ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2348
ตอบกลับ: 1
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงพ่อชื่น สุจิตโต วัดมาบข่า อ.บ้านค่าย จ.ระยอง

[คัดลอกลิงก์]


ข้อมูลประวัติพระครูพิพิธวรญาณ(หลวงพ่อชื่น  สุจิตโต)

ถิ่นกำเนิด
หลวงพ่อชื่น สุจิตโต  หรือพระครูพิพิธวรญาณเป็นชาวมาบข่าโดยกำเนิดเกิดที่บ้านห้วงตาถึงหมู่ ๔
ตำบลมาบข่า อ.บ้านค่าย จ.ระยอง  และได้ย้ายไปอยู่บ้านหนองผักหนาม(บริเวณท้องที่เดียวกัน)ลพ.เกิดวันศุกร์
ขึ้น ๔ค่ำเดือน ๘ซึ่งตรงกับวันที่ ๖ ก.ค. ๒๔๓๖ ปีมะเมีย บิดาชื่อ เหน่ง  บุญทีวะ มารดาชื่อ จ้อย
มีพี่น้องด้วยกัน ๗ คน ดังนี้
๑.ลพ.ชื่น บุญทีวะ (คนโต) ๒.นางแวว ๓.นางเป้า ๔.นางปุ้ย ๕ นายบุญมาก ๖.นางเชย  ๗.
เป็นผู้ชายคลอดมาได้ ๕วันแล้วเสียชีวิต
อาชีพ
บิดา,มารดา  ของลพ.มีอาชีพทำไร่ทำนาและเก็บของป่าขายมีงานอดิเรกคือการจักสานเล็กๆน้อยๆ
ในเยาว์วัย

ลพ.ท่านมีความจำเป็นเลิศกว่าเด็กในวัยเดียวกันและชอบฟังเทศน์มหาชาติมากโดยเฉพาะพระเวชสันดรชาดกและจะจดจำ

นำมาร้องเล่นตามประสาเด็กแถมเสียงดีเสียด้วย(คงจะเหมือนมาดาเพราะมาดาลพ.ตอนบวชเป็นพระก็เทศน์เก่งมาก)
การศึกษา

ลพ.ในสมัยเด็กๆนั้นท่านได้ศึกษาหาความรู้จากวัดเหมือนกับบุคคลทั่วๆไปในสมัยนั้นแต่ลพ.จะตั้งใจเรียนกว่าคนอื่นวิ่งเล่นกันแต่ลพ.กับไปเรียนเพิ่มเติมกับลพ.จาด(วัดบ้านสวนชลบุรี)ซึ่งมาจำวัดอยู่ที่วัดมาบข่าพักอยู่นานจนลพ.ชื่นท่านอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่วมาก
รับใช้ราชการทหาร

เมื่อลพ.อายุได้๑๙ปีก็ถูกคัดเลือกไปเป็นทหารเรือสองปี(สมัยนั้นคัดเลือกทหารตอนอายุ๑๙ปี)ช่วงที่เป็นทหารอ

ยู่นั้นพอมีเวลาว่างลพ.จะท่องหนังสือสวดมนต์จนจำได้หมดไม่ว่าจะเป็นเจ็ดตำนาน,สิบสองตำนาน,ธรรมจักรกัปวัต

นะสูตรและสมัยสูตรเพราะลพ.ตั้งใจว่าถ้าปลดประจำการออกมาเมื่อใดจะขอบิดา,มารดาบวชทันที
อุปสมบท
พอปลดประจำการจากทหารกลับมาบ้านเพียง ๓วันก็บอกกับบิดา,มารดาว่าจะบวช
บิดา,มารดาก็ปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง
จึงได้จัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องอัฐบริขารจนครบแล้วได้นิมนต์พระอุปัชฌาย์,พระคู่สวด
ลพ.ท่านจึงได้บวชตามที่ตั้งใจลพ.ท่านบวชเมื่อวันที่ ๑๐กรกฎาคม๒๕๔๘ ณ.วัดทับมา  ระยอง โดยมีลพ.ขาว
เจ้าอาวาสวัดทับมาในสมัยนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์,ลพ.ทองอยู่ (เจ้าอาวาสวัดมาบข่า) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
และลพ.จี๊ดเจ้าอาวาสวัดเขาโบสถ์(เขาซากแขก)เป็นพระอนุสาวนาจารและมีลพ.หินวัดหนองสนมเป็นพระอาจารย์บอกอนุศาสน์พร้อมกับได้รับฉายาว่า  สุจิตโต และอยู่รับใช้ลพ.ทองอยู่มาโดยตลอด  มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไปจำวัดที่วัดเขาโบสถ์๒เดือนเพื่อเรียนภาษาขอมกับลพ.จี๊ดจนอ่านออกเขียนได้และลพ.ได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรมครั้งแรกที่วัดป่าประดู่  ระยองโดยมี ลพ.แอ่วเป็นครูสอน
ความคิดเห็นส่วนตัวของหลวงพ่อ
เรื่องสมศักดิ์
หรือตำแหน่งหน้าที่หลวงพ่อไม่เคยใฝ่ฝันดิ้นรนขวยขวายเพราะท่านถ่อมตนอยู่เสมอว่าหนังสือท่านไม่ค่อยเก่งแต่หลวงพ่อก็ยอมรับและปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีตลอดมา  ตำแหน่งที่ได้รับมีดังนี้ครับ
1.พระกรรมวาจาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๘๖
2.พระกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๔๘๖
3.พระครูประทวนสมณะศักดิ์ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๔๙๓
4.เจ้าคณะตำบลหนองละลอก เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๕
5.เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นตรี พระครูพิพิธวรญาณ เมื่อวันที่ ๕  ธันวาคม ๒๕๐๐
6.เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๐๑
อุปนิสัยของหลวงพ่อ
หลวงพ่อมีนิสัยอ่อนโอน พูดจาเรียบร้อย นุ่มนวล
เสียงทุ้มลึกกังวานแจ่มใสแต่แฝงไว้ด้วยความมีอำนาจในตัวเอง
แม้แต่นั่งคุยกับญาติโยมก็จะนั่งพับเพียบไม่ค่อยเปลี่ยนอิริยาบถคือนั่งท่าไหนก็ท่านั้นจนเสร็จกิจกรรมนั้นๆ  ลพ.เป็นพระที่สุขุม มีสติ ปัญญาความคิดปฏิภาณเฉียบแหลมว่องไว  สามารถแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ทันทีแม้จะเป็นพระที่หัวโบราณแต่ก็ทันสมัยอยู่เสมอ  ลพ.เป็นผู้มีความเมตตาธรรมสูง
ไม่เลือกชนชั้นว่าผู้ดีหรือยากจน และพบหลวงพ่อได้ทุกโอกาส
ด้านไสยเวทย์
หลวงพ่อได้ศึกษาทางไสยเวทย์หลายด้านด้วยกันเช่นหมอแผนโบราณ,หมอกระดูก
(แต่ก่อนแพทย์สมัยใหม่ยังไม่เจริญเท่าที่ควร)ใครเจ็บป่วยก็จะมาตามหลวงพ่อไปรักษาไม่ว่าจะดึกแค่ไหนหลวงพ่อไม่เคยปฏิเสธ  หลวงพ่อจะรักษาให้ทุกรายจนเป็นที่นับถือเลื่อมใสของชาวบ้านทำแม้แต่น้ำมนต์ไล่ภูตผี
ชีวิตบั้นปลายของหลวงพ่อ
เมื่อวันที่๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๑
ลพ.มีกิจนิมนต์สองที่คือช่วงเพลที่โรงงานโม่แป้งมันและช่วงเย็นที่สวนศรีเมือง
ที่โรงโม่แป้งมัน(มาบข่า)ก็ทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์  ฉันภัตตาหารให้พรเรียบร้อย
ก่อนที่ลพ.จะประพรมน้ำพระพุทธมนต์ลพ.สั่งให้เดินเครื่องโม่แป้ง
แล้วเริ่มประพรมน้ำพระพุทธมนต์จวนจะเสร็จแล้วเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นเมื่อสายพานเย่อเอาจีวรของลพ.ติดเข้าไปกับสายพาน(สายพานสามเส้นประมาณ๘นิ้ว)ทำให้ตัวหลวงพ่อติดกับสายพาน
หลวงพ่อก็จึงดึงจีวรกลับแต่สู้แรงเครื่องไม่ได้หลวงพ่อจึงท่องคาถาแคล้วคลาดว่า  ยัมมะโข ภะคะวันตัง
สะระณังคะตาติ อุทธังอัทโธ นะโมพุทธายะ พุทธังปัดคลาดแคล้ว ธังมังปัดคลาดแคล้ว  สังฆังปัดคลาดแคล้ว
พระเจ้าเกิดแล้ว อิติปิโส ภะคะวาติ เมื่อว่าจบเครื่องยนต์ก็ดับพอดี  ปรากฏว่าสายพานขาด ๑เส้น
หลุดหัวต่ออีกสองเส้น ชาวบ้านจึงช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลระยอง
หลวงพ่อได้สลบไปชั่วครู่พอฟื้นมาก็พบกับหมอและพยาบาลหญิง
หลวงพ่อจึงขอเปลี่ยนโรงพยาบาลไปที่โรงพยาบาลสัตหีบ(อาภากรเกียรติวงศ์)รักษาอยู่หลายเดือนจึงหายแต่ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแต่ก็รับนิมนต์ตลอด(หลวงพ่อท่านเป็นพระที่เกรงใจ)โดยขัดศรัทธาไม่ได้
พ.ศ. ๒๕๒๓
อาการของหลวงพ่อก็ยังทรงๆอยู่เช่นเดิมและมีโรคปวดท้องเพิ่มขึ้นมาอีกฉันยาหม้อแล้วก็ไม่ทุเลากลับมีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ
เดือนมีนาคมหลวงพ่อจึงต้องเข้าโรงพยาบาล(อาภากรเกียรติวงศ์)อีกครั้งหนึ่งและเป็นการเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อ  มาอยู่ได้๑๐วันแพทย์ก็ยังหาสาเหตุของโรคไม่พบ
แพทย์จึงต้องนำอุจจาระไปตรวจจึงพบว่ามีเลือดปนมากับอุจจาระ
แพทย์จึงเอาสายยางดูดเอาน้ำในกระเพาะอาหารออกมาตรวจอีกครั้งและพบเลือดสดๆปะปนมากับน้ำนั้นด้วย
แพทย์จึงสันนิษฐานว่าหลวงพ่อเป็นแผลในกระเพาะอาหารและจะทำการผ่าตัดหลวงพ่อยังไม่ยอมให้ผ่าตัดแต่จะกลับวัด  ทางโรงพยาบาลไม่ยอมให้กลับจนเมื่อร่างการหลวงพ่อไม่ไหวหนังเข้าหลวงพ่อจึงยอมให้ผ่าตัด  เมื่อวันที่๒๘มีนาคม๒๕๒๓เวลา๐๙.๐๐น.จึงนำหลวงพ่อเข้าห้องผ่าตัดผลปรากฏว่าหลวงพ่อเป็นแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ทะลุแผลที่ทะลุนั้นอยู่ตรงถุงน้ำดีและตับอ่อนพอดีไม่สามารถจะตัดต่อลำไส้ได้จึงได้อุดช่องเดิมแล้วลัดตรงข้ามแผลไปออกลำไส้
พอหลวงพ่อฟื้นขึ้นมาอาการก็ยังไม่ดีขึ้นแม้แพทย์พยายามช่วยเหลืออาการก็ยังไม่ดีขึ้นจึงต้องนำเข้าห้อง
ไอ.ซี. ยู. อีกครั้งหนึ่ง และหลวงพ่อก็จากไปด้วยสงบเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๒๓

http://www.trueamulet.com
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้