ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2323
ตอบกลับ: 6
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

คนจะรวยได้เพราะเหตุใด ?

[คัดลอกลิงก์]
คนจะรวยเพราะได้เพราะเหตุใด

ในโลกนี้หลายคนบอกว่าอยากรวย อยากมีเงินทองมากมายเพื่อทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งของตนเองและคนรอบข้างที่ตนเองรัก หรือแม้แต่ในบางคนที่เป็นคนสมถะก็บอกแค่อยากมีเงินทองพอไม่ให้ตัวเองและครอบครัวเดือดร้อน ซึ่งในความเป็นจริงแบบที่ไม่หลอกตัวเอง การมีเงินในชีวิตนั้นเป็นเรื่องดีทั้งนั้น

แต่สำหรับคนที่อยากมีเงินทองมากมายถึงขั้นเรียกว่า “คนรวย” นั้นหลายคนบอกว่ายาก ไม่มีทางเป็นไปได้ ซึ่งขอบอกตรงนี้เลยว่า

ทุกคนมีโอกาสร่ำรวยได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เพียงรู้วิธีที่ถูกต้องเท่านั้น

แต่ก็ต้องรู้ก่อนว่า คนที่เราเห็นว่ารวยนั้นเขารวยได้ด้วยเพราะเหตุใด ซึ่งในความจริงมาจากสาเหตุ 2 ประการเท่านั้น คือ มีกรรมเก่าฝ่ายดีส่งให้รวยกับการสร้างกรรมใหม่ฝ่ายดีมากพอที่จะส่งให้รวยได้  หรือเรียกกันง่ายๆ ว่ามีทั้งบุญเก่าและบุญใหม่ส่งให้รวย

ส่วนในเรื่องของคำว่า “รวยแบบทันตาเห็น”  ที่อยู่บนหน้าปกหนังสือนั้น ผมอยากให้ทุกท่านเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำนี้ ซึ่งความหมายนั้นคือ  ในชาตินี้ทุกท่านได้เห็นกรรมดีที่ท่านเพียรทำด้วยตาของท่านเองแน่นอน

ครูบาอาจารย์คนสำคัญของเมืองไทยนั้น ท่านบอกว่า คำว่า”ทันตาเห็น” ที่พูดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณนั้นในความหมายที่แท้จริงนั้นหมายถึง เราจะได้เห็นกันทันที่ชีวิตของคนยังมีชีวิตอยู่นี้ และอยู่ในช่วงเวลาว่าไม่เกิน 30 ปี กรรมเกือบทุกกรรมที่เราทำในชาตินี้จะต้องส่งผลออกมา โดยเฉพาะกรรมหนักฝ่ายดีและไม่ดี

แต่คนเป็นจำนวนมากมักคิดไปว่าแบบทันตาเห็นนั้นต้องเกิดขึ้นแบบทำกรรมดีวันนี้พรุ่งนี้ออกผลเลย ซึ่งในบางคนอาจจะเป็นไปได้เพราะบุญเก่าและบุญใหม่มารวมกันและมาตัดรอนให้พลิกชะตาแบบทันท่วงที

แต่หลายคนเป็นไปไม่ได้ก็ด้วยบุญที่ทำมายังมีกำลังน้อยและยังไม่ส่งผล ต้องใช้เวลาแต่อย่างไรก็ตามต้องส่งผลในชาตินี้ทันก่อนจะตาจะปิดลงอย่างถาวรแน่นอน

ก่อนที่จะมาพูดถึง 2 เรื่องใหญ่นี้อย่างละเอียด ขอพาทุกท่านไปรู้จักเรื่องๆ หนึ่งก่อนเป็นเรื่องของคนธรรมดาที่กลายเป็นเศรษฐีได้เพราะกรรมเก่าฝ่ายดีส่งผลให้เกิดมารวย

เป็นเรื่องของคนรวยที่มีการบันทึกไว้ในพระพุทธศาสนาท่านชื่อ  เมณฑกเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีในยุคพุทธกาลที่มีทรัพย์เป็นอัศจรรย์ และเป็นบุคคลสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐีอีกหลายท่านในพุทธศาสนาที่พระศาสดาตรัสยกย่อง

เมณฑกเศรษฐี ซึ่งเป็นปู่ของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ทั้งยังสำเร็จเป็นอริยะบุคคลชั้นพระโสดาบัน เป็นผู้มีบุญมาก

ที่สำคัญ ท่านเมณฑกเศรษฐี ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีทรัพย์มากไม่มีประมาณได้ และถูกกล่าวถึงมากที่สุดคนหนึ่ง

ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร พรั่งพร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลาย ในกาลครั้งนั้น ยังมีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อ เมณฑก ที่ได้ชื่อเช่นนั้น เพราะเศรษฐีนั้นมีรูปแพะทองคำอันมีฤทธานุภาพมาก ภิกษุสงฆ์จึงได้สนทนากันถึงเรื่องนี้กันในคันธกุฏี (เรือนที่ประทับของพระพุทธเจ้า) พระพุทธเจ้าเห็นเหตุการณ์ที่เหล่าภิกษุได้สงสัยถึงที่มาเพราะเหตุใดเมณฑกเศรษฐีถึงรวยจนประมาณไม่ได้ จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนาถึงที่มาแห่งเศรษฐีนั้นโดยสรุปว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลครั้งหนึ่ง ยังมีเมณฑกเศรษฐี แต่ในกาลครั้งก่อนนั้น ท่านได้เกิดมา ในศาสนาของพระพุทธเจ้าวิปัสสี มีนามว่า อินทะเศรษฐี ท่านมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา

ได้สละทรัพย์ และน้ำพักน้ำแรง ออกก่อสร้างธรรมาสน์ ถวายเป็นทาน แก่พระพุทธเจ้าวิปัสสี เพื่อนั่งแสดงพระธรรมเทศนา และได้สร้างรูปแพะทองคำอีก 5 ตัว รองเป็นบันไดขึ้นเพื่อให้พระพุทธเจ้าวิปัสสี เสด็จไปเทศน์ได้โดยสะดวก เมื่อเสร็จแล้วท่านก็ได้ถวายแก่พระวิปัสสีพุทธเจ้า พร้อมทั้งตั้งความปณิธานว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จด้วยฤทธิ์แพะทองคำนี้เถิด

กาลต่อมาครั้นสิ้นอายุขัย เศรษฐีนั้นได้ไปเกิดบนสวรรค์ มีวิมานทองสูงได้ 10 โยชน์ มีนางฟ้าเทพอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร วิมานนั้นประกอบด้วยแก้ว 7 ประการ อันรุ่งเรืองลือชาปรากฏในเทวโลกนั้น ชื่อว่า อินทกเทวบุตร
ครั้นจุติจากชั้นดาวดึงส์ ก็ได้มาบังเกิดในเมืองพาราณสีได้เป็น มหาเศรษฐีมีข้าวของเป็นอันมาก หาที่จะนับจะประมาณมิได้ ครั้นสิ้นชีพอายุขัยก็ไปเกิดในเทวโลก อันเป็นเทวสถานอันอุดมโอฬารไพศาล ของพวกเทพนิกรอีกครั้ง จนกระทั่ง ถึงศาสนา แห่งพระพุทธเจ้าของเรา จึงก็ได้จุติจากเทวโลก มาบังเกิดเป็นเมณฑกเศรษฐี

เมื่อครั้งเมณฑกกุมารเจริญวัยขึ้นได้ 16 ปีนั้น แพะทองคำ ก็จึงทำฤทธิ์ ให้เงินทอง ข้าวของ ในท้องแพะนั้นไหลออกมาเป็นอันมาก เมณฑกกุมารได้เสวย ซึ่งสมบัติข้าวของเหล่านั้น จึงมีนามว่า เมณฑกเศรษฐี นี้ก็ด้วยผล ที่ท่านมีใจเจตนาดี หรือหวังดีต่อพระศาสนาต้องการสร้างถาวรวัตถุให้เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน จนตลอดมาถึงทุกวันนี้ก็ย่อมได้รับอานิสงส์ ตามความปรารถนา ของท่าน

การที่เมณฑกเศรษฐีนั้นร่ำรวยขึ้นมาได้นั้น เราจะเห็นได้ว่าเป็นเพราะบุญเก่าที่ท่านได้ทำสะสมมา ซึ่งเราสังเกตดูตามชาดกนี้แล้วจะเห็นว่า

เพราะอานิสงส์ในการสร้างสิ่งต่างๆ ถวายพระพุทธเจ้านามว่า วิปัสสี ในชาตินั้นชาติเดียว แต่ผลบุญนั้นส่งผลมาให้อีกหลายภพชาติติดต่อกัน

ด้วยเป็นเพราะท่านเมณฑกเศรษฐีนั้น ทำทานนั้นด้วยใจอันมีศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมไม่เสียดายทรัพย์ ทำแบบเต็มกำลังทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ  แรงทรัพย์ และการทานในครั้งนั้นเกิดอานิสงส์สูงเพราะทั้งวัตถุทานนั้นบริสุทธิ์ ผู้ให้นั้นบริสุทธิ์ และผู้รับนั้นบริสุทธิ์

สำหรับผู้รับนั้นเป็นผู้มีเนื้อนาบุญสูง เป็นถึงพระพุทธเจ้า อานิสงส์บุญนั้นจึงมากมายมหาศาลที่ส่งผลให้กับเมณฑกเศรษฐีมีความสุขร่ำรวยมาหลายภพชาติ

คนที่อ่านเรื่องนี้คงจะแย้งในใจว่า เรื่องแบบนี้มีจริงหรือดูเหมือนนิยาย ขอเรียนให้ทราบว่าเรื่องของเมณฑกเศรษฐีมีการบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก และทุกเรื่องในพระไตรปิฎกนั้นมาจากโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้และทรงทราบถึงที่มาและที่ไปของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้

และเป็นที่ทราบกันแน่ชัดแล้วว่า การที่จะเป็นคนรวยได้นั้น ไม่ต้องถึงขั้นของเมณฑกเศรษฐีหรอก แต่ต้องมีบุญเก่าเป็นทุนรอนสำคัญเสียก่อนจะมากจะน้อยก็แล้วแต่กรรมหรือการกระทำที่เคยทำมา

ส่วนในเรื่องของตัวเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นผู้มีบุญเก่าสะสมมา ขอตอบเพื่อความกระจ่างว่า การที่เราจะรู้ว่าตนเองนั้นมีบุญเก่าเพียงใดนั้นคงจะไม่มีทางทราบได้ เพราะเราไม่สามารถจำอดีตชาติได้ และผลบุญนั้นไม่อาจวัดกันได้เป็นขีด เป็นกิโล เป็นกี่เมตร

จึงไม่มีทางรู้ว่าในชาติที่ผ่านมาเคยทำบุญและทำบาปกรรมอะไรไว้บ้าง ซึ่งทุกคนล้วนแต่มีการกระทำทั้งบุญและบาปผสมกันอยู่ แต่ให้สังเกตง่ายๆ ว่าถ้าทำกรรมดีมากหน่อยชีวิตในชาตินี้ก็จะมีสุขมากกว่าทุกข์ แต่ถ้ากรรมชั่วมากกว่าจะพบแต่ความทุกข์และความวุ่นวายมากกว่าสุข อันนี้ดูได้แบบง่ายๆ แต่เป็นเรื่องจริงแท้

แต่การที่บุญและกรรมไม่ดีจะส่งผลนั้นมีหลายปัจจัยประกอบ ขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรม โดยมีกรรมเป็นผู้ลิขิตชีวิตคนทุกคน ไม่ใช่มาจากพระเจ้า มาจากดวงดาวหรือมาจากอำนาจอื่นใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเรื่องของการกระทำที่มีเหตุและต้องมีผลตามมา และทั้งสองสิ่งคือ ทั้งเหตุและผลนั้นต้องสัมพันธ์กันด้วย

คนในยุคนี้พอพูดถึงเรื่องกรรมเก่า มักจะเหมาว่าเป็นเรื่องกรรมไม่ดีไปหมดซึ่งไม่ใช่ กรรมเก่านั้นมีทั้งกรรมเก่าฝ่ายดีที่เป็นบุญ กับกรรมเก่าฝ่ายไม่ดีที่เป็นบาป ต้องแยกกันให้ออกว่ามี 2 ประเภท ไม่ใช่กรรมเก่าฝ่ายไม่ดีที่ส่งผลให้ชีวิตวุ่นวายฝ่ายเดียว

ในพระพุทธศาสนานั้นได้อธิบายในเรื่องของกรรมและกฎแห่งกรรมเพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตที่เป็นสุขในภพชาติปัจจุบัน ไม่ได้ให้เรากลัวหรือไปนั่งพะวงกรรมเก่าฝ่ายไม่ดีจนไม่คิดจะทำอะไรที่ดีต่อตนเองและผู้อื่นในชาตินี้





2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-15 18:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระพุทธองค์ไม่เคยตรัสเรื่องกฎแห่งกรรมเพื่อให้เราไปหมกมุ่นกับเรื่องราวในอดีต ตรงกันข้าม พระพุทธองค์ตรัสเพื่อไม่ให้เราเป็นทาสของอดีต เป็นทาสของกรรมเก่าฝ่ายไม่ดี เพื่อไม่ให้นั่งงอมืองอเท้า เพราะหลงคิดว่าอดีตเคยทำชั่วมาอย่างนั้นแล้ว จะกลับไปแก้ไขใน ตอนนี้ ก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ให้มันเกิดไม่ได้แล้ว และเรื่องของกรรมเก่านั้นนั่นไม่ใช่สาระของกฎแห่งกรรมทั้งหมด

เหมือนกับข้าวสารที่เราหุงเป็นข้าวสวยไปแล้ว มีใครมีอำนาจทำให้ข้าวสวยนั้นกลับมาเป็นข้าวสารดังเก่าได้ มันไม่ทางทำได้!!!

หัวใจของกฎแห่งกรรมในพุทธศาสนานั้นโดยความเป็นจริงแล้ว เป็นเรื่องที่ทันสมัยมากมีเหตุและผลครบครัน  จึงได้เน้นให้เรากระทำทุกอย่างในปัจจุบันให้ดีที่สุด โดยมีกรรมเก่าเป็นบทเรียนหรือเป็นครูให้เตือนใจตนเอง

ที่เราควรรู้เรื่องกรรมเก่านั้นก็เพื่อไม่ให้ไปทำผิดแบบนั้นซ้ำๆ โดยต้องเริ่มจากละความชั่ว พยายามทำดีในทุกเรื่อง และอาศัยความเพียรของตัวเอง ไม่พึ่งพาอำนาจเหนืออื่นใดเพราะการกระทำหรือกรรมของเรานั้นเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ร้อยเปอร์เซนต์ไม่มีทางที่ผลจะผิดเพี้ยนไปได้

ให้เชื่อว่าการกระทำของเราย่อมส่งผล เพราะถ้ามัวแต่ไปคิดว่าการกระทำนั้นไม่ส่งผล ก็จะไม่เพียรพยายาม ไม่เชื่อมั่นในการกระทำของตน

เรื่องหนึ่งที่เป็นข้อสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ เรื่องของความแตกต่างของคนที่เกิดมานั้นทำไมถึงหล่อถึงสวยหรือขี้เหร่ไม่เหมือนกัน จนหรือรวยผิดกัน  ทำไมเกิดมาถึงแตกต่างกันนักทั้งๆ ที่เป็นคนเหมือนกันการที่คนเกิดมาไม่เหมือนกัน เช่น บางคนเกิดมาฉลาด บางคนโง่ บางคนรูปร่างงามบางคนเกิดมาอวัยวะไม่ครบ บางคนเกิดในตระกูลต่ำ บางคนเกิดในตระกูลสูง ฯลฯ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-15 18:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลายคนที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องของกรรมอย่างถ่องแท้ ก็จะต้องยกให้ความบังเอิญเป็นแพะรับบาป หรือไม่รู้จะตอบอย่างไรก็บอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญไว้ก่อน  แต่ในยุคปัจจุบันเป็นยุคที่ศาสตร์ต่างๆ ในโลกนี้ได้ถูกเปิดออกมากที่สุดตั้งแต่มีโลกใบนี้ขึ้นมา

จึงต้องเลิกทฤษฎีบังเอิญกันแล้ว ทุกสิ่งต้องมีเหตุผล ไม่ใช่บังเอิญ คำว่า ”บังเอิญ” เป็นคำที่เราใช้กันในเมื่อยังหาเหตุผลไม่ได้เท่านั้น เพียงเราเข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรม เราจะรู้ได้เลยว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญต้องมากเหตุถึงจะเกิดผลขึ้นมาได้


เพราะไม่เคยทำทาน ชาตินี้จึงเกิดมายากจนไม่มีโชค

เพราะเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำร้ายทำลายผู้อื่น ชาตินี้จึงเกิดมาพิกลพิการ

เพราะเคยรักษาศีล ถวายดอกไม้ เครื่องหอม สิ่งสักการบูชาอยู่เสมอ
ถึงเกิดมารูปร่างสมบูรณ์เกิดมาสวย เกิดมาหล่อ

เพราะเคยคดโกงผู้อื่น ชาตินี้จึงถูกคนอื่นเอาเปรียบเป็นการเอาคืน

เพราะเคยสร้างพระพุทธรูปทองคำ หมั่นทำทานไม่เคยเว้น จึงเกิดมามีทรัพย์สมบัติ หาเงินได้ง่ายและร่ำรวยได้ ฯลฯ เรื่องเหล่านี้มีที่มาและที่ไปชัดเจน แต่คนเรานั้นไม่ได้ทำกรรมดีอย่างเดียวหรือทำกรรมชั่วอย่างเดียว มันผสมปนเปกันไป ชีวิตของคนทุกคนจึงมีทั้งสุขและทุกข์คลุกเคล้ากันไปด้วย

ถ้ากรรมดีหรือกรรมชั่วไหนมีกำลังมากกว่า ก็จะส่งผลเร็วกว่า เหมือนสิ่งของ 2 อย่างถ้าเราเอาไปยืนบนดาดฟ้าแล้วปล่อยสิ่งของให้ร่วงลงมายังพื้นดินพร้อมกัน  สิ่งใดที่หนักกว่าก็ย่อมถึงพื้นเร็วกว่า เป็นกฎธรรมชาติ และกฎแห่งกรรมเป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติที่ยังมีอีกหลายกฎเช่น กฎของพืช กฎของอุตุนิยม ฯลฯ

ทางพระพุทธศาสนาสอนว่า กรรม คือ การกระทำ ซึ่งผู้ใดสร้างกรรมอะไรไว้ในชาติก่อน กรรมจะเป็นผู้จัดสรร หรือกรรมลิขิตให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ เกิดในฐานะ ในรูปแบบนั้นๆ ได้รับการถ่ายทอดทางกายดีหรือเลว ได้ประสบสิ่งแวดล้อมที่ดีหรือเลว แล้วแต่กรรมนำไป

ไม่ใช่พระเจ้าสร้าง ทุกคนสร้างตัวเองด้วยการกระทำของตน

ในกรณีเช่นนี้ เมื่อเราได้เกิดเป็นคนแล้ว เมื่อเกิดสิ่งไม่ดีกับชีวิต เราก็ไม่ควรไปโทษคนโน้นคนนี้ว่าสร้างเราไม่ดี โทษสิ่งอื่นเรื่อยเปื่อยแต่ไม่โทษตัวเองเลย

ผิดกับคนที่เข้าใจในเรื่องของกรรม เรื่องของความจริงแท้ ก็จะเร่งสร้างตัวสร้างอนาคต สร้างชะตาชีวิตของเรา ใหม่ในชาตินี้ด้วยการทำดี อบรมให้เกิดอุปนิสัยใจคอที่ดีงามได้ตามประสงค์อาจมีผู้แย้ง จะให้เห็นด้วยตาตามเคยว่า กรรมรูปร่างเป็นอย่างไร จึงจัดสรรได้ และติดตามคนได้

เรื่องของกรรมและกฎแห่งกรรมนี้ ก็เหมือนอย่างที่บอกว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธนั้นมีการบันทึกไว้พระไตรปิฎกมากมายเป็นเรื่องที่มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าและมีการบันทึกไว้ตั้งแต่ครั้งที่พระองค์ยังไม่ปรินิพพาน โดยมีพระอานนท์เป็นประธาน เพราะพระพุทธองค์ทราบดีว่าจะมีคนมากมายในยุคหลัง ที่ต้องมีการโต้แย้ง ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามจึงได้มีการบันทึกไว้ เพื่อกันข้อครหาและข้อโต้แย้งต่างๆ


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-4-15 18:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แต่ท่านที่นับถือศาสนาพุทธ ขอบอกไว้ด้วยความยินดีว่า ทุกเรื่องที่พระพุทธองค์สั่งสอนนั้นคือ เรื่องจริง ในสิ่งที่เป็นจริงนั้นไม่มีใครผู้ใดในโลกนี้จะบิดเบือนได้ ท่านพุทธทาสภิกขุ พระอริยสงฆ์และเป็นปราชญ์คนสำคัญของพระพุทธศาสนาบ้านเรายังเคยกล่าวไว้ว่า

“พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ มีระบบเป็นวิทยาศาสตร์มีวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์แต่เป็นทางจิตใจ ไม่ใช่ทางวัตถุ ฉะนั้น จึงเป็นยอดวิทยาศาสตร์สูงสุด เหมือนวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเป็นยอดนักวิทยาศาสตร์ทางฝ่ายจิตใจ”

ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาวิเศษที่สุดของมนุษยชาติ ที่ใครก็ตามได้ทดลอง ได้ปฏิบัติพิสูจน์จะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นความรู้เฉพาะตนทั้งการทำทาน รักษาศีล เจริญจิตภาวนา ที่ศัพท์ทางพระเรียกว่า“ปัจจัตตัง” นั่นแหละ

และเชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่าน คงจะมีประสบการณ์เรื่องบุญและกรรมมาพอสมควรแล้วในชีวิตที่ผ่านมา ขอให้ลองนั่งนิ่งๆ คิดย้อนกลับไปพิจารณาถึงชีวิตที่ผ่านมาก็ได้

และยิ่งถ้ามีสิ่งดีๆ ที่มากจากการปฏิบัติ การรู้แจ้งของพระพุทธองค์ที่ทรงสั่งสอนและเป็นทางลัดแห่งชีวิต ทำไมเราถึงจะปฏิเสธ

ทำไมเราต้องไปเกิดแล้วตายอีกกี่ล้านชาติถึงจะรู้ความจริงที่พระพุทธองค์ตรัสสอนสั่งเสียที!!!

และเราทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นคนในชาตินี้ ต้องมีบุญเก่าติดตัวอยู่พอสมควร เป็นต้นทุนสำคัญเพราะไม่เช่นนั้น ก็คงไม่ได้เกิดมาเป็นคน เพราะถ้าบุญเก่าไม่พอ ป่านนี้ก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นโอปปาติกะ (เป็นการเกิดที่ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยแต่อดีตกรรมอย่างเดียว เกิดแล้วก็สมบูรณ์เต็มตัว ไม่เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เหมือนสัตว์โลกทั่วไป เวลาตายก็หายวับไปไม่มีซากร่างเหลือไว้เหมือนคนหรือสัตว์ ซึ่งได้แก่เทวดา พรหมสัตว์นรกเปรตอสุรกาย และมนุษย์สมัยต้นกัลป์)

หรือยังคงเป็นวิญญาณที่เร่ร่อนรออยู่ในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง อาจจะยังต้องอยู่ในขุมนรกใดขุมนรกหนึ่งชดใช้กรรมชั่วที่ทำมาแล้วและคงยังไม่ได้มีโอกาสเกิดมาเป็นคนเพราะบุญนั้นไม่พอที่จะส่งมาเกิดได้

การได้เกิดเป็นมนุษย์จึงเป็นการยาก ก็เพราะว่า “สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม” นี้เป็นกฎเกณฑ์ตามธรรมชาติของกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริง ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ เพราะเหตุนี้ ผู้ที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น จึงต้องเป็นผู้ประกอบกรรมดี ทางกาย วาจา และใจ พอให้กรรมดีนั้นหนุนนำส่งให้ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์

พระพุทธองค์ตรัสไว้ในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ว่า

“สัตว์ที่จุติจากมนุษย์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรกก็เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นเปรตอสุรกาย มีมากกว่า

สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดเป็นเทวดามีน้อยสัตว์ที่จุติจากเทวดากลับมาเกิดเป็นเทวดามีน้อยสัตว์ที่จุติจากเทวดาไปเกิดในนรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นเปรตอสุรกาย มีมากกว่า สัตว์ที่จุติจากเทวดากลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อยสัตว์ที่จุติจากเทวดาไปเกิดในนรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นเปรตอสุรกาย มีมากกว่า”

ดังนั้นชาตินี้ได้เกิดมาเป็นคนนั้นก็นับว่าเป็นการดีที่สุดแล้ว เพราะมีโอกาสมาสร้างบุญบารมีต่อ แม้แต่เทวดาที่อยู่บนสรวงสวรรค์ท่านยังอยากจะเกิดมาเป็นคนยังยาก ดังนั้นเราต้องภูมิใจว่าบุญเก่าเราดีและมีพอถึงได้เกิดมาเป็นคนใน ชาตินี้ก็ดีอยู่แล้ว

จงพึงพอใจในสิ่งที่มีและทำในสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด

ยิ่งเกิดมามีอวัยวะสมประกอบแล้ว ยิ่งมีบุญมากขึ้นไปอีก ได้เกิดมาอยู่ในครอบครัวที่ดี มีสติปัญญาที่เล่าเรียนหนังสือได้ มีอาชีพที่สุจริตแม้ว่าวันนี้เรายังไม่รวย แต่ไม่ใช่ว่าเราจะร่ำรวยขึ้นมาไม่ได้

เพราะนอกจากบุญเก่าแล้วที่ส่งให้เรามาเกิดแล้ว และผลักดันให้เรารวยเร็วแล้ว ยังมีบุญใหม่ที่เราทำได้ในชาตินี้ ที่เราต้องเรียนรู้และทำให้เกิดผลมากที่สุด

ที่จะเป็นแรงสำคัญอีกแรงหนึ่งที่จะทำให้เรามีเงินทอง มีสุขภาพที่ดี มีเกียรติมีศักดิ์ศรีในความเป็นคน เป็นที่ยอมรับในสังคมได้ แต่กรรมดีแบบไหนที่จะทำให้เราเกิดบุญใหม่ ที่จะนำมาใช้ส่งผลแบบทันตาเห็นในชาตินี้  ก็ต้องเรียนรู้และพิจารณา พยายามทำให้ดี ทำให้ถูกต้องเป็นเสบียงบุญไปตลอดชีวิต

แต่การที่จะทำให้บุญนั้นส่งผลได้อย่างเต็มที่ เราต้องควรจะรู้ถึงอุปสรรคกรรมที่จะคอยถ่วงหรือเหนี่ยวรั้งคนไม่ให้ไปสู่ความเจริญได้

เปรียบเหมือนเวลาเราเดินทาง พบขอนไม้ล้ม มีกองไม้เศษไม้ระเกะระกะขวางทางอยู่เต็มไปหมด เราต้องเอาขอนไม้พวกนี้ออกจากเส้นทางที่เราจะไปเสียก่อนถึงจะไปถึงจุดหมายปลายทางทางนั้นได้

อุปมาเหมือนกับเราทำอาหาร เมื่อเราจะประกอบอาหารใดก็ตาม เราต้องเอาสิ่งสกปรก ใบผักที่เน่าเสีย ที่มีแมลงกัดกินล้างคราบขี้โลนขี้ดิน ล้างเนื้อสัตว์ให้สะอาดไม่ให้มีสิ่งปนเปื้อน อาหารที่ปราศจากเชื้อโรคเหล่านี้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพอย่างเต็มที่ เมื่อเรากินอาหารนี้เข้าไป

ตอนนี้เรามารู้จักอุปสรรคกรรมที่จะมาขวางทางให้เราไม่ร่ำรวยกันก่อน เพื่อที่จะได้รับรู้เพื่อนำสู่การลด ละ เลิกเสีย เพื่อเปิดทางให้บุญนั้นส่งผลเต็มที่กันก่อน เพื่อที่จะเดินทางไปรู้ถึงกรรมที่ทำให้รวยได้ในชาตินี้ได้จริง

จากหนังสือเรื่อง เปิดบุญ เปลี่ยนรหัสกรรม โดย ธ.ธรรมรักษ์ และทศ คณนาพร

https://torthammarak.wordpress.com
ขอบคุณครับ
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-5-6 16:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แต่การที่จะทำให้บุญนั้นส่งผลได้อย่างเต็มที่

เราต้องควรจะรู้ถึงอุปสรรคกรรม

ที่จะคอยถ่วงหรือเหนี่ยวรั้งคนไม่ให้ไปสู่ความเจริญได้
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-5-6 16:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้