ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 13832
ตอบกลับ: 12
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

การบูชาไฟ การบูชาที่ประเสริฐที่สุด

[คัดลอกลิงก์]
การบูชาไฟ การบูชาที่ประเสริฐที่สุด


การบูชาไฟ เป็นความเชื่อสืบมาแต่แนวคิดที่ว่า เดิมที่มีพระเจ้าผู้สร้างโลกองค์เดียวนามว่า ‘ปชาบดี’ พระองค์ต้องการสร้างโลกสร้างสัตว์ทั้งหลายขึ้น จึงทรงบำเพ็ญตบะและ ได้ประทานกำเนิดแก่อัคนีเทพเป็นองค์แรก ออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์ (คำ ‘อัคนี’ แปลว่ามีก่อน เกิดก่อน เพี้ยนมาจากคำว่า อัคร) เพราะเหตุที่อัคนีเกิดจากพระโอษฐ์ ของปชาบดี จึงเป็นพี่ชายใหญ่ของปวงเทพทั้งปวง และมีหน้าที่เสวยอาหารหรือเครื่องสังเวย.




     เมื่อพวกพราหมณ์ประกอบพิธีบูชาไฟที่เรียกว่า อัคนิโหตระ (บาลีว่า อัคคิหุตตะ) เขาจะสวดอ้อนวอนอัคนีเทพให้ช่วยเป็นสื่อนำเครื่องสังเวยขี้นไปถวายพระปชาบดีและ ทวยเทพบนสวรรค์ แล้วก็ใส่เครื่องสังเวยทั้งหลายลงในไฟ.

     การใส่เครื่องสังเวยลงในไฟก็เท่ากับว่าได้ใส่ลงในโอษฐ์ของอัคนีเทพ เมื่อเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นก็หมายความว่า องค์อัคนีเทพทรงนำเอาเครื่องสังเวยเหล่านั้นขึ้นไปสรวง สวรรค์ เมื่อถึงสวรรค์แล้วอัคนีเทพก็จะป้อนเครื่องสังเวยเหล่านั้นแก่พระปชาบดี และเทพอื่นๆ ด้วยปาก ดุจแม่นกป้อนเหยื่อแก่ลูกนกฉะนั้น.

ไฟมีบทบาทสำคัญอย่างนี้ จึงมีคำสรรเสริญไว้ในคัมภีร์พราหมณ์ว่า

“อัคนิโหตระ (การบูชาไฟ) เป็นประมุขแห่งยัญทั้งหลาย การบูชาไฟประเสริฐที่สุดในบรรดาการบูชาทั้งปวง”.

     ชฎิลสามพี่น้องพร้อมบริวารจำนวนพันก็เชื่อถืออย่างนี้ จึงประกอบพิธีบูชาไฟอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหวังให้จอมเทพและเทพทั้งหลายโปรดปราน.

     พระพุทธเจ้าเสด็จถึงอาศรมของอุรุเวลกัสสปะ พี่ชายใหญ่ของชฎิลทั้งปวงในเวลาเย็น ทรงขอพักอาศัยสักคืน อุรุเวลกัสสปะไม่อยากให้พักด้วย จึงบอกให้ไปพักที่โรงไฟ อันเป็นสถานที่ประกอบพิธีบูชาไฟ ว่ากันว่ามีนาคราช (ก็คงเป็นงูใหญ่) อยู่ “เจองูใหญ่ เดี๋ยวก็เผ่นหนีเอง” แกคงคิดอย่างนี้.

    รุ่งเช้าขึ้นแกก็พาบริวารมาโรงไฟ เพื่อมาดูว่า สมณะหนุ่มคงเสร็จพญานาคเรียบร้อยแล้ว ที่ไหนได้กลับเห็นพระพุทธองค์ประทับนั่งเป็นสง่าอยู่ พากันมองหาพญานาคว่า ไปอยู่เสียที่ใด พระพุทธองค์ทรงเปิดฝาบาตรให้พวกเขาดู ต่างก็อุทานด้วยความประหลาดใจ.

ทรงใช้อิทธิฤทธิ์ย่อให้มันเล็กนิดขดมะก้องด้องอยู่ในบาตรนั่นแล.

สรรพสิ่งร้อนเป็นไฟ

     พวกชฎิลมีอุรุเวลกัสสปะเป็นหัวหน้าต่างยอมสิโรราบคาบแก้ว (เป็นสำนวน มิได้คาบแก้วจริงๆ) ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับฟังพระโอวาทจากพระพุทธองค์สลัด คราบนักบวชเกล้ามวยผมบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์.

    บริขารเครื่องใช้ไม้สอยแบบชฎิลก็ถูกโยนทิ้งน้ำหมด ว่ากันว่ามีเครื่องแต่งผม ชฎา สาแหรก คาน เครื่องบูชาไฟ น้ำเต้า หนังเสือ ไม้สามง่าม ของเหล่านี้ลองเท้งเต้งมา ตามน้ำ. ชฎิลผู้น้อยหรือ ‘ซือตี๋’ เห็นเข้า นึกว่าเกิดอันตรายขึ้นแก่ ‘ซือเฮีย’ พร้อมบริวาร จึงพากันขึ้นไปหา รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เกิดความเลื่อมใส พากันลอยบริขารลงแม่น้ำเช่น เดียวกัน ‘น้องเล็ก’ อยู่สุดคุ้งน้ำ นึกว่า ‘พี่ใหญ่’ และ ‘พี่รอง’ ประสบอันตรายจึงพาบริวารขึ้นไปดูก็สละเพศภาวะชฎิลเช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสอง.

     พระพุทธองค์ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้ ชฎิลสามพี่น้องพร้อมบริวารรวมแล้วมีหนึ่งพันสามรูป แล้วทรงพาภิกษุเหล่านั้นไปยังตำบลคยาสีสะ ประทับอยู่ ณ ที่นั้นชั่ว ระยะหนึ่ง เมื่อทรงเห็นว่าสาวกของพระองค์มีความพร้อมแล้ว จึงแสดงอาทิตตปริยายสูตรให้ฟัง.

ต่อไปนี้จะขอสรุปเนื้อหาของพระสูตรให้ฟังดังนี้

    “ภิกษุทั้งหลาย ทุกสิ่งร้อนเป็นไฟ ทุกสิ่งที่ว่าร้อนเป็นไฟคืออะไรเล่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร้อนเป็นไฟ การรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ร้อนเป็นไฟ สัมผัสเกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ร้อนเป็นไฟ ความรู้สึกเกิดจากสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ร้อนเป็นไฟ.

    ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ร้อนเพราะความเกิด ความแก่ ความตาย ร้อนเพราะความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคับแค้นใจ.

นี้แหละที่ว่าทุกสิ่งร้อนเป็นไฟ

     ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกเมื่อรู้เห็นอย่างนี้ ย่อมหน่ายในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หน่ายในการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หน่ายในสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หน่ายในความรู้สึกเกิดจากสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อหน่ายก็ย่อมคลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัด จิตก็หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็เกิด ญาณหยั่งรู้ว่าชาติสิ้นแล้ว เราได้ประพฤติพรหมจรรย์สมบูรณ์แล้ว (ได้บรรลุจุดหมายปลายทางแล้ว) ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว”.

พระสูตรนี้เป็นภาษาบาลี ๒ หน้า ที่สรุปข้างต้นก็ยังยาวไป ถ้าจะสรุปให้สั้นง่ายแก่การจำจะได้ดังนี้

     “ทุกอย่างร้อนเป็นไฟ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร้อนเป็นไฟ การรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร้อนเป็นไฟ สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร้อนเป็นไฟ ร้อนด้วยไฟ ราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ร้อนด้วยชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์กายทุกข์ใจ และความคับแค้นใจ อริยสาวกรู้เห็นเช่นนี้ ย่อมหน่าย คลายกำหนัด ไม่ ยึดมั่นถือมั่น มีจิตหลุดพ้นและรู้ว่าตนได้สิ้นภพสิ้นชาติ บรรลุเป้าหมายสูงสุดของพรหมจรรย์ ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไปแล้ว”.

     เมื่อทรงเทศน์จบลง อดีตชฎิลทั้ง ๑,๐๐๓ รูปก็บรรลุพระอรหัต (อย่าแก้เป็น ‘อรหันต์’ เพราะในที่นี้เป็นคำนามที่หมายถึง ‘ภาวะของพระอรหันต์’) พร้อมกัน เป็นอันว่าด้วย ระยะเวลาอันสั้น พระพุทธองค์ได้สาวกจำนวนพัน มากพอที่จะเผลแพร่พระพุทธศาสนาให้กว้างขวางภายในเวลาอันรวดเร็ว.

     มีข้อที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ พระพุทธเจ้าทรงทราบนิสัย (ความเคยชิน) อุปนิสัย (แวว) และอธิมุติ (ความถนัด) ของผู้ฟังเทศน์ จึงทรงเลือกเรื่องแสดงให้เหมาะกับนิสัย อุปนิสัย และอธิมุติของผู้ฟัง เพราะเหตุนี้เองเวลาทรงแสดงธรรมให้ใครฟัง ฅนๆ นั้นจึงบรรลุธรรมทันทีเป็นที่น่าอัศจรรย์.

    อย่างพวกชฎิลนี้ วันๆ ก็หมกมุ่นอยู่แต่กับการบูชาไฟ หายใจเข้าก็บูชาไฟ หายใจออกก็บูชาไฟ ว่าอย่างนั้นเถอะ ย่อมมีประสบการณ์เกี่ยวกับความร้อน เพื่อพระพุทธเจ้า ตรัสประโยคแรกว่า

“สพฺพํ ภิกฺขเว อาทิตฺตํ ภิกษุทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างร้อนเป็นไฟ”.

เท่านั้น พวกนี้ก็หูผึ่ง.

“เอ มันมีแต่ไฟเท่านั้นที่ร้อน ทำไมพระองค์บอกว่าร้อนไปหมดทุกอย่าง” ชักเกิดความอยากรู้ขึ้นมาทันที.

พระพุทธองค์ก็ทรงรู้ความในใจของพวกเธอ จึงตรัสยั่วให้กระหาย ใคร่รู้มากขึ้น

“กิญฺจ ภิกฺขเว สพฺพํ อาทิตฺตํ ภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่าที่ว่าทุกสิ่งร้อนเป็นไฟ”.

ทรงเว้นระยะชั่วขณะยิ่งเร้าให้พวกเธออยากรู้ไวๆ “นั่นสิ อะไรล่ะ”.

“จกฺขุ ํ อาทิตฺตํ ... ตาร้อนเป็นไฟ หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร้อนเป็นไฟ ...”.

พระองค์ตรัสต่อไฟ ค่อยๆ ขยาย ค่อยๆ อธิบายทีละนิดๆ พวกเธอก็ฟังเพลินจนกระทั่งเกิดญาณหยั่งรู้ในที่สุด.






ที่มา http://sriganapati.com/
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-25 14:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

อารตี หรือพิธีบูชาไฟ

อารตี หรือพิธีบูชาไฟ

การบูชาไฟ ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่เด่นที่สุด เพื่อขอพรจากพระเป็นเจ้าให้ทรงมอบความสุขและความโชคดีให้แก่ผู้ที่บูชา เครื่องสังเวยที่ใช้ในการบูชาไฟของพราหมณ์ คือ บูชาด้วยอาหารที่หุงต้มแล้ว โดยจัดทำภายในบ้านประกอบด้วย น้ำนม เมล็ดข้าว เนยแข็ง เหล้าโสม (กลั่นจากต้นไม้) ดอกไม้ เป็นต้น เมื่อทำพิธีกรรมให้นำอาหารเหล่านี้ใส่ลงไปในกองไฟ พร้อมสวดสรรเสริญพระเป็นเจ้า บูชาสังเวยไฟด้วยชีวิต เครื่องสังเวยชีวิต เป็นต้นว่าสัตว์ 4 เท้า หรือสัตว์ปีก รวมถึงมนุษย์ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของศาสนาพราหมณ์ในช่วงต้นคริสต์สักราช เรียกในนามศาสนาฮินดู สัตว์ที่ใช้ในพิธีกรรม เช่น แพะ แกะ ควาย ไก่ นก เป็นต้น โดยการนำเลือดสดๆ ใส่ลงไปในกองไฟที่กำลังลุกไหม้ บูชาสังเวยด้วยน้ำโสม (เหล้าโสมที่กลั่นจากต้นไม้ชนิดหนึ่ง)

การเตรียมสถานที่ทำพิธี

พระฮินดูผู้ทำพิธีจะพิจารณาเลือกที่ที่จะก่อไฟศักดิ์สิทธิ์ (เรียกว่า กองกูณฑ์) โดยจะใช้มีดปลายแหลม หรือไม้ ทำการขีดลงบนพื้นดิน 3 ขีด เพื่อเลือกสถานที่หลังจากนั้นก็จะขุดดินบริเวณนั้นให้เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส ตกแต่งผิวรอบๆ ให้เรียบ จากนั้นก็จะนำน้ำศักดิ์สิทธิ์มาเทราด แล้วรอจนแห้งสนิทต่อมาก็เริ่มพิธีกรรมบูชาไฟ ในอินเดียเวลามีการทำพิธีกรรมบูชาไฟ เครื่องสังเวยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ หญ้าคา เชื่อว่าเป็นหญ้าศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับพระเป็นเจ้า จึงต้องนำเอาหญ้าคามาเป็นเครื่องสังเวยด้วย หญ้าคา ในทางศาสนาพราหมณ์มีความเกี่ยวข้องกันคือ อาสนะที่ประทับของพระศิวะบนเขาไกรลาสทำด้วยสิ่งนี้ ชาวฮินดูลัทธิศิวนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด จะนำหญ้าคามาเพื่อเป็นเครื่องบูชา

ขั้นตอนการอารตี

การอารตีหรือการบูชาไฟนั้น ตามตำราท่านกล่าวว่า เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบูชาเทพ ด้วยชาaวฮินดูถือว่า พิธีกรรมทั้งหลายนั้นจะไม่สมบูรณ์หากขาดการบูชาไฟ หลังผ่านพิธีดังกล่าว จะวางตะเกียงอารตีไว้หน้าแท่นบูชา แล้วผู้ร่วมพิธีนิยมใช้ฝ่ามือทั้ง 2ข้างคว่ำลงเปลงไฟในระยะที่ห่างพอสมควร แล้วนำฝ่ามือนั้นมาแตะที่หน้าผาก ดวงตา และใบหู เพื่อเปิดทวารในการรับรู้ซึ่งสัมผัสพิเศษ และขับไล่สิ่งอัปมงคลทั้งหลายให้หมดไป

การถือตะเกียงอารตีควรถือด้วยมือขวา โดยใช้มือซ้ายประคองอีกทีแล้วเวียนไปทางขวา ( ตามการหมุนแบบเข็มนาฬิกา ) ระหว่างที่วนต่อหน้าเทวรูปควรจะร้องสวดหรือท่องมนตร์เพื่อบูชาเทพเจ้า หรืออาจจะใช้การเปิดเทปอารตีแทนก็ได้ หากเป็นการบวงสรวงในพิธี จะมีการประโคมดนตรี เช่น บัณเฑาะว์ เป่าสังข์และตีระฆังเป็นจังหวะให้ผสมผสานกันไปอย่างกลมกลืนก็ได้ หลังจากเสร็จพิธี ควรตั้งจิตบริสุทธิ์อธิษฐานเพื่อแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ในโลกว่า

” โอม ศานติ ศานติ ศานติ ”

และถือว่าพิธีสมบูรณ์ทุกประการ


http://yogaaum.com


3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-25 14:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-25 14:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อโอภาสี พระอภิญญาบูชาไฟเผากิเลส หยั่งรู้ฟ้าดิน




หลวงพ่อโอภาสี วัดพุทธบูชา (อาศรมบางมด ธนบุรี)
        หลวงพ่อโอภาสี เดิมชื่อ นายชวน มะลิพันธ์ บ้านเดิมอยู่ บ้านตรอกไฟฟ้า อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช อายุ 5 ขวบ ก็บรรพชาเป็นสามเณรเล่าเรียนอักขระบาลีสันสกฤตจากสำนักวัดโพธิ์ในท้องถิ่น ทุกวันสามเณรชวนจะเล่าเรียนพระปริยัติด้วยความขยันขันแข็ง และฉลาดเฉลียวเป็นที่พอใจของเจ้าสำนักบาลีวัดโพธิ์ถึงกับออกปากจะส่งมาเรียนในกรุงเทพฯ เพราะเห็นแววความเป็นนักธรรมอันยิ่งใหญ่ในตัวของสามเณรชวนนั่นเอง
        ครั้นเรียนจบสำนักวัดโพธิ์ สามเณรชวน ก็ถูกพามาถวายตัวเป็นศิษย์ในองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรฌานวงศ์ ซึ่งทรงรับไว้ในพระอุปการะและทรงทำการอุปสมบทให้เป็นภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดบวรนิเวศมหาวิหาร โดยทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วยพระองค์เอง พระภิกษุชวนเรียนพระปริยัติจนสอบได้เปรียญ 7 ประโยค เข้ารับพระราชทานพัดยศจากพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถูกขนานนามว่า มหาชวนเปรียญเอก
        แต่หลังจากเล่าเรียนปริยัติธรรมจนเชี่ยวชาญ มหาชวน เห็นว่าถึงแก่เวลาต้องศึกษาด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานเพื่อหา ทางสว่าง”แห่งการพ้นทุกข์บ้างแล้ว จึงตัดสินใจจาริกเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง ผ่านป่าเขาลำเนาไพรมากมาย จนกระทั่งได้ยินชื่อเสียงของ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ว่าเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและมีกิจวัตรที่ไม่เหมือนใคร เสมือนเป็นแรงบันดาลใจให้  มหาชวน ดั้นด้นเดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อกบนานหลายเดือนก็กราบลาพระอาจารย์กลับไปพำนักที่วัดบวรนิเวศวรมหาวิหาร
        มีเรื่องเล่าขานกันว่า หลังจาก มหาชนวน เล่าเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานกับหลวงพ่อกบกลับวัดบวรนิเวศฯแล้ว มักชอบเก็บตัวนั่งวิปัสสนาตลอดทั้งวัน เช้าตื่นออกบิณฑบาตและฉันเช้าเพียงมื้อเดียว ช่วงบ่ายก็เปิดกุฏินำเอาสิ่งของต่าง ๆ มาเผาไฟ เริ่มจากทีละเล็กทีละน้อย ๆ ก่อนกลายเป็นชิ้นใหญ่ ๆ คนจีนแถวบางลำพูเห็นเข้าก็ศรัทธาพากันนำข้าวของมาถวายให้เผาเป็นการใหญ่
        นอกจากนี้จะมุ่งมั่นนั่งวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้ว ท่านยังเผาสิ่งของควบคู่กันไปด้วย จนชื่อเสียงเริ่มขจรขจายไปทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑลอย่างรวดเร็ว บางคนก็เห็นด้วยกับการกระทำนี้ แต่บางคนกลับมองว่าเป็นวิกลจริตหรือเป็น พระบ้า”ซึ่งบางครั้งท่านจุดธูปเทียนบูชาพระจนควันไฟท่วมกุฎิจนพระในวัดและชาวบ้านเข้าใจว่าไฟไหม้หลายครั้งด้วย
        เคยมีคนไปถามท่านว่า หลวงพ่อเจ้าค่ะ ทำไมต้องเผาสิ่งของด้วย เพราะอะไร" ท่านก็ตอบว่า ปกติไฟจะเผาผลาญทุกสรรพชีวิตจนมอดไหม้หมดสิ้นได้ก็จริง แต่จิตใจของมนุษย์ปุถุชนกลับร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟ คือร้อนจากความโลภ ความโกรธ ความหลง และเต็มไปด้วยความอยากได้อยากมีไม่สิ้นสุด การที่อาตมานำปัจจัยและสิ่งของที่ญาติโยมนำมาถวายเผาไฟ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและช่วยดับความร้อนในใจของมนุษย์ให้สิ้นไป หรือเผากิเลสให้หมดสิ้นไปนั่นเอง”ที่น่าประหลาดคือใครถามถึง มหาชวน”จะได้รับคำตอบว่า มหาชวนตายไปแล้ว จากนี้ไปมีแต่ โอภาสี เท่านั้น”
        แต่แล้วไม่กี่ปีต่อมา มีผู้คนไม่น้อยที่ไม่พอใจในพฤติกรรมประหลาดของท่าน เริ่มเคลื่อนไหวและขับไล่ให้ออกไปจากวัดบวรนิเวศฯ ประมาณปี พ.ศ. 2484 หลวงพ่อโอภาสี จึงจาริกแสวงบุญไปเรื่อย ๆ ไปแวะที่ไหนมักถูกขับไล่เพราะท่านจุดไฟเผาข้าวของเหมือนเดิม จนสุดท้ายหลวงพ่อโอภาสีได้ไปพำนักในสวนส้มของชาวบ้านย่านบางมด ฝั่งธนบุรี เจ้าของสวนและชาวบ้านศรัทธาท่านยิ่งนัก สร้างกุฏิเล็ก ๆ ถวายป้องกันแดดฝน แต่ท่านก็ไม่สนใจ ยังคร่ำเคร่งกับการเผาไฟเป็นพุทธบูชาตามปกติ
        นับวันหลวงพ่อจะก่อกองไฟเผาปัจจัยและสิ่งของมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เว้นธนบัตร เงินสกุลต่าง ๆ และข้าวของมีค่าทุกชิ้น ท่านเผาไม่เหลือ จนชาวบ้านแห่นำน้ำมันก๊าดไปถวายให้ใช้ก่อไฟเผากันจำนวนมาก
        หลวงพ่อโอภาสี มรณภาพเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2498 แต่สังขารของท่านลูกศิษย์นำบรรจุไว้ในโลงแก้วประดิษฐานในพระมหาเจดีย์ในสวนอาศรมบางมด หรือปัจจุบันคือ วัดหลวงพ่อโอภาสี หรือวัดพุทธบูชา บางมด ฝั่งธนบุรี เพื่อให้ผู้ศรัทธากราบไหว้และน้อมนำคำสอน-ธรรมะของท่านมาปฏิบัติเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต






5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-25 14:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทำไมถึงต้องชื่อ “โอภาสี”
มีผู้ศรัทธาพยายามสอบถามหลวงพ่อโอภาสีหลายครั้ง ต่างสงสัยว่า ทำไมมหาชวนตายแล้วกลายมาเป็นโอภาสี” หลวงพ่อจะตอบเหมือนกันทุกครั้งว่า มหาชวนตายไปแล้ว ที่อยู่คือโอภาสีผู้บูชาไฟถวายเป็นพุทธบูชา” และบางคนถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่ออายุเท่าไหร่แล้ว”ท่านจะนั่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนบอกว่า ในโลกมนุษย์ก็60 ปีแล้ว (สมัยนั้น) แต่อายุจริงป่านนี้ไม่รู้เลย มันนานมากแล้ว จำไม่ได้หรอก”สร้างความงุนงงให้ลูกศิษย์ทั่วหน้า ไม่เข้าใจว่าท่านพูดอะไร
แต่ในบรรดาลูกศิษย์ของท่านมีหลายคนที่เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน คือเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อกบแต่เดิม ภายหลังหลวงพ่อกบมรณภาพก็ติดตามมารับใช้และปรนนิบัติหลวงพ่อโอภาสีสืบมา ได้แปลคำพูดของท่านให้ฟังว่า จริง ๆ แล้วเป็นปริศนาธรรม หมายถึงมหาชวนเกิดในโลกมนุษย์นี้มีอายุแค่ 60 ปี แต่ในความเป็นจริงต้องแยกให้ออกระหว่าง กาย และ จิต ตามแบบวิปัสสนากัมมัฎฐาน เมื่อกายในชาตินี้สลายตายไป เหลือเพียงดวงจิตก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนาน ท่านจึงตอบว่าจำไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าวนเวียนตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายมาแล้วกี่ชาติภพ"
ที่น่าประหลาดใจคือ คนที่รู้จัก มหาชวน เดิมนั้นยืนยันว่า บุคลิกของมหาชวน เป็นพระเรียบร้อย พูดจาเสียงเบา ๆ และสำรวม น่าเลื่อมใสสมกับมหาเปรียญ 7 ประโยค
แต่หลวงพ่อโอภาสีบุคลิกกลายเป็นอีกคน พูดจากระโชกโฮกฮาก ไม่เกรงใจใครและมีอารมณ์ร้อนแรงเหมือนไฟที่ท่านบูชา และที่หลายคนสงสัย ในกุฏิหลวงพ่อโอภาสีมีพระฉายาลักษณะหรือพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อยู่มากมาย แทบทุกพระอิริยาบถก็ว่าได้ เป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนคิดไม่ออกว่าเพราะอะไรอีกเช่นเดียวกัน แต่ก็มีคนพยายามแปลปริศนานี้ในทำนองว่า หลวงพ่ออาจมีความผูกพันหรือปลาบปลื้มในพระจริยวัตรอันงดงามของรัชกาลที่ 5 เป็นพิเศษก็เป็นได้”
ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย
พุทธสมาคมประเทศอินเดียทำจดหมายนิมนต์หลวงพ่อโอภาสีให้เดินทางไปมนัสการสังเวชนียสถานและเชิญชวนญาติโยมที่ศรัทธามารอนมัสการหลวงพ่อพร้อมหน้าพร้อมตากันในวันที่ 28 ต.ค. 2498 แต่หลวงพ่อให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดเขียนจดหมายตอบไปว่าขอเลื่อนไปวันที่ 31 ต.ค. 2498 จะสะดวกกว่า ทำให้กำหนดการต้องเลื่อนออกไปตามความประสงค์ของท่าน
ในครั้งนั้นพระภิกษุและญาติโยมหลายท่านขอเดินทางไปพร้อมหลวงพ่อโอภาสี แต่ท่านปฏิเสธ โดยบอกว่า ไม่ได้หรอก คราวนี้อาตมาไปแบบพิสดารไม่มีพาสปอร์ต ไม่มีใครไปด้วยได้สักคน" สร้างความสงสัยให้ทุกคน แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไร
จนวันที่ 31 ต.ค. 2498 มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ นายกพุทธสมาคมประเทศอินเดีย กำลังนั่งพักผ่อนในบ้าน เหลือบเห็นกลุ่มควันปรากฏที่ผนังห้องเบื้องหน้าและมีใบหน้าหลวงพ่อโอภาสีลอยเด่นขึ้นมาก่อนสลายหายไป สร้างความแปลกใจให้เป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกสังหรณ์บางอย่าง มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ไม่รอช้ารีบออกไปหน้าบ้าน คนรับใช้ก็บอกว่า มีพระจากประเทศไทยมานั่งรออยู่ในห้องรับแขกพบว่าเป็น หลวงพ่อโอภาสี จึงเข้าไปกราบเท้าท่านด้วยความศรัทธาและพูดว่า ทำไมหลวงพ่อมาไม่บอกล่วงหน้า จะได้เอารถไปรับจากสนามบิน”หลวงพ่อบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก อาตมามาให้เห็นตามคำพูดที่รับปากไว้ อะไรก็ห้ามไม่ได้ ไม่ต้องวุ่นวายอะไร”จากนั้น มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ก็ขอตัวไปเตรียมนำชามาต้อนรับหลวงพ่อ กลับมาปรากฏว่าหลวงพ่อโอภาสีหายไปแล้ว ออกไปดูหน้าบ้านก็ไม่มี เรียกคนใช้มาถาม คนใช้ยืนยันว่าไม่เห็นใครออกจากบ้านสักคนเดียว
จากนั้นช่วงบ่ายวันเดียวกันนั้นเอง มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ได้รับโทรเลขด่วนจากประเทศไทยมีข้อความว่า...หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพแล้วเวลา 07.30 น. วันที่ 31 ต.ค. ของดกำหนดการทั้งหมด ทำเอา มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ ถึงกับเข่าอ่อนน้ำตาไหลพรากและใจหายเป็นที่สุด พอตั้งสติได้ไม่รอช้านั่งเครื่องบินจากอินเดียมาประเทศไทย รีบไปอาศรมบางมดทันที พบสังขารหลวงพ่อโอภาสีนอนเหยียดยาวบนกุฏิ มีมุ้งกางกันแมลง เนื้อหนังอ่อนนิ่มคล้ายคนหลับอย่างน่าอัศจรรย์ มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ธ จึงเล่าปาฏิหาริ์ของหลวงพ่อให้ลูกศิษย์ทุกคนฟัง ทำให้ทุกคนร้องไห้โฮอีกครั้งด้วยความเสียใจ
คาถาประจำตัวหลวงพ่อโอภาสี
อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง
(คาถานี้คือยอดพระภัณฑ์พระไตรปิฎกที่หลวงพ่อโอภาสีนำมาย่อและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำของลูกศิษย์และผู้ศรัทธา สวดอยู่กับบ้านป้องกันอันตราย สวดก่อนออกจากบ้านคุ้มกันอันตรายตลอดการเดินทาง ไปต่างถิ่นสวดป้องกันภยันอันตรายต่าง ๆ จากเทวดา ภูติผีปีศาจ หรือเดินทางไปที่เปลี่ยวให้หยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่หรือศาลเจ้า ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นช่วยปกปักษ์รักษาให้ปลอดภัย อนุภาพขอคาถานี้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว)
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-8-25 14:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บูชาไฟเป็นพุทธบูชาวัดพ่อโอภาสี๗๐ปีไ
ม่เคยดับบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชา๗๐ปี
ที่ไฟเผากิเลสไม่เคยดับจากวัดหลวงพ่อโอภาสี


: ท่องไปในแดนธรรม  เรื่อง/ ภาพ โดยไตรเทพ ไกรงู            


"สวนอาศรมบางมด" หรือ "วัดหลวงพ่อโอภาสี" เป็นวัดเก่าแก่ในพื้นที่บางมด เรียกตามนามของหลวงพ่อโอภาสี (พระมหาชวน มลิพันธ์) ซึ่งท่านเป็นพระอาจารย์รูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านอิทธิอภินิหาร เชื่อกันว่าท่านเป็นพระที่สามารถรู้ถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า และทำนายทายทักได้ถูกต้อง ท่านถือ ลัทธิบูชาเพลิง กล่าวคือ เมื่อท่านได้รับสิ่งของจากบรรดาลูกศิษย์ หรือญาติโยมนำมาถวาย ท่านจะโยนเข้ากองไฟหมด โดยถือหลักว่า จิตใจมนุษย์นี้ ถูกเผาผลาญด้วยไฟราคะแห่งกิเลส ซึ่งไม่สามารถต้านทานได้ นอกจากจะไหม้เป็นเถ้าถ่าน มีเพียงความตายของมนุษย์เท่านั้น จึงสามารถหลุดพ้นจากกิเลสได้

                เคยมีคนไปถามท่านว่า “หลวงพ่อเจ้าค่ะ ทำไมต้องเผาสิ่งของด้วย เพราะอะไร" ท่านก็ตอบว่า “ปกติไฟจะเผาผลาญทุกสรรพชีวิตจนมอดไหม้หมดสิ้นได้ก็จริง แต่จิตใจของมนุษย์ปุถุชนกลับร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟ คือ ร้อนจากความโลภ ความโกรธ ความหลง และเต็มไปด้วยความอยากได้อยากมีไม่สิ้นสุด การที่อาตมานำปัจจัยและสิ่งของที่ญาติโยมนำมาถวายเผาไฟ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและช่วยดับความร้อนในใจของมนุษย์ให้สิ้นไป หรือเผากิเลสให้หมดสิ้นไปนั่นเอง” ที่น่าประหลาดคือใครถามถึง “มหาชวน” จะได้รับคำตอบว่า “มหาชวนตายไปแล้ว จากนี้ไปมีแต่ โอภาสี เท่านั้น”

                หลวงพ่อโอภาสี มรณภาพเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘  ศพของหลวงพ่อโอภาสียังไม่ได้เผา ตั้งไว้ที่วัดโอภาสีบางมด จนถึงทุกวันนี้ และไม่เน่าไม่เปื่อย กลับแข็งเป็นหินโดยตลอด สมกับเป็นผู้อุดมด้วยศีลาจารวัตรผู้มาจากต่างมิติสวมร่างของมหาชวน ซึ่งสิ้นบุญมรณภาพไปในช่วงแห่งความตายที่วัดบวรนิเวศวิหาร

                ก่อนหน้ามรณภาพในต้นปี ๒๔๙๘ นั้น คณะศิษย์ได้ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลเป็นเหรียญหลวงพ่ออนุญาต แต่ได้สั่งว่า “เหรียญนี้จะไม่มีรูปโอภาสี เพราะในโลกนี้จะไม่มีโอภาสีอีกต่อไป ครุ คือ อำนาจเสมากับอุณาโลม และรัศมีคือตัวโอภาสีอีกต่อไป”

                เหรียญรุ่นสุดท้าย คือ เหรียญครุฑแยกเสมา อันเป็นเหรียญรุ่นแรก และรุ่นเดียวที่ไม่มีรูปหลวงพ่อโอภาสี แม้หลวงพ่อโอภาสีจะมรณภาพไปเป็นเวลาเกือบ ๕๗ ปีแล้ว  แต่ศิษย์ไม่เคยลืมเลือนความกตัญญูมีการจัดงานสรงน้ำรูปหล่อ และแห่รูปหล่อของหลวงพ่อเป็นประจำ และต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงพ่อโอภาสีไม่เคยจากไปไหนเลย แต่อยู่กับพวกเราตลอดกาลนาน ท่านจะคอยดูแลพวกเราเสมอตราบเท่าที่พวกเรายังมีความเคารพในองค์ท่านอยู่ทุกลมหายใจ

                คาถาของหลวงพ่อโอภาสีที่ท่านได้มอบให้ศิษย์หมั่นท่องบ่นภาวนาได้เป็นประจำวันว่า “อิติสุคะโต  อะระหังพุทโธ  นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา  พระภุมมะเทวา  ขะมามิหัง" ทั้งนี้หลวงพ่อโอภาสีนำคาถายอดพระภัณฑ์พระไตรปิฎกมาย่อและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำของลูกศิษย์และผู้ศรัทธา สวดอยู่กับบ้านป้องกันอันตราย สวดก่อนออกจากบ้านคุ้มกันอันตรายตลอดการเดินทาง ไปต่างถิ่นสวดป้องกันภยันอันตรายต่างๆ จากเทวดา ภูตผีปีศาจ หรือเดินทางไปที่เปลี่ยวให้หยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่หรือศาลเจ้า ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นช่วยปกปักรักษาให้ปลอดภัย อานุภาพของคาถานี้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว

ไฟเผากิเลสที่ไม่เคยดับ

                ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ ซึ่งเป็นปีที่ตั้งวัดหลวงพ่อโอภาสี มาจนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า ๗๐ ปีไฟจากการเผาของเพื่อบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชาที่วัดหลวงพ่อโอภาสี ไม่เคยดับสักวันเดียว ทุกๆ วันจะมีผู้คนที่มีความศรัทธาซื้อน้ำมันก๊าดไปถวายหลายร้อยลิตร โดยมีความเชื่อว่า “เปลวเพลิงจากไปจะช่วยกิเลสในใจตนให้เบาบางลงบ้าง”

                หลวงพ่อโอภาสี เริ่มเผาของเพื่อบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชา ตั้งแต่อยู่ที่วัดบวรนิเวศ เมื่อมีคนนำของมาถวายจำนวนมาก ท่านก็จะแจกแก่สามเณรในวัด และประชาชน ที่เหลือก็โยนเข้ากองไฟหมด จนกุฏิของท่านมีควันพวยพุ่งออกมามาก ทั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์  เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ  ได้เรียกท่านมาว่ากล่าวตักเตือน ทั้งนี้ท่านได้อธิบายถึงการเผาของไว้ว่า

                “โดยปกติแล้วพระเพลิงเผาผลาญสรรพสิ่งใดในโลกจนมอดไหม้หมดเป็นจุลมหาจุลไปจนหมดสิ้น ก็จัดเป็นธาตุที่มีความร้อนสูงอยู่ แต่ถึงกระนั้นจิตใจมนุษย์กลับมาความร้อนแรงยิ่งกว่ากองเพลิง ความร้อนของมนุษย์เกิดจากการเผาผลาญของดวงจิตด้วย โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชาต่างๆ อีกมากมาย การที่ได้นำเอาสรรพสิ่งวัตถุทั้งหลายที่ผู้คนเอามาถวายไปเผาทำลายลงก็เพื่อเป็นพุทธบูชา เป็นการดับกิเลสทั้งหลายให้หมดไปจากใจเราเท่านั้นเอง”

                อย่างไรก็ตามเมื่อท่านออกจากวัดบวร โดยได้ธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่อาศรมบางมด หลวงพ่อโอภาสีบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชามาโดยตลอด เมื่อญาติโยมนำของมาถวายท่านก็รับให้พร ท่านใช้สอยของเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ที่เหลือก็เอาไปเผาไฟหมด ทั้งนี้ท่านจะถามผู้มาถวายของทุกครั้งว่า “โยนเสียดายไหม ถ้าไม่เสียดายอาตมาจะเผาหมดนะ” และก่อนเผาทุกครั้งท่านก็จะแบ่งของแจกเด็กบ้าง คนชราบ้าง จากนั้นท่านก็จะเผาหมดไม่เหลือเก็บไว้เลย โดยจะเผาทั้งวันทั้งคืนเป็นปกติประจำของท่านเสมอ

                หลังจากหลวงพ่อโอภาสีมรณภาพ อดีตเจ้าอาวาสรูปต่อมาอีก ๒ รูป คือ หลวงพ่ออาชม ประภากะโร และหลวงพ่อกิเส็ง ฐิติธรรมโม ยังยึดแนวปฏิบัติการเผาของเพื่อบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชามาตลอด รวมทั้งพระครูสุทธิญาโณภาส เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันก็เช่นกัน แต่ท่านนำของที่ญาติโยมนำถวายไปจากแจกให้ประชาชนทั้งหมด ส่วนการบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชาจะใช้น้ำมันก๊าดแทน

http://www.komchadluek.net/news/detail/135035


สาธุครับ
ครั้งนึงเคยฝันไปว่า มีนักบวชนักพรตผู้หนึ่ง มาหาท่านอาจารย์ บอกว่าจะมาขอยืมพระขรรค์และคทาพระนารายณ์ไปทำพิธี แล้วอาจารย์ก็ได้มอบให้ไป ตามที่ผมได้เห็นในนิมิตนั้น พิธีนั้นก็คือพิธีบูชาไฟ

มีนักบวชกำลังนั่งสวดมนต์และบูชาไฟมากมายหลายรูปในพิธีนั้น ช่างดูขลังยิ่งนัก
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้