ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนาน เรื่องเล่า เกร็ดความรู้ เรื่องลี้ลับ
»
เรื่องของ “วาสนา”
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 1535
ตอบกลับ: 0
เรื่องของ “วาสนา”
[คัดลอกลิงก์]
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2016-8-19 18:12
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
คำว่าวาสนาในภาษาไทยหมายถึง บุญบารมีที่สั่งสมมานาน ทำให้คน ๆ นั้นมีความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ทุกด้าน ดังคำกล่าวถึงบุคคลที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ว่า “เขามีวาสนา” หรือ “เป็นวาสนาของเขา”
แต่ในความหมายทางธรรม “วาสนา” หมายถึง นิสัยสันดานที่ฝังลึกอยู่ในจิตจนถอนไม่ขึ้น ว่ากันว่า ถึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังละ “วาสนา” ไม่ได้ ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
---> มีตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายเรื่อง
เรื่องที่หนึ่งเกี่ยวกับพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ท่านผู้นี้เป็นนักปรัชญาเก่า สังกัดสำนักปรัชญาเมธีชื่อสัญชัย เวลัฏฐบุตร เจ้าลัทธิที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในเมืองราชคฤห์ ต่อมาได้ลาอาจารย์พร้อมกับสหายรักชื่อโกลิกะ (ต่อมาคือ พระมหาโมคคัลลานะ) มาบวชในพระพุทธศาสนาเป็นสาวกของพระพุทธองค์
เมื่อบวชแล้วก็ได้รับแต่งตั้งจากพระองค์ให้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เป็นเลิศในทางปัญญามาก ท่านให้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนภิกษุสงฆ์แทนพระพุทธเจ้าในบางครั้ง และเป็นกำลังในการช่วยพระพุทธองค์เผยแพร่พระพุทธศาสนา
พระสารีบุตรท่านมี “วาสนา” ที่ละไม่ได้อยู่อย่างหนึ่ง คือเวลาท่านพบแม่น้ำลำธารที่มีสายน้ำไหลเย็น ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบร่มรื่นท่านจะละอาการสงบเสงี่ยมชั่วขณะ กระโดดหยอย ๆ ด้วยความดีใจ ดังหนึ่งเด็กน้อยได้ของเล่นใจอย่างนั้นแหละ
พระสงฆ์อื่นเห็นอาการไม่สำรวมของพระอัครสาวกต่างก็พากันซุบซิบว่า พระเถระผู้ใหญ่อย่างท่าน ไม่น่าทำอย่างนี้เลย
เรื่องทราบถึงพระกรรณของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสแก่พระสงฆ์ทั้งหลายว่า อย่าได้ตำหนิสารีบุตรเลย กิริยาอาการอย่างนั้นเป็น “วาสนา” ที่สั่งสมมานานของสารีบุตร แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ละไม่ได้เพราะว่าในชาติปางก่อนโน้น สารีบุตรเคยเกิดเป็นลิงติดต่อกันหลายร้อยหลายพันชาติ จึงติดนิสัยกระโดดโลดเต้นของลิงมา
ข้อความข้างต้นนี้ไม่มีพระไตรปิฎกดอกครับ แต่มีในหนังสือรุ่นหลังพระไตรปิฎก (คือ อรรถกถา - หนังสืออธิบายพระไตรปิฎก) จะเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ก็แล้วแต่จะพิจารณาเกิด
อีกเรื่องหนึ่ง อ่านแล้วตื่นเต้นดี คือมีพระเถระรูปหนึ่งเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา นามว่าพระปิลินทวัจจะ ท่านชอบพูดคำว่า “วสลิ” (แปลเป็นไทยว่า “ไอ้ถ่อย” ) จนติดปาก พบใครไม่ว่าจะระดับใด ท่านจะทักด้วยคำว่า “สบายดีหรือ ไอ้ถ่อย”
ประชาชนทั่วไปรู้ว่าท่านพูดไม่เพราะเช่นนั้นเอง แต่จิตใจท่านเต็มไปด้วยเมตตา จึงไม่ได้ถือสาท่าน ตรงกันข้าม ถ้าใครได้รับคำทักทายจากท่านด้วยถ้อยคำไพเราะ เขาผู้นั้นจะเดือดร้อนมากกว่า ทำไมหลวงพ่อไม่พูดกับเขาเหมือนเดิม เป็นยังงั้นไป
วันหนึ่งพ่อค้าขายดีปลีคนหนึ่ง บรรทุกดีปรีเต็มเกวียน เดินทางเข้าเมืองที่เพื่อค้าขาย ระหว่างทางพบท่านปิลินทวัจฉะ ท่านถามว่า “บรรทุกอะไรมา ไอ้ถ่อย” ได้ยินพระพูดไม่ไพเราะอย่างนั้น พ่อค้าแกก็ฉุนตงิด ๆ ตะโกนตอบเสียงดังว่า
“บรรทุกขี้หนูโว้ย ไอ้ถ่อย”
ทันใดนั้นดีปลีเต็มลำเกวียนได้กลายเป็นขี้หนูทันทีแต่เจ้าตัวยังไม่รู้พอเข้าเมืองจอดเกวียนเพื่อขนดีปลีออกมาขาย เขาก็แทบลมจับ เพราะมีแต่ขี้หนูเต็มเกวียน ช่างมหัศจรรย์พันลึกอะไรเช่นนั้น
เขาได้วิ่งแจ้นตามไปกราบขอขมาท่านพระปิลินทวัจฉะ เขาได้ผิดไปแล้วที่พูดคำหยาบกับพระคุณเจ้า ได้โปรดยกโทษให้ด้วย
“ไม่เป็นไร ไอ้ถ่อย ข้ายกโทษให้” ท่านตอบด้วยจิตเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม เรื่องนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า เป็น “วาสนา” ของปิลินทวัจฉะเอง แก้ไม่ได้ แต่เธอไม่มีเจตนาจะพูดคำหยาบ
อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี ผมจำสมณศักดิ์ท่านไม่ได้แล้วท่านชอบพูดคำว่า “ดีเนาะ หลวง” ติดปาก ไม่ว่าพูดกับใคร ไม่ว่าเรื่องดี หรือเรื่องร้าย ท่านจะบอกว่า “ดีเนาะ ๆ” อยู่เรื่อย วันหนึ่งสีกานางหนึ่งร้องไห้ฟูมฟายไปหาท่าน เรียนท่านว่า ลูกชายซึ่งเพิ่งเรียนจบนายร้อย จปร. ใหม่ ๆ ประสบอุบัติเหตุตายเสียแล้ว หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า “ดีเนาะ”
ว่ากันว่าสีกานางนั้นโกรธหลวงพ่อแทบเป็นแทบตาย แต่ต่อมาพอรู้ว่าเป็นคำพูดติดปากท่านเท่านั้นเอง จึงไม่ถือโกรธท่าน
เมื่อคราวโรงแรมใหญ่ที่โคราชถล่มทับคนตายเป็นจำนวนมาก มีตึกอีกหลังหนึ่งติดกับโรงแรม โย้เย้ทำท่าจะพังลงมาอีก มีคนนิมนต์หลวงพ่อคูณไปดู หลวงพ่อคูณท่านคงเห็นด้วยตาในของท่าน จึงบอกว่าตึกนี้ไม่พังแน่นอน
หนังสือพิมพ์เอาภาพและคำพูดของท่านมาลงว่า “หลวงพ่อคูณ เกจิอาจารย์ดังบอกว่า “กูว่าไม่พัง”
บางท่านถามด้วยความหงุดหงิดใจว่าพระสงฆ์องค์เจ้าพูดกู ๆ มรึง ๆ ได้หรือ
นี่แสดงว่าท่านผู้ถามนี้ไม่รู้ว่า “วาสนา” นั้นละกันไม่ได้ หลวงพ่อคูณท่านพูดคำนี้ติดปาก ไม่ว่าพูดกับใคร คำพูดฟังดูอาจหยาบ แต่ จริง ๆ แล้ว กู ๆ มรึง ๆ เป็นภาษาไทยแท้ ไม่คิดว่าหยาบมันก็ไม่หยาบ ที่สำคัญท่านพูดด้วยจิตเมตตา
เล่าว่าท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง พอท่านพูดคำว่า กู มรึง ก็รู้สึกโกรธไหว้แล้วลงกุฏิกลับไปเลย สตาร์ทรถอย่างไร ๆ ก็ไม่ติด จนกระทั่งมีผู้เข้าไปกระซิบว่า ให้ไปขอขมาหลวงพ่อก่อน พอเขาไปกราบขอขมา หลวงพ่อพูดว่า “เออมรึงกลับได้”
เท่านั้นแหละครับ คราวนี้สตาร์ทชึ่งเดียวติดวิ่งฉิวไปเลย
นี่แหละครับที่ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “วาสนา” หรือสิ่งที่ติดแน่นอยู่ในส่วนลึกแห่งจิตสันดาน แม้พระอรหันต์ก็แก้ไม่ได้
ไม่จำต้องพูดถึงปุถุชน ดอกครับ
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...