ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2195
ตอบกลับ: 8
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

คนแขวนวัตถุมงคล

[คัดลอกลิงก์]
ทำไมคนแขวนวัตถุมงคล

คน เราแขวนหรือใช้วัตุมงคล เครื่องรางของขลัง ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน 4 ประการ

1. เป็นเครื่องประดับ
คนประเภทนี้จะไม่สนใจนับถือทาง ศาสนา ไม่เชื่อทางด้านความขลัง
หรือความศักดิ์สิทธิ์ แต่แขวนเพื่อความสวยงาม การแสดงฐานะ เช่น
แขวนพระทองคำเลี่ยมกรอบเพชร พวกนี้มักจะไม่สนใจว่าของที่แขวนดีหรือไม่
แท้จริงหรือไม่ ขอให้คนอื่นคิดว่าเป็นของดี ของแพงก็แล้วกัน

2. แสดงความเป็นพวก
เพื่อ ให้ผู้อื่นเห็นว่าตัวเองนี่เป็นชาวพุทธนะ เป็นชาวคริสต์นะ แต่จริงๆ
แล้ว ก็ไม่ได้นับถืออะไรเท่าไรนัก แต่อาจจะเอื้อผลประโยชน์ในการอยู่ร่วมกันทางด้านการงาน เป็นต้น

3. แสดงความนับถือ
พวกนี้จะแขวนเพราะความนับถือในสิ่งที่แขวนไม่ว่าจะเป็น พระพุทธ
หรือพระอรหันต์ หรือพระสงฆ์ พวกนี้จะแขวนเพราะความนับถือจริงๆ ในศาสนา คำสั่งสอน หรือพระองค์นั้น พวกนี้จะแขวนเป็นศิริมงคล
ไม่ค่อย เชื่อทางด้านความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์มากนักคือมีก็ดีไม่มีก็ไม่สนใจ

4. ต้องการบางอย่าง
วัตุมงคล /เครื่องราง /ของขลัง ที่ดีจะต้องมีความขลัง /ความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายด้าน
บุคคลประเภทสุด ท้ายนี้จะแขวนจะใช้วัตุมลคลในการป้องกันตัว นำมาซึ่งโชคลาภ มีเสน่ห์ต่อผู้อื่น อยู่ยงคงกะพัน เป็นต้น พวกนี้ไม่เพียงแต่มีความนับถือในวัตถุมงคลนั้น แต่ยังหวังที่จะได้สิ่งตอนแทน จากวัตถุมงคลนั้นด้วย น่าเสียดายที่คนกว่า 99 เปอร์เซนต์ที่หวังพึ่งความศักดิ์สิทธิ์นี้จะต้องผิดหวัง เพราะเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าแขวนพระแล้วต้องโชคดี ต้องปลอดภัย ต้องกันผี แต่ จริงๆ แล้วมีคนน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะรู้ว่าวัตถุมงคลนั้นดีหรือไม่ ถ้าดีจะดีทางใดบ้าง แม้กระทั่งอาจารย์ที่ปลุกเสกก็ไม่แน่ว่าจะรู้ เพราะคาถาอาคมพลังจริงที่เสกลงไปแล้วก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จแค่ไหน แรงแค่ไหนหรือจะเสื่อมแค่ไหน

ถ้าจะให้ประเมินก็น่าจะมีเพียงคนหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่พอจะหยั่งรู้ได้บ้างว่า วัตถุมงคลใดมีความศักดิ์สิทธิ์ ส่วนผู้ที่จะแยกแยะว่ามีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านใดบาง อาจจะมีเพียงแค่หนึ่งในแสนคนเท่านั้น ความไม่รู้นี้เวลาเกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมาจะทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อวัต ุมงคลนั้น จนกระทั่งอาจจะเสื่อมศรัทธาต่อศาสนาไปด้วย

ความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคล

วัตถุมงคลจะมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวได้ 4 ทาง

1. มีอยู่ในตัวเอง
วัตถุ ที่พบเห็นในธรรมชาติบางอย่างมีความขลังในตัวเองอยู่บ้างไม่มากก็น้อย อาทิเช่น หยกช่วยให้จิตใจสงบ
งาช่วยกันผีกันคุณไสยแก้พิษ กะลา ตาเดียวกันผี กันคุณไสย โอปอลกัน คุณไสย/คงกะพัน ว่านหลายชนิดที่มีความ ดีเด่นทางมหานิยมหรือคงกะพัน เป็นต้น

2. โดยการอัญเชิญมหาเทพ /เทพ
เหรียญ/รูป หล่อ/รูป ของมหาเทพ เช่น พระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม พระพิฆเณศวร์ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่กาลี เป็นต้น ของเทพเช่น เจ้าแม่กวนอิม พระราหู พระมหากษัตริย์ในอดีตเป็นต้น สามารถทำให้เกิด ความศักดิ์สิทธิ์ได้โดยคนบางคน โดยการอัญเชิญมหาเทพหรือเทพองค์นั้นๆ ลงมาประทับ/ผ่านญาณ ทำให้มีความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านคุ้มครองหรือและอื่นๆ ความแรงของความศักดิ์สิทธิ์นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถ และพรสวรรค์อันมีมาแต่กำเนิดของผู้อัญเชิญมากกว่าพิธีการอย่างที่คนส่วนมาก เข้าใจ ในบางกรณีอาจจะ เชิญลงสิ่งอื่น เช่น น้ำ ผลไม้ ดอกไม้ เพื่อให้ผู้นับถือนำไปบูชา ดื่ม ทาน เป็นศิริมงคล หรือรักษาโรคก็ได้ ข้อควรระวังว่าวัตถุมงคลนั้นทำจากสิ่งของที่ไม่บริสุทธิ์หรือผิดรูปแบบก็จะ อัญเชิญให้สำเร็จได้ยาก

3. โดยการปลุกเสกตรง
วิธีนี้ผู้มีวิชา จะปลุกเสกความขลังลงไปด้วยการจับวัตถุมงคลไว้ในมือกล่าวคาถาอาคม (ออกเสียง) แล้วเป่าไปที่วัตถุมงคลที่จะปลุกเสก วัตุมงคลนี้มักจะทำจำนวนไม่มากนัก อาจจะเพียงอุ้งมือเดียวหรือ ไม่เกิน 1ลัง/กล่อง
วิธีนี้ปลุกง่ายและ ค่อนข้างจะสำเร็จแน่นอน โดยเฉพาะถ้าผู้ปลุกเสกมีพรสวรรค์มาแต่กำเนิด (คนเราแทบทุกคนจะสามารทำได้ไม่มากก็น้อย)

4. ปลุกเสกโดยใช้พลังจิต
ใน ขั้นนี้ผู้ปลุกเสกต้องฝึกสมาธิ ฝึกการถ่ายทอดคาถาอาคมหรือความคิดผ่านพลังจิต ผ่านวัตถุ เช่นกล่องแบบหลวงพ่อคูณ ผ่านสายสิญจ์ไปยังวัตถุมงคลต่างๆ (วิธีนี้ค่อนข้างยากและวุ่นวายมากกว่า มีจุดอ่อน) ผู้ปลุกเสกยิ่งมีพลังจิตแกร่งกล้ายิ่งปลุกเสกได้แรงกว่า และปลุกเสกได้ จำนวนมากกว่า (ไม่น่าจะเกิน 84,000 องค์เล็ก หรือ 1/2ลูกบาศก็เมตร) ถ้าจำนวนของที่ปลุกเสกมากเกินพลังผู้ปลุกเสกความขลังก็จะด้อยลง จนกระทั่งบางทีจะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพึ่งพา ถ้าผู้ปลุกเสกมากคน มากองค์ มากคาถา บางทีก็จะขัดกันเองเสื่อมบ้าง (ลองเอาน้ำใสมา 1 แก้ว เอา สีหยดไป 1 หยด จะเห็นว่าน้ำก็ยังใสเหมือนเดิม แต่ลองใช้น้ำแค่ช้อนเดียวแล้วเอาสีหยดไป เปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัดเจน)

ข้อเตือน ไม่มีวัตถุมงคลใดที่จะมีความขลังเหมือนกันเต็มร้อย จะมีความแตก ต่างอันเกิดจากส่วนของวัตถุมงคล ไม่คงที่บ้าง หรือต่างกันเพราะระยะห่าง วัตถุมงคลจากผู้ปลุกเสกในแต่ละครั้งจะต่างกันบ้าง พิมพ์ที่ต่างกันบ้าง (บางทีเอานางกวักปลุกเสกพร้อมพระเครื่องแล้วจะให้ออกเป็น โชคลาภ /ค้าขายก็ยาก) วัตถุมงคลที่สร้างมาก พิมพ์มากแบบ ทำให้ปลุกเสกไม่ตรงกับที่ควรจะเป็นเช่น ปลุกเสกทีเดียวมีทั้งของทางโชคลาภ ของทางคงกะพัน ของกันผี มีทั้งรูปเหมือนเกจิอาจารย์ มีทั้งพระพุทธ มีทั้งพระอรหันต์ จะให้ผู้ปลุกเสกพุ่งพลังต่างกันออกไปปลุกเสกยัง แต่ละประเภทไม่ได้แน่




2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-1-18 09:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความขลังและความศักดิ์สิทธิ์

        สำหรับผู้ที่ชอบวัตถุมงคลที่ดี และมีเจตนาจะใช้/บูชาวัตถุมงคลเพื่อประโยชน์แต่ตัวเอง แก่ครอบครัวและมีความเชื่อ ทางด้านนี้จึงควรจะอ่านบทความนี้ ควรศึกษาให้เข้าใจอย่างกว้างๆ เฟ้นหาเสาะหาด้วยความระมัดระวังให้ตรงกับ ความต้องการ เพื่อความสงบสุขของชีวิตและครอบครัว วัตถุมงคลแต่ละองค์จะมีความขลังแตกต่างกัน
ระดับความขลังก็แตกต่างกัน ตามวัสดุ ที่ใช้สร้าง, รูปร่างของวัตถุมงคล,คาถาที่ใช้ปลุกเสก,พรสวรรค์ของผู้ปลุกเสก และการฝึกฝนของผู้ปลุกเสก

เราพอจะแบ่งความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ออกไปเป็น 10 ประการ

1) คุ้มครอง
คือช่วยให้เราปลอดภัยจากภยันอันตรายต่างๆ
ช่วยให้เรารอดออกมาได้เวลา คับขันถือเป็นสุดยอดความขลัง
วัตถุมงคล ที่จะมีความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านนี้จะพบใน

ก) เหรียญ/ของบูชาที่เป็นรูปองค์เทพ อาทิเช่น พระศิวะ พระนารายณ์
หลวงปู่ พิฆเณศวร์ เจ้าแม่กวนอิม พระมหากษัตริย์
และต้องอัญเชิญท่านลงมาผ่านญาณ ในวัตถุนั้น
ให้สำเร็จจึงจะมีความศักดิ์สิทธิ์ด้านคุ้มครอง

ข) ของของหลวงพ่อที่มรณะภาพไปแล้วปลุกเสก และต้องเก่งทางญาณมากๆ ด้วย เช่น สมเด็จพุฒาจารย์โต หลวงพ่อเงิน ฯลฯ เมื่อท่านมรณะภาพแล้วจึงกลับมา เชื่อมญาณกับของเก่าท่าน

ค) พระเครื่อง /พระบูชาโบราณบางองค์ (พระเครื่องคือพระที่มีขนาดติดตัวได้ /แขวนกับสร้อยได้) ควรระวังคือ ด้านคุ้มครองไม่คุ้มกันทางด้านภูติผีปีศาจหรือคุณไสย แบบนี้จะมีการอัญเชิญเทพลงมา อาทิเช่น หลวงพ่อวัดบ้านแหลม พระบูชาสมัยสุโขทัย เป็นต้น

2) แคล้วคลาด
หมายถึง วัตถุมงคลที่เราพกพานั้นจะให้เราแคล้วคลาด
/คลาดเคลื่อนจากอันตรายที่ เกิดขึ้น เช่น รถผู้อื่นเฉี่ยวเราหรือรถเราเฉี่ยวผู้อื่นแต่ไม่โดน มีคนยิงเราแต่ลูกปืนไม่โดน อันตรายที่เกิดขึ้นจะเกิดก่อนหน้าหรือ หลังเราไม่นาน มีบางคนซื้อตั๋วเครื่องบินแต่ขึ้นเครื่องบินไม่ทัน แล้วเครื่องบินนั้นตก เป็นต้น

3) คงกะพัน
คนส่วนมากจะชอบและอยากได้ เพราะเป็นสิ่งที่เห็นผลง่าย
พิสูจน์ง่าย ฉะนั้น หลวงพ่อ หรือวัตถุมงคลที่มีชื่อมักจะเป็นด้านคงกะพันเสียมาก คงกะพันหมายถึงอาวุธต่างๆ ไม่สามารทำอันตรายให้เลือดตก ยางออกได้ แต่ที่จะคงกะพัน 100 เปอร์เซนต์ นั้นหายากมาก
ของดีสุดยอดก็มักจะยัง เกิดรอยขีดข่วนเลือดออกบ้าง โดยเฉพาะตามมือ แขน ขา มีหลายวัดที่ชอบลองมีด เช่น วัดบ้านเก่า อ.พานทอง /วัด้ำแฝด อ.ท่าม่วง เป็นต้น

4) มหาอุด
เป็นสิ่งที่พวกเล่น เครื่องรางของขลังอยากได้กันที่สุด คือ "ของ" ที่ปืนยิงไม่ออก หรือสามารคุ้มครอง ทวารทั้งเก้าได้ แม้กระทั่งพวกฝรั่งก็เสาะหากัน ของที่ว่าดีทางมหาอุดนี้กลับพิสูจน์ได้ยากกว่าที่คิดโดยไม่ทราบเหตุผล บางทีลองปืนครั้งนี้ยิงไม่ออก พออีกทีลองกลับ ยิงออก
(โดยเฉพาะเวลาคิด ขาย) ที่ร่ำลือกันมาก คือ เหล็กไหลแท้ งั่งตาแดงเกศคด เหรียญพระครูอินทนน /วัดบ้านก้อง เหรียญนั่งพานเงินหลวงเตี่ย/วัดประชุมคงคา ของหลวงพ่อฤทธิ์/วัดชลประทานราชดำริ
ถึงแม้ว่าทางเราจะได้ยินจากผู้ที่ น่าเชื่อถือมาก แต่ก็ไม่ได้ลองเอง
เพราะไม่อยากจะลบหลู่ "ของ" มหาอุดจะรวมไปถึงการไม่ให้ผู้อื่นด่าว่าเรา

5) กันภูตผีปีศาจ
คนเรามักจะเข้าใจกันผิดๆ ว่าพระจะป้องกันผีได้จริงๆ
แล้วของที่ป้องกันผีมีน้อยกว่าที่คิดกันมาก มีเพียงไม่กี่องค์เท่านั้นที่เคยผ่านมือทางเรา ของที่ดีจะกันผีเข้าตัว /ไล่ผีออกจากตัว แต่ที่จะกันไม่ให้รบกวน 100 เปอร์เซ็นต์ เลยยากมาก ของกันผีไม่ได้หมายความว่ากันคุณไสย

6) กันคุณไสย /กันของ /กันผี
ของประเภทนี้กลับมีมากกว่า ของที่กันคุณไสยจะกันผีด้วย ถ้าจะใช้ต้องเป็นสิ่งที่ ปลุกเสกดีมากเกือบสุดยอดหรือสุดยอดจะได้ป้องกันไม่ให้ถูกแบบที่เรียกว่า "ลมเพลมพัด" (คือคุณไสยที่ผู้ฝึกวิชานี้ร้อนตัวร้อนวิชาต้องปล่อยของส่งเดชออกมาก่อนที่ จะเข้าตัวเอง) และจะสามารถคุ้มตัวจากผู้ที่มีเจตนาปล่อยเข้าตัวเราโดย ตรงได้บ้างไม่มากก็น้อยขึ้นอยู่กับ ว่าคนทำมาเก่งแค่ไหน ความเห็นทางเราว่าถ้าจะคุ้มตัวให้ได้จริงๆ ต้องมีของคุ้มตัวสัก 5 อย่างต่างกัน จึงจะพอปลอดภัยสัก 99 เปอร์เซ็นต์ เช่น งาเสก กะลาตาเดียวเสก โอปอล พระเครื่องของหลายเกจิอาจารย์ทางนี้ ประคำ ตะกรุดดีๆ มีดหมอดีๆ เป็นต้น ทั้งยังต้องมีของคุ้มบ้านอีก เช่น ท้าวเวสสุวรรณ สิงห์คาบดาบ
วัว ธนู กุมารทองที่มีดิน 7 ป่าช้า ผ้ายันต์ ตะกรุด เป็นต้น การทำคุณไสยมี หลายแบบ เช่น ปล่อยวัตถุ / ตะปู /หนังควายไปเข้าตัวคนอื่น ฝังเข็ม /ตะปูที่หุ่นให้คนอื่นป่วย /ตาย ทำให้คนหลงรักกัน ทำให้ครอบครัวแตกแยก ทำเอาสมบัติทรัพย ์สินเงินทอง เป็นต้น

7) เมตตา
เป็นของที่ทำให้ผู้อื่นชอบเรา มีเมตตาต่อเรา กลับจากศัตรูเป็นมิตร
ของประเภทนี้เห็นผลยาก วัตถุมงคลส่วนใหญ่จะมีความขลังทางด้านนี้เพราะปลุกเสกง่าย

มหานิยม

เป็นส่วนขยายจากเมตตา คือให้ผู้อื่นรักใคร่ชอบพอเรา ลุ่มหลงเรา
ของประเภทนี้กลับมีพบเห็นชัดเจนกว่า ทางเมตตา อาทิเช่น ขุนแผนกรุบ้านกร่าง ขุนแผนรุ่นหลัง/วัดบ้านกร่าง นางพญาก้านมะลิกรุวัดกลาง/นครไทย ผ้ายันต์หลวงพ่อฤทธิ์ เป็นต้น

9) โชคลาภ
ถึงแม้ว่าของที่ดี ทางเมตตาอาจจะเอื้อออกมาทางให้โชคลาภ แต่แนวทางปลุกเสกกลับต่างกัน ของที่ดีทางนี้ถูกโฉลกกับผู้ใช้มักจะช่วยได้อย่างเห็นผลทันตา ถ้าไม่ถูกโฉลกก็ไม่ค่อยจะเกิดผลเสียอะไร
ความแรงของพลังจะมีผลต่อผู้ใช้ ไม่มากนักขึ้นอยู่กับการถูกโฉลกเสียมากกว่า โชคลาภจะแตกต่างกับค้าขาย ซึ่งปลุกเสกยากมากจะเกี่ยวพันการเรียกเงินเรียกทอง

10) คุณสมบัติพิเศษ
วัตถุมงคล จำนวนน้อยที่มีคุณสมบัติพิเศษพิสดาร อาทิเช่น ปัดเสนียดจากตัวจากบ้าน ขจัดพิษ แก้ยาสั่ง มีอำนาจ/ปกครองคน กันไฟ สงบจิตใจไม่ให้ใจร้อน/คิดมาก /ฟุ้งซ่าน ตกน้ำไม่จม กำบังกาย พูดจาดี
ไปไหนมาไหนดี
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-1-18 09:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วัสดุที่ใช้ทำวัตถุมงคล

        บางแห่งบางวัดค่อนข้างจะพิถีพิถันในการเลือกวัสดุที่มาใช้ทำวัตถุมงคล บางแห่งก็ไม่ บางแห่งก็บอกว่าทำแต่ไม่ทำการทำวัตุมงคลควรจะ

1)เลือกหรือ ผสมวัสดุที่มีความขลังในตัว อาทิเช่น หยก งา กะลาตาเดียว ไม้หรือว่านบางชนิด ผงพระที่เคยปลุกเสกมาแล้ว คตเหล็กไหล สะเก็ดดาว แผ่นโลหะที่จารและปลุกเสกแล้ว เป็นต้น มาเป็นส่วนผสมเพื่อให้เมื่อทำ เป็นพระ/วัตถุมงคลแล้วจะได้ปลุกเสกให้ดีง่ายขึ้น

2) สรรหาน้ำมนต์ที่ดี มาเป็นส่วนผสมของพระเนื้อผงเนื้อดิน เพื่อทำให้ของที่ทำบริสุทธิ์ขึ้น ขจัดสิ่งที่ไม่ดีที่อาจจะนำมาผสม ใช้น้ำมนต์ล้างโลหะก่อนนำมาทำวัตถุ มงคลเพื่อทำให้บริสุทธิ์ที่โรงงานทำพระบางแห่งจะเอาโลหะกองไว้ในที่ไม่ควร หรือซื้อมาจากแหล่งที่ไม่ควร

3) โลหะต่างๆ โลหะแต่ละชนิดจะปลุกเสกออกมาต่างกัน เช่น หลวงพ่อองค์หนึ่งปลุกเนื้อ เงินออกเมตตามาก ปลุกเนื้อทองแดงออกคงกะพันมาก แต่หลวงพ่อองค์ที่ 2 กลับทองแดงออกเมตตามาก
เงินออกคงกะพันมาก โดยสรุปคาถาอาคมของแต่ละหลวงพ่อจะชอบโลหะต่างกัน สมัยก่อนจึงมักใช้โลหะผสมเพื่อที่จะสามารถดึงดูดคาถาอาคมต่างๆ ของหลวงพ่อให้ได้หมด หรือให้มากทางที่สุด

4) ส่วนผสมที่ปลุกเสกแล้วไม่ควรต่ำกว่า หนึ่งส่วนในร้อยส่วนของวัตถุมงคลที่ทำ ถ้าทำพระร้อยองค์ น่าจะมีส่วนประกอบที่ปลุกเสกแล้วไม่ต่ำกว่า 1 องค์จึงจะช่วยให้ปลุกเสกได้ง่ายขึ้นดีขึ้น


วัตถุมงคลกับชีวิต

วัตถุมงคลส่วนใหญ่จะช่วยเกื้อหนุนชีวิตของผู้มีผู้นำพาไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะนับถือ /เชื่อถือ/บูชา/อาราธนา หรือไม่ก็ตาม แต่ไม่ใช่ว่าจะพลิกฟ้าพลิกดินจากยาจกให้เป็นเศรษฐีได้ ทั้งนี้จะมีปัจจัยหลายอย่างที่จะต้องสนับสนุน เช่น ดวงชะตา โฉลก บุญเก่า/บุญใหม่ กรรมเก่า/ กรรมใหม่ วาสนา บารมี สิ่งแวดล้อม เป็นต้น ไม่มีอะไรที่จะดี 100 เปอร์เซ็นต์ เด็ดขาด

1) ช่วยชีวิต
- คุ้มครองให้ปลอดภัยจากภยันอันตราย คนพาล คุณไสย ภูตผีปีศาจ
- ให้แคล้วคลาดจากอันตราย/อุบัติเหตุ เช่นแทนที่จะถูกรถชนอย่างหนัก ก็เป็นแค่เฉี่ยวเบาๆ หรือถ้าดีมากก็เฉียดไป ถ้าแคล้วคลาดอย่างห่างกันมากเราก็อาจจะไม่รู้เลย
- ปกป้องให้เราจากเจ็บตัวมากเป็นน้อย จากน้อยเป็นไม่เจ็บเลย

2)เกื้อหนุน ให้ชีวิตเราดีขึ้น ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข
มีความสงบในครอบครัว ช่วยให้ฐานะการเงินดีขึ้น จากแย่มากเป็นแย่น้อย จากแย่น้อยเป็นกลางๆ จากดีน้อยเป็นดีมาก วัตถุมงคลส่วนใหญ่ จะไม่ทำให้เกิดผลร้ายต่อเรา

3)ดวง ชะตา
เป็นที่เชื่อกันว่าคนเราเกิดมามีชะตาชีวิตลิขิตไว้แล้วว่าจะเป็น อย่างไรในอนาคต อันอาจจะเกิดจากบุญ กรรมเก่าที่สร้างไว้ในชาติจากเวลาที่เกิดมีดวงดาวต่างๆ อยู่ในตำแหน่งใด คนบางคนชอบดูหมอ หมอดูบางคนก็จะ แนะนำการแก้ดวง บางคนก็ว่าแก้ไม่ได้ ที่จริงแล้วคนเราถ้าเกิดมารู้จักทำบุญทำทานให้เหมาะสม ทำกรรมชั่วให้น้อย ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงดวงชะตาได้ ถ้าบุญเก่าเกื้อหนุนให้เราดีในชาตินี้ แต่ทำกรรมมากวันหนึ่งกรรมนั้นก็จะสนองเรา
อย่านึกว่าตอนนี้เราดีจะทำ อะไรก็ได้ อย่านึกว่าเอาเศษเงินไปทำบุญแล้วจะได้บุญ อย่านึกว่าจะทำกรรมชั่วอะไรก็ได้ พวกที่ไปลักลอบขโมยขุดพระมีใครตายดีบ้าง พวกที่โกงกินจนรวยมีใครได้ตายสบาย แม้กระทั่งเกจิอาจารย์ที่ดังๆ ท่านก็ไม่ได้อยู่สบายเพราะกรรมเก่าของท่านจึงต้องมาสร้างบุญเอาชาตินี้ คอยรับใช้ลูกศิษย์ ของดีที่เรามีถึงจะช่วยเรา บ้างแต่ก็จงรู้จักทำบุญทำทานเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อยู่รอบข้าง เวลาทำบุญ อย่าหวังบุญ เวลาทำบุญอย่าทวงบุญคุณ เวลาทำบุญอย่ามีจิตใจขุ่นหมอง

4)โฉลก หลายต่อหลายคนเชื่อว่าของที่ถูกโฉลกจะช่วยเกื้อหนุนเรา
เรื่องนี้ยิ่ง เร้นลับที่สุด ผู้เขียนถึงจะเชื่อทางนี้ แต่ไม่เชื่อว่าโฉลกของคนเราจะขึ้นอยู่กับวันเกิดหรือวัสดุที่ทำวัตถุมงคล (เช่น เนื้อดิน ไม้ โลหะ) ไม่เชื่อว่าจะขึ้นอยู่กับ พิมพ์พระว่าต้องเป็น นั่ง นอน ยืน ปิดตา มารวิชัย สมาธิ ไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดผลดีหรือผลร้ายต่อผู้ใช้ คือ

1. ทำให้จิตใจร้อนรุ่มไม่สงบ
2. ทำให้จิตใจผู้อยู่ ใกล้เคียงไม่สงบ
3. ทำให้ทะเลาะเบาะแว้ง
4. ทำให้ฟุ้งซ่าน

5. ทำให้หาเรื่องกับผู้อื่น วัตถุมงคลประเภทนี้จะเป็นทางเทพ จะเป็นพระเก่า จะเป็นพระที่ปลุกเสกโดยเกจิอาจารย์ ที่มีญาณสูง และมรณะภาพแล้ว ผู้ใช้จะต้องสังเกตเหตุการณ์เหล่านี้ให้ดี ถ้าเกิดขึ้นให้อาราธนาแขวนใหม่ ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข

ถ้าทำแล้วยังไม่ดีอาจจะลองให้คนในครอบครัวคนอื่นแขวน อาการที่เกิดขึ้นนี้มักจะเกิดจากเรา ไม่มีวาสนากับวัตถุมงคลนี้ บุญบารมีเรายังไม่ถึงซึ่งอาจจะแก้ไขได้โดย อาราธนาเก็บไว้ก่อนเร่งสร้างบุญบารมีสัก 2 - 3 เดือนแล้วค่อยลองเอามาแขวนใหม่ ฉะนั้นผู้เขียนจึงไม่เชื่อว่าพระที่มีประสบการณ์ดี (หรือเฉยๆ ) กับผู้หนึ่งจะต้องไปดีกับอีก ผู้หนึ่งเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น

5.1 ผู้เขียนมีพระองค์หนึ่งซึ่งก็ชอบมากแต่ก็ไม่ค่อยแขวน เอาไปถวายหลวงพ่อที่นับถือรูปหนึ่ง ภายในเวลาไม่ถึงปี ท่านได้เงินมาสร้างวัดจำนวนมากอย่างผิดปกติ

5.2 ผู้เขียนได้วัตถุมงคลด้านโชคลาภจากหลวงพ่อองค์นี้ก็รู้สึกเฉยๆ เอาไปให้ แม่ค้าส้มตำ ปรากฎว่าเขาถูกหวยทุกงวด ตลอด 2 ปีจนซื้อบ้านซื้อช่องได้

6) สิ่งแวดล้อม ไม่ว่าเราจะมีของดีอย่างไร มีดวงดีอย่างไร ถ้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เลวที่ไม่ดีก็ยากจะเอาตัวรอดได้ เหมือนอย่างตอนนี้เศรษฐกิจของชาติย้ำแย่ก็จะมีผลกระทบต่อทุกคน


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-1-18 09:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ของดีไม่ดี


        ความจริงเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะแยกแยะคำว่า "ดีหรือไม่ดี" "แท้หรือไม่ แท้" "เก๊หรือ ไม่เก๊" ผู้เขียนคิดถึงคำพวกนี้มาเป็นปี ๆ ก็ยังไม่รู้ จะแยกอย่างไรดี

1)ของดี อันนี้ง่ายสุด ของดีคือของที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงถูกโฉลกกับผู้ใช้ (ถ้าไม่ลองก็ไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน) ส่วนของไม่ดี แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ

1.1. ของดีแต่ไม่ถูกโฉลกกับผู้ใช้
1.2. ของที่ไม่มีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ได้ปลุกเสก
1.3. ของที่ปลุกเสกแล้วแต่มีความขลังน้อยเกินไป

2)ของแท้ คือของที่เป็นอย่างที่ควรเป็นอย่างที่บอกเล่ากัน ของที่สร้างในเวลาที่ ว่า เช่น 1,000 ปี 500 ปี 100 ปี หรือ วัน/เดือน/ปี ที่ระบุ เช่น เสาร์ 5 ปี 2536 และปลุกเสกตามที่บอกในวันเดือนปีที่บอก ส่วนจะดีหรือไม่ดีก็อีกเรื่องหนึ่ง

3)ของกึ่งแท้ ของประเภทที่น่าปวดหัวที่สุด คือ ของที่ทำมาพร้อมกันตามวันเดือนปีนั้น แต่ดันตกปลุกเสกเพราะ ความเลินเล่อ หรือขี้เกียจแล้วเอามาปล่อยรวมกับของที่ปลุกเสก ใครได้ไปก็แย่หน่อย ของที่คนแอบทำมาพร้อมกัน เหมือนกัน แล้วเอาไปแอบเข้าปลุกเสกพร้อมกับของแท้อีกด้วย แต่เอามาแอบขาย (จะว่าเก๊ก็ดันเหมือนกันซะนี่) ของที่ทำเหมือนกันแต่ทำทีหลัง เพราะทำไม่ทันหรือเจตนาทำเพิ่มเติมถ้าเอาไปปลุกเสกก็ดี (บางทีดีกว่าที่ปลุกเสกตาม พิธีเสียอีก) ถ้าไม่เอาไปปลุกเสกก็แย่อีก อันสุดท้ายที่ความจริงเป็นของแท้จริงๆ แต่หลวงพ่อท่านไม่อยากลงทุน เปลี่ยนพิมพ์ ท่านก็พิมพ์ออกมาเรื่อย ๆ แต่ความที่ต่างเวลาการทำให้เนื้อ พระต่างกัน คนบางคนหลงประเด็นไปตีเก๊ (บางคนก็เรียกเป็นพระเสริม)

4)ของ เก๊ คือของที่เจตนาลอกเลียนให้คล้ายและใกล้เคียงกับของแท้ โดยเจตนาให้ ผู้ซื้อคิดว่าเป็นของหลวงพ่อองค์นั้น องค์นี้ หรือเป็นพระเก่า แต่ของที่ต่างกันต่างพิมพ์ต่างเนื้อจะไม่ใช่ของเก๊ เพียงแต่อาจจะต่างหลวงพ่อต่างวัดต่างเวลา

- ของเก๊ที่ดี ของเก๊บางอย่างกลับเป็นของดีมาก
ยกตัวอย่างด้วยความเคารพอย่างสูง เหรียญปี 17 รุ่นเสือเผ่น ของหลวงพ่อสุด วัดกาหลง ที่เก๊บางพิมพ์ดีกว่าของแท้อีก เพราะคนสร้างๆ น้อยแล้วนิมนต์หลวงพ่อสุดไปปลุกเสก ด้วย

- ของเก๊ที่ดีแบบที่สอง
ก็ คือหลวงพ่อบางองค์บางรูปท่านไม่มีทุนจะสร้างพระเอง ท่านก็ไปซื้อพระเก๊ถูกๆ จำนวนน้อยราคาถูกมาปลุกเสกเองเพื่อแจกคนมาทำบุญวัด

ขอขอบคุณ แหล่งที่มา
Code:
http://www.budmgt.com

ขอบคุณครับ
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-2-2 07:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-6 07:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้