ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2180
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

*การชำระหนี้สงฆ์

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย oustayutt เมื่อ 2016-4-30 13:22





*การชำระหนี้สงฆ์

  (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)



---หลวงพ่อสอนให้ลูกศิษย์และญาติโยมรู้จักชำระหนี้สงฆ์ และแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์  พร้อมทั้งนำเกร็ดความรู้ที่ได้ประสบมาเล่าให้ฟัง  เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งหลาย  จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง  อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกันตัวเองและผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่าง ๆ  ที่เกี่ยวกับของสงฆ์อีก  ท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า

---ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว  จะเป็นสิ่งของหรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม  จะมีราคามากหรือน้อยก็ตาม  ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการ  หรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย  จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้น มาทดแทนให้เหมือนเดิม  ไม่เช่นนั้น จะทำให้ผู้ล่วงละเมิดลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย

---อย่างวัดร้าง ที่ปรากฎว่าเป็นดินเปล่า  ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัด  หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัด  แต่อยู่ในป่าในดง  หรือวัดที่มีพระอยู่ก็ตาม  เราจะนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น  จะเป็นต้นหญ้าสักต้น  ไม้หักสักอัน  เขาก็ถือว่า ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็ ถือว่าซวยขนาดหนัก  แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขั้นขุมที่ 7 มาแล้ว  ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก เพราะอะไร  เพราะบุกรุกที่ดินของวัด  ถึงแม้จะไม่มีเจตนาโกง  วัดก็เป็นวัดร้าง  แต่ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้าง  แค่นี้ก็ตกนรกขุมที่ 7 จะมาอ้างว่าไม่รู้ ไม่เจตนาไม่ได้  มีความผิดหมด

---หรือว่ามีไม้ลอยมาหน้าบ้าน  เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของ  เอาเข้ามาทำฟืน  แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์  ไปเอาเข้ามันก็บาป  ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง  สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้  เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์  แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป  ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด  แม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์  เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป  แล้วโทษของสงฆ์หนักมาก  เรียกว่า ขั้นอเวจีขั้นเดียว  มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี

---หลวงพ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์  ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง  ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม  เอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์  ขอชำระหนี้สงฆ์  คือว่า วัดร้างที่ปรากฎมีเป็นวัดก็ตาม  หรือไม่ปรากฎเป็นวัดก็ตาม  วัดที่มีพระก็ตาม  วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม  แต่สิ่งเหล่านั้น ย่อมไม่ทราบค่าราคาของ  ถือว่าเป็นของเล็กน้อย  ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้  ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลาย เห็นสมควร ก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน  ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่  ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกัน เป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี  ท่านบอกว่าค่อย ๆ ทำไป  เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก


---ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ  ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้น เป็นสมบัติของสงฆ์  เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้  จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้น ไปใช้ในการก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์  ท่านทั้งหลายอาจสงสัยว่า  ของต่าง ๆ  ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี  วัสดุเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็ดี  หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี  ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด  ถ้าหากเรารื้อแทนของเดิม  ทั้งนี้ เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด  เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง    เขาสร้างเพื่อถวายบูชาพระพุทธเจ้า  คำว่าของสงฆ์นี่น่ะ  ต้องหมายถึง พระพุทธเจ้าเป็นประธาน  เป็นของส่วนกลาง  ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่าเป็นของฉัน  จะมาชี้ว่า สมบัตินี้เป็นของฉัน  เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้น  จะต้องลงนรกหมด  เรื่องนรกนี้เขาไม่เว้นใครหรอก




ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-30 13:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


---ของในวัดก็เหมือนกัน  ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้  ถ้าเขาสึกแล้วก็ตาม  เขาตายแล้วก็ตาม  ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์  ถ้าว่าเขาตายหรือสึกไปแล้ว  พระองค์ใดองค์หนึ่ง จะถือเป็นทายาทกันเองก็ดี  ใช้เองก็ดี  ทำอย่างนั้นไม่ได้  เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว  เวลาจะกินจะใช้ก็ต้องประชุมสงฆ์ต้องลงมติอนุมัติ  จึงจะถือว่าไม่เป็นโทษ


---ก็มีตัวอย่างเรื่องหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้  มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ อาจารย์ทิม  สำหรับอาจารย์ทิมนี่ รุ่นเดียวกัน  อยู่ที่สุพรรณบุรี  เป็นนักก่อสร้าง  พระองค์นี้เป็นพระดีมาก  ระเบียบวินัยก็ดี  เจริญสมถภาวนาก็ดี  แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่ง แกป่วยครั้งหลังสุด กำลังก่อสร้างโบสถ์  สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี  ได้มาก็จ่ายไป  ทีนี้แกป่วย  สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี  หมอเขาบอกว่า ต้องต้มยาหม้อในราคาหกสิบบาท  ท่านก็เลยขอยืมเงินที่เขาสร้างโบสถ์ก่อน  ฉันหายแล้ว  เวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้คืน


---พอปี 2508  ดันตายเสียได้  “ไอ้เงินหกสิบบาทดันเป็นพิษ  พระทิมไปนั่งจ๋องที่สำนักพระยายม”  เวลาทุ่มเศษ ๆ กำลังนอนสบาย ๆ  เห็นเทวดาองค์หนึ่งเป็นพวกวชิระ  มายืนปลายเท้า กราบ กราบ  ถามว่า “มาทำไม”  เขาบอกว่า “ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ”  เลยบอกว่า “แกไปข้างหน้า  ฉันตามไป”  ตามไปหน่อยเดียวแกบอกว่า  "เดี๋ยวผมไปตามอีกสององค์”  แกไปตามอีกสององค์  เราก็ตรงไป  พอถึงก็พบท่านทิมอยู่ที่สำนักพระยายม  จึงถามว่า  “ไง.....มานั่งอยู่ที่นี่เล่า”  แกก็บอกว่า  "เป็นหนี้สงฆ์อยู่หกสิบบาท”  ถามว่า "คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ”  แกบอก “เป็นหนี้ตอนใกล้ตาย  เพราะหมอที่สั่งยามาให้ แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด  ไอ้เงินส่วนตัวจริง ๆ  ที่เรียกว่าตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ  ก็เอาเงินส่วนนี้เอาไปซื้อยา”


---จึงเข้าไปตามลุง (พระยายม)   ถามลุงว่า “ยังไงนี่.....”  ลุงบอกว่า  “ยังไม่ว่าไง  เดี๋ยวค่อยว่า  คอยอีกสององค์ก่อน  ยังไม่สอบสวน”  ถ้าสอบสวนไม่ได้  ของสงฆ์นี่หนักมาก  ปิดปากเลย  ถ้ากรรมดีละก็หนัก  ปิดปาก  กระเบื้องอันเดียวปิดปากเลย  เรื่องบุญนี่พูดไม่ได้เลย


---พออีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว  ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า  “ท่านเอาเงินสงฆ์ไปใช้หกสิบบาทใช่ไหม”  ท่านตอบว่า “ใช่”  “ไปใช้เพื่ออะไร” บอกว่า “มันป่วย หมอเขาสั่งยามา”  “จิตคิดอย่างไร”  “จิตคิดว่า  ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์”  แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม”  แกตอบว่า “ใช่”  แล้วท่านถามว่า “จะว่าอย่างไร”  ท่านบอกว่า “ไม่มีเรื่องจะว่า”


---ลุงพุฒท่านก็หันมาถามพวกเราว่า  “ท่านสามองค์จะว่าอย่างไร"  บอกว่า “ยังมีเรื่องว่าอยู่”  “ว่ายังไงล่ะ”  “ทำอย่างไรพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม  เขาได้ฌานสมาบัติ  ควรจะไปเป็นพรหม”  ท่านก็เลยบอกว่า  “เวลาตายก่อนจะดับจิต  อารมณ์อยู่ในฌาน  ฌานยังตั้งไม่ได้”  เลยถามว่า “ไอ้เรื่องนี้พอจะอภัยกันได้ไหม”  ท่านก็เลยบอกว่า  “ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้  มันต้องชำระหนี้สงฆ์”  ก็บอกว่า “ตกลง  ฉันช่วยชำระหกสิบบาท  เรื่องเล็ก”  ท่านบอกว่า  “ไม่ได้  ชำระด้วยเงินไม่ได้”  ถามว่า  “แล้วจะเอาอะไร”  ท่านบอกว่า “ต้องสร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์  หน้าตักสิบสองนิ้ว”  เราเลยบอกว่า “เรื่องเล็ก  เอาสักสิบองค์ก็ยังได้”  ท่านบอกว่า  “องค์เดียวพอ”


---แล้วพระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์  รวมเป็นสามองค์  เราบอกว่า  “อย่างนี้  ฮ้อ...ตกลง”  ท่านก็เลยบอกว่า  “ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี”


---ตอนนั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า  “อย่าเพิ่งไป   อยู่ที่นี่ก่อน”  ถามลุงว่า “การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม”  ท่านบอกว่า  “ได้”  เราก็เลยบอกท่านทิมว่า  “จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม”  เขาถามว่า “อะไรล่ะ”  ก็เลยบอกว่า  “เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขาน่ะ” บอกว่า  “จำได้”  “จำได้ก็ขอไปตามนั้น”  นั่นมันฌานสี่  ท่านทิมเลยไปเป็นพรหมชั้นที่สิบเอ็ด  ถ้าไปตอนนั้นก็ไปด๊อกแด๊กอยู่แค่กามาวจร  ต้องช่วยกระตุกตรงนี้  มันพ้นตอนที่เรารับปากจะให้  อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด  ลุงพุฒแกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม  ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร  ขนาดมาตามเลยนะ  ที่ตามก็มีพระอยู่สององค์  อีกองค์หนึ่งเป็นพระอยุธยา  หนุ่มเลยละองค์นั้น  ตอนนั้นฉันก็อายุสักสี่สิบกว่า ๆ  องค์ที่อยู่อยุธยาก็อยู่ในเกณฑ์สามสิบเศษ ๆ แต่ไม่รู้ว่าวัดไหน  รูปร่างสูง ๆ ดำ ๆ  อีกองค์หนึ่งรูปร่างหน้าตาดี  ไม่รู้อยู่วัดไหน  เวลาไปตามก็มีสามองค์เลยเล่นกำไรเสียเลย  พระพุทธรูปสิบสองนิ้ว  กับคนที่จะไปพรหม  ราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม  เราสร้างพระสิบสองนิ้วเดี๋ยวเดียว  ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหมมันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-30 13:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

---คราวนี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า  ทำไมท่านจึงมาเจาะจงเอาฉันไปช่วย  ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ละก้อจะต้องเป็นเครือเดียวกัน  เป็นพวกเดียวกัน  เดินทางแนวเดียวกัน  อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานาน  ตั้งแต่ตอนบวชอยู่ใหม่ ๆ ส่วนอีกสององค์ไม่รู้ว่าเขารู้จักกันมาเมื่อไหร่  แต่ทั้งสององค์นั่นบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน  เงินส่วนตัวไม่มี  ฉันถามอีกองค์หนึ่งที่รูปร่างหน้าตาดี ๆ  บอกว่าอยู่สิงห์บุรี  จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทาเขาก็บอกว่า  ผมกับท่านบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน  สตางค์ไม่เหลือ  อาจารย์ทิมก็บ้าเหมือนกัน  แต่ดันบ้าตายก่อน  มันจะลงนรกเราให้ลงไม่ได้  ทีนี้วิธีกระตุ้นนิดเดียว  ถ้าบอกว่าอาจารย์ทิมเริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย  ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง  เขาต้องถามถึงอารมณ์เดิมนิดเดียว  ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหน  เอกัคคตากับอุเบกขา


---บอกจำได้เท่านี้ก็พอแล้ว  จำได้เป็นฌานสี่  จิตก็ตั้งอยู่พอดี  พอพูดปั๊บจิตก็ตั้งอยู่ฌานสี่  พอตั้งอยู่ฌานสี่  สภาพก็เป็นพรหม  ตัวแกก็เป็นพรหม  แจ๋ว   เลยบอกไปตามอัธยาศัย  ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย


---ที่เล่าให้ฟังนี่  มันเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์  ไอ้พวกที่มีเจตนาโกงไม่มีทางช่วย  เรี่ยไรมาสิบบาท  เอาของเขาใช้ไปเก้าบาทเก้าสิบสตางค์  อีกสิบสตางค์ก็เอาเข้ากระเป๋า  อย่างนี้ลงอเวจีมหานรก


---ของสงฆ์นี่แม้แต่กระเบื้องแตก ๆ ก็เก็บไม่ได้  ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้แล้ว เห็นว่ามันดีนี่ เอาไปบ้านหน่อย  อย่างนี้ เอวัง  ตกดังตูม.......อเวจี  และก็มีอีกเรื่องหนึ่ง


---ในสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  พระวิปัสสีทศพล  สมัยพระวิปัสสีนั้น  มีพระอยู่สี่องค์  เวลานั้นข้าวยากหมากแพง  ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล  ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก  แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย  พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหา  ข้าวที่จะกินเข้าไปมันไม่พอ  ข้าวส่วนตัวไม่มีก็มีข้าวสารของสงฆ์  ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา  เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้ว  ก็มาหุงเลี้ยงเพื่อน  คิดในใจว่า  ถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่  เราก็จะชำระหนี้สงฆ์  คือว่าเราจะใช้หนี้ให้  แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้ พระสี่องค์นั่นก็ตาย  ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่าจะชำระหนี้  แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ  ตายแล้วไปไหน  ปรากฎว่าไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรกสิ้นพันปีนรก  เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วก็ตกนรกบริวาร  ผ่านมาสี่ขุม  แล้วก็ยมโลกียนรกอีกสิบขุม  มาเป็นเปรต


---เปรตนี้จัดเป็นสิบสองระดับ  ระดับที่หนึ่ง ถึงระดับที่ สิบเอ็ด  ไม่มีโอกาสจะได้โมทนาบุญของชาวบ้านที่ทำให้  ระดับที่สิบสองที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวิเปรต  ตอนนั้นมีโอกาส  ในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่หนึ่งถึงที่สิบเอ็ด  ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์  ถามท่านว่า  เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินข้าวกินน้ำเสียที  เห็นน้ำเข้าวิ่งไป  น้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง  เห็นข้าวอยากจะกิน  วิ่งเข้าไปก็ปรากฎว่าเป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก  กินไม่ได้  พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า  เมื่อไรพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก  ในตอนนี้แหละ  ญาติของเจ้าชื่อว่าพระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศล  แล้วเธอหมดทุกคนได้รับโมทนาก็จะพ้นทุกขเวทนาเสียที  เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน  จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ  พระเจ้าพิมพิสารถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร  แล้วก็ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด  เมื่อถวายทานแล้ว  ก็ไม่ได้กรวดน้ำ  ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้


---ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญ  ครั้งแรกยังไม่รู้ว่าทำบุญแล้วกรวดน้ำกันได้ผล  เปรตทุกคนที่คอยอยู่ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา  เห็นพระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ  แปลกใจว่าเสียงอะไรไม่ทราบ  มาร้องกึกก้อง  ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารตกใจ  ในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้า  ไปถามว่าเมื่อคืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร  มันร้องกรี๊ดกร๊าด  ๆ  ในพระราชฐาน  ไม่เคยได้ยิน  พระพุทธเจ้าก็เล่าความนั้นให้ทราบ  พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า  เปรตเป็นญาติของพระองค์ ต้องการโมทนาบุญ  เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้วไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้  คำว่าอุทิศแปลว่าเจาะจงนะ อุทิศนี่นะเขาแปลว่าเจาะจงให้เฉพาะ  พระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า  พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด  ไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์


---ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จ  ก่อนจะโมทนา  พระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ  ใช้คำว่า อิทังโนญาตีนังโหตุ  แปลเป็นใจความว่า  ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า  เท่านี้ละนะ  การกรวดน้ำครั้งแรก  เปรตทั้งหลายเหล่านั้นตั้งท่าคอยอยู่แล้ว  ได้รับโมทนา  เมื่อโมทนาแล้ว  ร่างกายเป็นทิพย์หมดมีความอิ่มเอิบ  มีความสวยสดงดงาม  ร่างกายเทวดา  แต่ว่าเป็นเทวดาชีเปลือยไม่มีเครื่องประดับ  ไม่มีผ้านุ่ง  เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยก่อนที่จะตาย  ไม่ได้เคยทำบุญถวายผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพุทธศาสนา  เมื่อร่างกายสวยแต่ไม่มีเครื่องประดับ  ไม่มีเสื้อผ้า  ไม่มีกางเกงนี่มันก็แย่เหมือนกัน  ก็เดือดร้อน  ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร  แสดงตัวให้ปรากฎ  แต่ว่าตอนยืนน่ะสงสัยนะ  ว่าจะยืนหันหลังให้  คงไม่ยืนหันหน้าหรอก  คงจะอายเหมือนกัน


---พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจว่า  คนอะไรสวยก็สวย  แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า  ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า  พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา  แต่ไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพุทธศาสนา  เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน  เขาก็มีแต่ร่างกายสวยงาม  ผ้าจึงไม่มี  พระเจ้าพิมพิสารถามว่าทำไมเขาจึงจะได้ผ้า  ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา  จะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์  พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้น  แต่พอได้เครื่องประดับแล้ว  เทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฎ  แล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  ก็เลยไม่รบกวนอีก  นี่เล่าถึงเรื่องของสงฆ์ให้ฟังนะว่า มีเจตนาขอยืมยังมีโทษขนาดนี้  แต่ถ้าหากว่าเราไปเอามาโดยไม่ขอยืม  มันจะมีโทษขนาดไหน


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-30 13:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

---และอีกเรื่องหนึ่ง  กากะเปรต  สมัยที่เกิดเป็นกา  แย่งข้าวในขันที่เขาจะนำไปถวายพระ  ข้าวสุกนั้นเขานำไปยังไม่ถึงพระ  ยังไม่ใช่ของสงฆ์  จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้  เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้ว  กรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้  ตายแล้วไปลงอเวจี  แล้วแถมเกิดมาเป็นเปรต

---ผู้ถาม  “หลวงพ่อครับ  คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ”


---หลวงพ่อ  “ถ้าอาหารที่พระให้  ต้องเป็นของที่ญาติโยมถวายเฉพาะองค์นั้น  ไม่มีโทษแน่  แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง  คือเป็นของสงฆ์  ของสงฆ์นั้น  พระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้  นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์  ตัวอย่างของสงฆ์  เช่น  อาหารวันพระที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมาก ๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปบ้าน  โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น  อย่างนี้แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง


---บางทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ  ถ้าพระอนุญาตแล้วไม่มีโทษ (สำหรับญาติโยมที่ไปในงาน  ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร  แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉย ๆ  บางท่านก็ขอเอาดื้อ ๆ  ให้หรือไม่ให้ก็ตาม  ออกปากขอแล้วยกไปเลย  พระยังไม่ทันอนุญาต  ท่านทายกประเภทนี้  ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก  เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม  ถ้ามากจนเหลือเฟือ  ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน  เพราะท่านอาจจะมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง  ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระ มีโทษ 100 เปอร์เซนต์


---และอาหารถวายพระพุทธรูปก็เหมือนกัน  อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก  อาหารที่เขานำมาวัด  เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์  การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี  เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย  เป็นพุทธบูชาด้วย  แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก  เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน  ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม  อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน  หลายวัดหรือส่วนใหญ่ทายกมักจะเอาอาหารดี ๆ และมาก ๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป


---เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว  ต่างก็ยกเอามากิน  ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง  ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก  ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นเดนจากพระฉันเท่านั้น  ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น “ลูกศิษย์พระพุทธรูป”  แต่ประการใด


---รวมความว่า  ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น  คือของในวัดทุกประเภทที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว  แม้แต่ดอกไม้ผลไม้ในวัด  เศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว  เอามาทำฟืนบ้าง  ทำอย่างอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง  จงอย่าคิดว่าไม่บาป  แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์  มีผลเสมอกัน  เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด  ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาต  อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป  ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้รับมาได้ไม่มีโทษ  ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว  ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง  ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์




5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-30 13:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

---ผู้ถาม  “แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ”


---หลวงพ่อ  “เรื่องมันเป็นอย่างนี้  ฉันไปที่ศรีราชา  ญาติโยมเขาถามเรื่องชำระหนี้สงฆ์  ถ้าหลาย ๆ ชาติมาเราไม่รู้อะไรมาบ้าง  ถามว่าจะทำอย่างไร  ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน  พอตอบไม่รู้  ก็เห็นพระท่านลอยมา  ท่านบอก “ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็นเงินเท่าไรก็ไม่พอ  ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก  4  ศอก”


---พระหน้าตัก  4  ศอก  ถือ่วาเป็นพระประธานมาตรฐาน  ท่านบอกว่า  “พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้  ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์  หนี้สงฆ์ที่แล้ว ๆ  มาถือเป็นการหมดไป”


---ฉันพูดแล้วก็กลับมาวัด  ต่อมาพวกนั้นก็ถามใหม่ว่า  “สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน”  ฉันก็ไม่รู้อีกซิ  ก็นึกถึงท่าน  ท่านก็มาใหม่  ท่านก็บอกว่า


---“ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว  ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ”  คำว่า “คณะ” หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้  ตัดบาปเก่า  ถ้าสร้างใหม่เอาอีกนะ  สร้างนี้ใหม่ต่อเป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ


---ผู้ถาม  “ถ้าหากว่าเรามีสตางค์น้อย  แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ”


---หลวงพ่อ  “ถ้าเรามีสตางค์น้อย ๆ  ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า  “ชำระหนี้สงฆ์”  คือว่า  ไม่ได้จำกัด  ทำไปเรื่อย ๆ ให้สบายใจ  บาทสองบาทตามกำลังที่จะพึงทำได้  เขาไม่ได้เกณฑ์ว่าจะสร้างพระ  หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้มาก่อน  เรื่องสร้างพระนี่เขาถามก็บอก  ท่านมาบอกอัตรานี้โละกันเลยนะ  คือไม่ใช่จะเกณฑ์ให้สร้างพระ  เพราะทุนไม่พอใช่ไหม  เราก็ทำไปเรื่อย  ใจสบาย


---มีสตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ  5  บาท  ใส่ซองถวายพระ  บอกขอชำระหนี้สงฆ์  ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิด  ท่านลงนรกเองไม่ต้องห่วง  ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย  เงินชำระหนี้สงฆ์มันมีค่ากว่าเงินสังฆทานและวิหารทาน  ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้เป็นส่วนกลาง อันตรายกับพระ แต่ช่างท่านเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไป ใช่ไหม”

---ผู้ถาม  “ถ้ามีญาติโยมเอาเงินไปถวายพระ  แต่พระก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง  ให้ญาติโยมไปออกดอกออกช่อบ้าง  อยากทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว  จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบหรือไม่เจ้าคะ”


---หลวงพ่อ  “เขาถวายเป็นของสงฆ์ใช่ไหม  เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม  แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร  แต่คนในวัดเอาไปปลูกบ้าน  เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม  เขาถวายอานิสงส์  มันได้ตั้งแต่ถวาย  มีอานิสงส์ครบถ้วน  นั่นเขาครบ 100 เปอร์เซนต์เลยนะ  คนอื่นเอาไปใช่ไหม  อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ  อานิสงส์ได้ตั้งแต่เริ่มให้  ยิ่งให้ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้น  เวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม  ขณะที่พระรับก็เกิดธรรมปีติอิ่มใจ  อานิสงส์มันเพิ่ม  แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษคนนั้นลงอเวจีแน่”

---คัดมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ (ฉบับพิเศษ) และหนังสือสมบัติพ่อให้ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง  อุทัยธานี /รวมคำสอบพระสุปฏิปันโน  เล่ม 2.


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้