลาง แล้วเวลาปล่อยก็ปล่อยพร้อมกันสองฝ่ามือ ออกจากกลางกายไปไกลสุดแสนไกลไร้ประมาณ
จากนั้น จึงเริ่มวงจรใหม่ ปกติมักทำได้ไม่ครั้ง ก็จะรู้สึกลมระบาย (ผายลม) ได้ทันที การเดินลมปราณนี้ ให้ผลดีทั้งในแง่สุขภาพ และในด้านการถ่ายปราณเข้าออกของกังฟู
๗) โคจรลมปราณเก้าอิม – เก้าเอี๊ยง (กงเล็บกระดูกขาว)
ให้กำหนดจิตรวมศูนย์ที่จักระที่สี่ (หัวใจ) ยกฝ่ามือขึ้นกางออกขนานพื้น กางกงเล็บออก ท่านี้ผู้หญิงสามารถฝึกเก้าอิมได้ แต่ผู้ชายให้ฝึกเก้าเอี๊ยง ในที่นี้จะเผยแพร่เฉพาะเก้าเอี๊ยง โดยก่อนโคจรพลังเก้าอี๊ยงให้โคจรพลังฟ้า-ดินก่อน เพื่อปรับสภาพและกระตุ้น หยินหยาง เราจะใช้พลังเก้าอิม สร้างเก้าเอี๊ยง โดยดูดพลังอิมเข้าทางกงเล็บ จนรู้สึกแขนเยือกเย็นแข็งทื่อ (จะรู้สึกปวดท่อนแขนนิดหน่อย เหมือนมีอะไรมาอัดแน่น) จากนั้น โคจรพลังเก้าอิมไม่นาน ผู้ชายจะเกิดพลังเก้าเอี๊ยงขึ้นเองโดยธรรมชาติ จะรู้สึกอุ่นๆ ที่กลางลำตัว เช่น ท้องน้อย แล้วจะกระชุ่มกระชวย ร่างกายจะเริ่มอบอุ่นหายหนาว ไม่หนาวไม่ร้อน เมื่อโคจรพลังด้วยการคว้าจับดึงดูดพลังเก้าอิมจากพื้นดินรอบตัวได้มาก เก้าเอี๊ยงก็ถูกกระตุ้นออกมามาก เมื่อพอสมควรแล้ว ให้ถ่ายเก้าอิมออกจากแขนสองข้างให้หมด จึงจะรู้สึกเบาแขน และหายปวดแขน เวลาถ่ายออกให้รำฝ่ามือแทน เพราะกงเล็บจะมีพลังดึงดูด ไม่ใช่พลังผลักดันออก โดยเพ่งกระแสปราณออกทางนิ้วทั้งสิบ
ให้ทดลองใช้กงเล็บกระดูกขาว ดูดพลังเอี๊ยงจากฟ้าในช่วงท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนฝนจะตก หากฝึกช่วงฟ้าแลบฟ้าร้องด้วยจะดี ด้วยการฝึกคล้ายเดิม แต่เปลี่ยนเป็นการดูดปราณจากฟ้า แทนที่จะดูดปราณจากดิน โดยเพ่งระลึกไปที่ประจุไฟฟ้าบนฟ้าแทน ข้อควรระวังในการฝึกเก้าอิม คือ ช่วงแรกกระดูกฝ่ามือจะมีอาการแปลกๆ และอาจกระทบต่อธาตุทั้งสี่ในร่างกายได้ ดังนั้น ผู้ชายจึงไม่ควรฝึกเก้าอิม ให้ฝึกเฉพาะเก้าเอี๊ยงเท่านั้น |