ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 8948
ตอบกลับ: 5
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เจดีย์ปรัมบานัน

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-7-10 09:34

ตำนาน-นิทานพื้นบ้าน เจดีย์ปรัมบานัน ยอกยาการ์ตา อินโดนีเซีย





ปรัมบานัน คือเทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเขตชวากลาง ห่างจากเมืองยอกยาการ์ตาไปทางตะวันออกประมาณ 18 กิโลเมตรตัววัดนั้นสร้างขื้นเมื่อราวปี พ.ศ. 1390 แต่หลังจากสร้างเสร็จได้ไม่นานตัววัดก็ถูกทอดทิ้งและถูกปล่อยให้ทรุดโทรมตามกาลเวลา จนเมื่อถึงปี


พ.ศ.2461(ค.ศ. 1918) จึงได้มีการเริ่มบูรณะวัดขึ้นมาการบูรณะของสิ่งก่อสร้างหลักสิ้นสุดลงเมื่อปี
พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) ในปัจจุบันพรัมบานันถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกและนับได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ตัววัดโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและความใหญ่โตของปรางค์ซึ่งมีความสูงถึง 47เมตร ตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับเจดีย์ปรัมบานันกล่าวไว้ดังนี้



กาล ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ แคว้นปรัมบานันบนเกาะชวามีอาณาจักรอินดูที่มีอำนาจอยู่2แห่งคือ อาณาจักรเปิงกิงและอาณาจักรโบโกอาณาจักรเปิงกิงเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรื่อง และมีความอุดมสมบูรณ์ปกครองโดยกษัตริย์ที่ฉลาดหลักแหลมผู้มีนามว่าปราบู ดามาร์ โมโย ซึ่งมีโอรสเพียงองค์เดียวนามว่า เจ้าชาย ระเด่น บันดุง บอนโดโวโซส่วนอาณาจักรโบโกซึ่งเป็นเมืองขึ้นของณาจักรเปิงกิงปกครองโดยพระเจ้าปราบู โบโก ผู้ยะโสโอหังและโหดเหี้ยมดังยักษ์มารชอบกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหารพระเจ้าปรา บู โบโกมีราชธิดาผู้มีความงดงามราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์นามว่าเจ้าหญิง โลโร จองกรัง




พระ เจ้าปราบู โบโกมีความต้องการที่จะรุกรานและยึดอาณาจักรเปิงกิงไว้ในอำนาจ จึงสมคบคิดกับอำมาตย์คู่ใจผู้โหดเหี้ยมไม่ต่างกันชื่อว่าอำมาตย์กูโปโล ทำการเกณฑ์ชายหนุ่มมาฝึกให้เป็นไพร่พลทหารและระดมทรัพย์สินของชาวบ้านเพื่อ ใช้ในการทำสงคราม

เมื่อ เตรียมการจนพร้อมสรรพแล้วจึงยกทัพเข้ารุกรานอาณาจักรเปิงกิงสงครามที่เกิด ขึ้นสร้างความเสียหายแก่ทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมากโดยเฉพาะชาวเมืองเปิงกิง ต้องทนทุกข์ทรมารกับความยากจนและหิวโหย
เมื่อพระเจ้าดามาร์ โมโย รับรู้ถึงความลำบากของประชาชนจึงมีรับสั่งให้เจ้าชายระเด่นบันดุงยกทัพเข้า ต่อสู้กับพระเจ้าปราบูโบโกด้วยเหตุที่เจ้าชายระเด่นบันดุงเป็นผู้มีฤทธิ์เดช จึงสามารถสังหารพระเจ้าปราบูโบโกลงได้
อำมาตย์กูโปโลเมื่อเห็นกษัตริย์ ของตนถูกสังหารจึงถอยทัพกลับเข้าเมือง พร้อมทั้งแจ้งกับเจ้าหญิงโลโรว่าพระราชบิดาของนางได้ถูกสังหารโดยเจ้าชาย ระเด่นบันดุง ทำให้เจ้าหญิงโลโรเสียใจเป็นอย่างมาก



หลังจากมีชัยชนะต่อพระเจ้าปราบูโบโก เจ้าชายระเด่นบันดุง ก็ยกทัพติดตามอำมาตย์กูโปโลไปจนถึงในเมืองเมื่อพบเห็นเจ้าหญิง โลโรผู้งดงามราวกับนางฟ้าก็เกิดหลงรักอยากจะรับนางเป็นภรรยาแต่เจ้าหญิงโลโร ไม่ต้องการเนื่องจากเจ้าชายระเด่น บันดุงเป็นผู้ที่สังหารบิดาของตน จึงกำหนดเงื่อนไขขึ้นมาสองข้อ หากเจ้าชายสามารถทำตามเงื่อนไขนางจึงจะยอมแต่งงานด้วยเงื่อนไขข้อแรกคือให้ ขุดสระน้ำขนาดใหญ่ภายหลังได้ชื่อว่า ซูมูร์ จาลาตุนดา (sumur Jalatunda)เงื่อนไขที่สองคือ จะต้องสร้างเจดีย์ 1,000 องค์ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งคืนเจ้าชายระเด่น บันดุงก็รับเงื่อนไขทั้งสองของนาง




เจ้าชายระเด่นบันดุง จึงสั่งการให้สร้างสระน้ำจนเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วจึงเชิญให้เจ้าหญิง โลโรให้มาตรวจดู เมื่อมาถึงสระน้ำเจ้าหญิงโลโรก็ออกอุบายให้เจ้าชายลงไปว่ายน้ำให้ดูแล้วแอบ สั่งให้อำมาตย์กูโปโลนำก้อนหินมาถมเพื่อฝังร่างเจ้าชายระเด่นบันดุงไว้ใต้ สระน้ำแต่เจ้าชายระเด่นบันดุง สามารถร่ายคาถาป้องกันตนเองและหนีออกมาจากสระได้ได้อย่างปลอดภัยแล้วกลับไป หาเจ้าหญิงโลโรด้วยความโกรธแค้นแต่เมื่อได้เห็นใบหน้าอันงดงามของเจ้าหญิงก็ ทำให้คลายความโกรธลงเจ้าหญิงโลโรจึงทวงสัญญาข้อที่สองที่ให้เจ้าชายระเด่น บันดุงสร้างเจดีย์1,000องค์ให้เสร็จภายในคืนเดียวเจ้าชายจึงร่ายมนต์เรียก เหล่าภูติผีปีศาจให้มาช่วยสร้างเจดีย์ให้ทันเวลาแต่เจ้าหญิงโลโรไม่ต้องการ แต่งงานกับเจ้าชายระเด่นบันดุงจึงสั่งให้นางกำนัลทั้งหลายนำฟางข้าวไปเผาทาง ทิศตะวันออกเพื่อให้ท้องฟ้ามีสีแดงสว่างเหมือนกับเวลารุ่งเช้าเพื่อทำให้ไก่ ขันเหล่าภูติผีปีศาจปีศาจเมื่อเห็นว่าถึงเวลารุ่งเช้าแล้วจึงหยุดการทำงาน แล้วกลับไปรายงานเจ้าชายระเด่นบันดุงว่าไม่สามารถสร้างเจดีย์1,000องค์ให้ เสร็จทันเวลาได้แต่ได้สร้างเสร็จไปแล้ว 999 องค์ยังขาดแค่เพียงองค์เดียวเท่านั้น
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-10 09:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เจ้าชายระเด่นบันดุง   

  รับรู้ด้วยญาณได้ว่าที่จริงแล้วยังไม่ครบกำหนดเวลาหนึ่งคืน แต่เป็นเพราะอุบายของเจ้าหญิงโลโรแต่ก็เรียกให้เจ้าหญิงโลโรมาตรวจนับเจดีย์ ทั้งหมด


เจ้าหญิงจึงแจ้งว่าเจดีย์ที่สร้างขึ้นไม่ครบตามสัญญาเพราะมีเพียง 999 องค์ดังนั้นนางจึงไม่ต้องแต่งงานด้วย



เจ้าชายระเด่นบันดุงรู้สึกโกรธมากที่ เจ้าหญิงโลโรไม่ยอมรับการขอแต่งงานของ แถมยังออกอุบายเพื่อทำร้ายและกลั่นแกล้งต่างๆเพื่อไม่ให้เจ้าชายทำตาม เงื่อนไขได้




จึงประกาศวาจาสิทธิ์ว่า..


“โลโร จองกรัง เอ๋ย! เจดีย์ที่ขาดอยู่อีก1องค์มันก็คือตัวเจ้าเองอย่างไรเล่า”


เมื่อ สิ้นคำวาจาสิทธิ์ร่างของเจ้าหญิงโลโร จองกรัง ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นรูปปันหิน อีกทั้งบรรดานางกำนัลก็ต้องคำสาปให้เป็นสาวแก่ดูแลเจดีย์ไปจนสิ้นชีวิต


*ด้วยเหตุนี้คนในยุดก่อนจึงมีความเชื่อว่า หากใครพาคู่รักมาที่เจดีย์ปรัมบานันแห่งนี้ ความรักของทั้งคู่ก็จะสิ้นสุดลง


ที่มา  http://webboard.yenta4.com
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-10 09:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รูปปั้น โลโร จองกรัง


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-10 09:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-7-10 09:51





เทวาลัยที่แสดงให้เห็นถึงศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนาทำให้มนุษย์สามารถสร้างศิลปกรรมที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ (เมื่อมนุษย์ศรัทธาในตัวเองและเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วโชคชะตาจะทำอะไรได้ ) ศรัทธานั้นเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้มนุษย์สร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
พราหมณ์บานัน นครหลวงอาณาจักรชวาโบราณ ประวัติการสร้างเทวสถานแห่งนี้มีว่า แผ่นดินชวาโบราณมีเมืองใหญ่อยู่ 4 เมือง เมืองกาหลังนั้นมีพระเจ้าแผ่นดินที่มีอานุภาพมากมีนามว่า เทวกสุมา ได้ส่งลูกไปเรียนศาสนาฮินดูที่อินเดีย เมื่อกลับมาได้เจ้าหญิงอินเดียเป็นชายา กลับมายังชวาพร้อมด้วยทหารและช่างที่มีฝีมือทางสลักหินจำนวนมาก ทำให้ดินแดนชวานั้นรุ่งเรืองด้วยศาสนาฮินดู
ลายจำหลักทีมีเอกลักษณ์เฉพาะของพรัมบะนัน คือเป็นรูปสิงห์อยู่ในซุ้ม มีต้นกัลปพฤกษ์อยู่สองข้าง โคนต้นกัลปพฤกษ์มีรูปกินรีและกินนร เหนือซุ้มเป็นลายพันธ์พฤกษา มีแม่ลายขมวดเข้าหากันตรงกลาง ลายนี้อาจเป็นต้นเค้าของหน้ากาลในยุคต่อมา (วิบูลย์ ลี้สุวรรณ) ต้นกัลพฤกษ์บางแห่งมีรูปสัตว์ต่างๆเช่น ปลา ช้าง กวาง ลิง นกยูง ผนังรอบลานทักษิณชั้นบนแบ่งออกเป็นซุ้มๆ แต่ละซุ้มมีรูปเทวดาหรือรูปเทพธิดาสามองค์ ระหว่างซุ้มมีภาพจำหลัก 62 ภาพ เป็นรูปคนเริงระบำในหมู่ไม้ ภาพเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดีย และยังมีภาพจำหลักเรื่องรามยณะหรือรามเกียรติ์ยุคเก่าจากคัมภีร์หนึ่งของอินเดียที่สูญหายไปแล้วจำนวน 24 รูป
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-10 09:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รอบฐานชั้นบนมีภาพพระอิศวรหรือพระศิวะ 24 ภาพ แสดงถึงเทพผู้รักษาทิศ 17 องค์ เรียงจากทิศตะวันออกไปทางทิศใต้ ตะวันตก และเหนือ ทิศละองค์บ้าง สององค์บ้าง ส่วนเทวาลัยพระนารายณ์ และเทวาลัยพระพรหม นั้นมีรูปแบบคล้ายคลึงกับเทวาลัยพระศิวะคือ ผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หลังคาประดับด้วยรูปอาคารจำลอง รูปร่างคล้ายเจดีย์ แต่ลายเส้นแบ่งออกเป็นซี่ๆคล้าย อมลกะ หลังคามีเส้นรอบนอกเป็นรูปโค้งสูงตามแบบศิลปะอินเดียเหนือ เทวสถานประธานทั้งสามองค์มีลักษณะโดยรวมคล้ายคลึงกัน แต่เทวาลัยพระพรหมและพระนารายณ์มีขนาดเล็กกว่า และการตกแต่งก็มีภาพจำหลักเช่นเดียวกัน แต่เนื้อเรื่องต่างกันไป กลุ่มเทวาลัยพรัมบานัน เทวสถานทั้งหมดตั้งอยู่ในกำแพงสีเหลี่ยมจัตุรัส 3 ชั้น แต่ละชั้นมีประตูทุกทิศ ลานชั้นในสุดมีพื้นที่ 110 ตารางเมตร ชั้นกลาง 222 ตารางเมตร ชั้นนอก กว้าง ยาว ด้านละ 390 ตารางเมตร ชั้นในและชั้นกลางมีศูนย์กลางร่วมกันและอยู่ค่อนไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกำแพงชั้นนอก บริเวณศูนย์กลางประกอบด้วยเทวาลัยขนาดใหญ่สามองค์ องค์กลางเป็นเทวาลัยของพระศิวะหรือพระอิศวร ทิศใต้เป็นเทวาลัยของพระพรหม และทิศเหนือเป็นเทวาลัยของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ตรงข้ามเทวาลัยพระศิวะมีเทวาลัยขนาดเล็กประดิษฐานรูปโคนันทิ และยังมีเทวาลัยขนาดเล็กอีกสององค์ ทั้งสามองค์หันหน้าไปทางทิศตะวันตก เทวาลัยพรัมบานันนี้สร้างขึ้นตามคติ ตรีมูรติ ในศาสนาพราห์มที่นับถือเทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 องค์ได้แก่ พระพรหมผู้สร้าง พระวิษณุผู้รักษา และพระศิวะผู้ทำลาย คตินี้เป็นรากฐานปรัชญาที่ว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้น ดำรงอยู่ แล้วดับไป เทวาลัยทั้งสามสร้างอุทิศถวายแด่เทพเจ้าทั้งสาม พรัมบานันเป็นเทวาลัยที่ยิ่งใหญ่ของศาสนาพราหมณ์ มีคความมหัศจรรย์ไม่น้อยหน้า บุโรบุโดร์ มหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนาที่อยู่ไม่ไกลกัน ประมาณว่าเริ่มสร้าง พ.ศ.1300 (ก่อนการสร้างปราสาทนครวัด 300 ปี)



6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-10 09:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้









1.อาณาจักรศรีวิชัย หรือ อาณาจักรศรีโพธิ์ เกิดในปี(พ.ศ. 1202 - ราวพุทธศตวรรษที่ 18)ก่อตั้งโดยราชวงศ์ไศเลนทร์ ในช่วงที่อาณาจักรฟูนันล่มสลาย มีอาณาเขตครอบคลุมมลายู เกาะชวา เกาะสุมาตรา ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา และบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย พื้นที่อาณาจักรแบ่งได้สามส่วน คือส่วนคาบสมุทรมลายู เกาะสุมาตรา และหมู่เกาะชวา โดยส่วนของชวาได้แยกตัวออกไปตั้งเป็นอาณาจักรมัชปาหิต ต่อมาเมื่ออาณาจักรศรีวิชัยอ่อนแอลง อาณาจักรมัชปาหิตได้ยกทัพเข้ามาตีศรีวิชัย ได้ดินแดนสุมาตราและบางส่วนของคาบสมุทรมลายูไป และทำให้ศรีวิชัยล่มสลายไปในที่สุด ส่วนพื้นที่คาบสมุทรที่เหลือ ต่อมาเชื้อพระวงศ์จากอาณาจักรเพชรบุรี ได้เสด็จมาฟื้นฟูและตั้งเป็นอาณาจักรนครศรีธรรมราช



2.หลวงจีนอี้จิง เคยเดินทางจากเมืองกวางตุ้งประเทศจีนโดยเรือของพวกอาหรับ ผ่านฟูนันมาพักที่อาณาจักรศรีวิชัยในเดือน 11 พ.ศ. 1214 เป็นเวลา 2 เดือน ก่อนที่จะเดินทางต่อผ่านเมืองไทรบุรี ผ่านหมู่เกาะคนเปลือยนิโคบาร์ ถึงเมืองท่า ตามพรลิงก์ที่อินเดีย เพื่อสิบทอดพระพุทธศาสนา หลวงจีนอี้จิงบันทึกไว้ว่า พุทธศาสนาแบบมหายานเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรศรีวิชัย ประชาชนทางแหลมมลายูเดิมส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ก็ได้ติดต่อกับพ่อค้าอาหรับมุสลิม ที่เดินทางผ่านเพื่อไปยังประเทศจีน ดังนั้นในเวลาต่อมาศาสนาอิสลามจึงได้เผยแพร่ไปยังมะละกา กลันตัน ตรังกานู ปาหงะ และ ปัตตานี จนกลายเป็นรัฐอิสลามไป ต่อมาใน พ.ศ. 1568 ( วิกิพีเดีย )



3. พุทธศตวรรษที่ 13อาณาจักรเจนละได้ถูกกษัตริย์ชวาจากราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งอาณาจักรชวาภาคกลางรุกรานสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1นั้นอาณาจักรเจนละนั้นได้แตกแยกเป็นพวกเจนละบกคืออยู่ลุ่มน้ำศตวรรษโขงตอนใต้ และพวกเจนละน้ำ อยู่ในดินแดนลาวตอนกลาง ส่วนของเจนละน้ำนั้นถูกชวายึดครองได้นอกจากนี้อาณาจักรชวายังได้นำตัวรัชทายาทคือ เจ้าชายวรมันที่ 2ไปเป็นตัวประกันที่อาณาจักรชวาอีกด้วย
4.ราชวงศ์ที่ปกครองศรีวิชัยคือราชวงศ์ไศเลนทร์ ปกครองตลอดทั่วไปในแหลมมลายูลงไปถึงเกาะต่างๆศรีวิชัยมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเพราะสามารถควบคุมช่องแคบมะละกาได้ เรือที่ผ่านไปมาต้องแวะพักจอดเรือตามเมืองท่าต่างๆ ของแค้วนศรีวิชัย ศรีวิชัยมีความสัมพันธ์กับประเทศจีนเป็นอย่างดี มีการส่งคณะทูตไปเจริญสัมพนธ์ไมตรีกับจีนเป็นระยะๆ ประมาณ 12 ครั้ง และใน พ.ศ. 1536เคยขอความช่วยเหลือจากจีนให้ช่วยปราบกองทัพของชวาที่ยกมารุกราน และใน พ.ศ. 1550ศรีวิชัยได้ทำสงครามกับแคว้นมะทะรัม ซึ่งอยู่ในชวากลาง และได้รับชัยชนะจึงมีอำนาจเหนือมะทะรัม กลางพุทธศตวรรษที่ 16 ทำสงครามกับพวกโจละ (Chola อยู่ทางตะวันออกของอินเดีย) เพราะโจละจะเข้าแย่งชิงผลประโยชน์ทางการค้าแถบแหลมมลายูไปจากศรีวิชัย การรบดำเนินมาหลายปี ที่สำคัญเกิดขึ้นในพ.ศ. 1568 แถบเมืองตักโกละ(ตะกั่วป่า หรือ ตรัง) เคดาห์ตูมาสิก (สิงคโปร์) ลังกาสุคะนครศรีธรรมราช ไชยาแม้จะยึดครองศรีวิชัยไม่ได้แต่สงครามครั้งนี้มีผลให้บรรดาเมืองต่างๆที่เคยขึ้นต่อแคว้นศรีวิชัยกระด้างกระเดื่องจนถึงขั้นยกทัพมาชิงดินแดนบางแห่ง เช่นพระเจ้าไอร์ลังคะ แห่งแคว้นเคดีรีในชวาตะวันออก ผลจากการทำสงครามกับโจละทำให้ศูนย์กลางจากศรีวิชัยย้ายจากเมืองไชยาไปอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาอำนาจทางการปกครองของศรีวิชัย เปลี่ยนจากราชวงศ์ไศเลนทร์ไปเป็นราชวงศ์ปทุมวงศ์ กษัตริย์ของศรีวิชัยราชวงศ์ใหม่พยายามรักษาอิทธิพลบนแหลมมลายูไว้รวมทั้งช่องแคบและหมู่เกาะ http://www.kwc.ac.th/0e-book%20ThaiKingdom/10ANaJatBoRan2.htm


ที่มา..http://www.bloggang.com
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้