ทำไมถึงต้องชื่อ “โอภาสี” มีผู้ศรัทธาพยายามสอบถามหลวงพ่อโอภาสีหลายครั้ง ต่างสงสัยว่า “ทำไมมหาชวนตายแล้วกลายมาเป็นโอภาสี” หลวงพ่อจะตอบเหมือนกันทุกครั้งว่า “มหาชวนตายไปแล้ว ที่อยู่คือโอภาสีผู้บูชาไฟถวายเป็นพุทธบูชา” และบางคนถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่ออายุเท่าไหร่แล้ว”ท่านจะนั่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนบอกว่า “ในโลกมนุษย์ก็60 ปีแล้ว (สมัยนั้น) แต่อายุจริงป่านนี้ไม่รู้เลย มันนานมากแล้ว จำไม่ได้หรอก”สร้างความงุนงงให้ลูกศิษย์ทั่วหน้า ไม่เข้าใจว่าท่านพูดอะไร แต่ในบรรดาลูกศิษย์ของท่านมีหลายคนที่เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน คือเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อกบแต่เดิม ภายหลังหลวงพ่อกบมรณภาพก็ติดตามมารับใช้และปรนนิบัติหลวงพ่อโอภาสีสืบมา ได้แปลคำพูดของท่านให้ฟังว่า “จริง ๆ แล้วเป็นปริศนาธรรม หมายถึงมหาชวนเกิดในโลกมนุษย์นี้มีอายุแค่ 60 ปี แต่ในความเป็นจริงต้องแยกให้ออกระหว่าง กาย และ จิต ตามแบบวิปัสสนากัมมัฎฐาน เมื่อกายในชาตินี้สลายตายไป เหลือเพียงดวงจิตก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนาน ท่านจึงตอบว่าจำไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าวนเวียนตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายมาแล้วกี่ชาติภพ" ที่น่าประหลาดใจคือ คนที่รู้จัก มหาชวน เดิมนั้นยืนยันว่า บุคลิกของมหาชวน เป็นพระเรียบร้อย พูดจาเสียงเบา ๆ และสำรวม น่าเลื่อมใสสมกับมหาเปรียญ 7 ประโยค แต่หลวงพ่อโอภาสีบุคลิกกลายเป็นอีกคน พูดจากระโชกโฮกฮาก ไม่เกรงใจใครและมีอารมณ์ร้อนแรงเหมือนไฟที่ท่านบูชา และที่หลายคนสงสัย ในกุฏิหลวงพ่อโอภาสีมีพระฉายาลักษณะหรือพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อยู่มากมาย แทบทุกพระอิริยาบถก็ว่าได้ เป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนคิดไม่ออกว่าเพราะอะไรอีกเช่นเดียวกัน แต่ก็มีคนพยายามแปลปริศนานี้ในทำนองว่า “หลวงพ่ออาจมีความผูกพันหรือปลาบปลื้มในพระจริยวัตรอันงดงามของรัชกาลที่ 5 เป็นพิเศษก็เป็นได้” ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย พุทธสมาคมประเทศอินเดียทำจดหมายนิมนต์หลวงพ่อโอภาสีให้เดินทางไปมนัสการสังเวชนียสถานและเชิญชวนญาติโยมที่ศรัทธามารอนมัสการหลวงพ่อพร้อมหน้าพร้อมตากันในวันที่ 28 ต.ค. 2498 แต่หลวงพ่อให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดเขียนจดหมายตอบไปว่าขอเลื่อนไปวันที่ 31 ต.ค. 2498 จะสะดวกกว่า ทำให้กำหนดการต้องเลื่อนออกไปตามความประสงค์ของท่าน ในครั้งนั้นพระภิกษุและญาติโยมหลายท่านขอเดินทางไปพร้อมหลวงพ่อโอภาสี แต่ท่านปฏิเสธ โดยบอกว่า “ไม่ได้หรอก คราวนี้อาตมาไปแบบพิสดารไม่มีพาสปอร์ต ไม่มีใครไปด้วยได้สักคน" สร้างความสงสัยให้ทุกคน แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไร จนวันที่ 31 ต.ค. 2498 มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ นายกพุทธสมาคมประเทศอินเดีย กำลังนั่งพักผ่อนในบ้าน เหลือบเห็นกลุ่มควันปรากฏที่ผนังห้องเบื้องหน้าและมีใบหน้าหลวงพ่อโอภาสีลอยเด่นขึ้นมาก่อนสลายหายไป สร้างความแปลกใจให้เป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกสังหรณ์บางอย่าง มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ไม่รอช้ารีบออกไปหน้าบ้าน คนรับใช้ก็บอกว่า มีพระจากประเทศไทยมานั่งรออยู่ในห้องรับแขกพบว่าเป็น หลวงพ่อโอภาสี จึงเข้าไปกราบเท้าท่านด้วยความศรัทธาและพูดว่า “ทำไมหลวงพ่อมาไม่บอกล่วงหน้า จะได้เอารถไปรับจากสนามบิน”หลวงพ่อบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก อาตมามาให้เห็นตามคำพูดที่รับปากไว้ อะไรก็ห้ามไม่ได้ ไม่ต้องวุ่นวายอะไร”จากนั้น มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ก็ขอตัวไปเตรียมนำชามาต้อนรับหลวงพ่อ กลับมาปรากฏว่าหลวงพ่อโอภาสีหายไปแล้ว ออกไปดูหน้าบ้านก็ไม่มี เรียกคนใช้มาถาม คนใช้ยืนยันว่าไม่เห็นใครออกจากบ้านสักคนเดียว จากนั้นช่วงบ่ายวันเดียวกันนั้นเอง มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ได้รับโทรเลขด่วนจากประเทศไทยมีข้อความว่า...หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพแล้วเวลา 07.30 น. วันที่ 31 ต.ค. ของดกำหนดการทั้งหมด ทำเอา มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ถึงกับเข่าอ่อนน้ำตาไหลพรากและใจหายเป็นที่สุด พอตั้งสติได้ไม่รอช้านั่งเครื่องบินจากอินเดียมาประเทศไทย รีบไปอาศรมบางมดทันที พบสังขารหลวงพ่อโอภาสีนอนเหยียดยาวบนกุฏิ มีมุ้งกางกันแมลง เนื้อหนังอ่อนนิ่มคล้ายคนหลับอย่างน่าอัศจรรย์ มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ จึงเล่าปาฏิหาริ์ของหลวงพ่อให้ลูกศิษย์ทุกคนฟัง ทำให้ทุกคนร้องไห้โฮอีกครั้งด้วยความเสียใจ คาถาประจำตัวหลวงพ่อโอภาสี อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง (คาถานี้คือยอดพระภัณฑ์พระไตรปิฎกที่หลวงพ่อโอภาสีนำมาย่อและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำของลูกศิษย์และผู้ศรัทธา สวดอยู่กับบ้านป้องกันอันตราย สวดก่อนออกจากบ้านคุ้มกันอันตรายตลอดการเดินทาง ไปต่างถิ่นสวดป้องกันภยันอันตรายต่าง ๆ จากเทวดา ภูติผีปีศาจ หรือเดินทางไปที่เปลี่ยวให้หยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่หรือศาลเจ้า ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นช่วยปกปักษ์รักษาให้ปลอดภัย อนุภาพขอคาถานี้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว) |