ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนาน เรื่องเล่า เกร็ดความรู้ เรื่องลี้ลับ
»
แม่นาค 2 แห่งเมืองสุพรรณบุรี
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 1690
ตอบกลับ: 3
แม่นาค 2 แห่งเมืองสุพรรณบุรี
[คัดลอกลิงก์]
รามเทพ
รามเทพ
ออฟไลน์
เครดิต
8069
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2015-11-16 07:23
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
ตำนานสยองขวัญเกี่ยวกับเรื่อง "ผี" ของเมืองสุพรรณ มีหลายเรื่องราวแห่งความเร้นลับที่ชาวบ้านยังคงเล่าสืบต่อกันมาไม่เคยลืมเลือน ยังมีเรื่องราวเร้นลับที่เคยโด่งดังขนาดเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เรื่องหนึ่งกล่าวถึงผีสาวตายท้องกลมแล้วกลายเป็น "สัมภเวสี" ที่วิญญาณไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะยังห่วงหาอาวรณ์ในคนรักและลูก
ด้วยจิตที่ยังยึดมั่นจึงคอยวนเวียนหลอกหลอนแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆนานาให้คนเห็นจนเก็บเอาไปร่ำลือคล้ายตำนาน "นางนาคพระโขนง"
ความเฮี้ยนของ "วิญญาณนางนาคเมืองสุพรรณ" เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 50 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้เขียนขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของผู้ที่เคยพบเห็นและจากสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์จริง คนเฒ่าคนแก่ที่เคยอยู่รู้เห็นยังจำเรื่องราวเหล่านั้นได้แม่นยำ...
"วิญญาณเฮี้ยนนางนาคเมืองสุพรรณ" เกิดขึ้นที่บ้านเก้าห้อง อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ณ บ้านไม้หลังใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน ที่นี่มีครอบครัวชาวจีนครอบครัวหนึ่งเป็นช่างทอง มีฝีมือในการทำทองจนสร้างฐานะอยู่ในขั้นมีอันจะกิน ครอบครัวนี้มีลูกสาวหน้าตาสะสวยคมขำจนเป็นที่เลื่องลืออยู่คนหนึ่งชื่อว่า "แม่พวย" ความสวยของ "แม่พวย" ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังจำได้เล่าว่า สวยขาว รูปร่างอรชร จนทำให้หนุ่มๆแห่งบางปลาม้าหมายปองกันทั้งตำบล แต่แม่พวยก็ยังไม่ตกลงปลงใจให้ใครเลยจนกระทั่งมาเกิดบุพเพสันนิวาสได้พบกับคนรักซึ่งเป็นหนุ่มสมุทรสาครเกิดถูกตาต้องใจกันโดยที่แม่ของแม่พวยก็ไม่ขัดข้องเพราะเห็นว่าฝ่ายชายก็พอจะมีฐานะ จึงตกลงให้พ่อแม่ฝ่ายชายพาผู้ใหญ่มาสู่ขอจัดพิธีแต่งงานอย่างสมเกียรติ สมหน้าสมตาทั้งสองฝ่ายเป็นที่กล่าวถึงของชาวบางปลาม้าในยุคนั้น
แม่พวยอยู่กินกับสามีจนมีลูกด้วยกันคนแรกเป็นผู้ชาย ช่วงเวลานั้นสามีของแม่พวยต้องไปกลับระหว่างบ้านที่สมุทรสาครและสุพรรณฯเพราะเริ่มทำอาชีพประมงออกเรือหาปลาในทะเล เวลาออกทะเลแต่ละครั้งก็หลายวันกว่าจะกลับเข้าฝั่งจึงชักชวนให้แม่พวยไปอยู่สมุทรสาคนด้วยกันแต่แม่พวยก็ปฏิเสธ อ้างว่าเป็นห่วงพ่อแม่ซึ่งแก่ชราจะไม่มีใครคอยดูแล ชีวิตคู่ของแม่พวยจึงค่อยๆเริ่มห่างกัน เธอก็คอยดูแลพ่อแม่และลูกส่วนสามีนานๆจะกลับมาที
เคราะห์กรรมของแม่พวยเริ่มขึ้นอีกเมื่อต่อมาพ่อของเธอเกิดหลงผิดในอบายมุขติดการพนันเข้าบ่อน ไม่สนใจทำมาหากิน เงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอจนความลำบากเข้ามาเยือนเกิดอัตคัดขัดสนเงินทอง ทรัพย์สินที่มีอยู่เริ่มหมดไป ทำให้แม่ของแม่พวยเริ่มกลัดกลุ้มและหาทางระบายด้วยการกินเหล้าเมายา นานวันเข้าก็ประคองสติไม่อยู่ เสียผู้เสียคนไป
ฝ่ายสามีของแม่พวยเมื่อกลับมาบ้านที่สุพรรณฯมาเห็นสภาพครอบครัวพ่อตาแม่ยายเป็นเช่นนี้ก็เริ่มเกิดความเบื่อหน่ายเพราะเงินทองที่ให้เมียไว้ใช้ก็ถูกพ่อตารีดไถเอาไปเล่นการพนัดจนหมดจึงชวนแม่พวยไปอยู่สมุทรสาครด้วยกันอีก แต่แม่พวยก็ไม่ไปเพราะความเป็นห่วงพ่อแม่ จึงได้แต่อดทนยอมให้พ่อรีดไถเงิน ถึงขนาดหนักเข้าจะโฉนดที่ดินและบ้านไปขายเพื่อหาเงินไปเล่นการพนันแล้วเคราะห์กรรมก็ยังมาซ้ำเติมครอบครัวนี้เมื่อพ่อยื้อแย่งโฉนดไปขายไม่ได้ก็โมโหจนขาดสติ จึงจุดไฟเผาบ้านตัวเอง แต่พลาดท่าไฟลามมาติดเสื้อผ้า ไฟจึงลุกไหม้ร่างจนอาการสาหัส ชาวบ้านเล่าว่าแกนอนร้องอย่างเจ็บปวดทรมานอยู่ 3 วันก็สิ้นใจ
หลังจากพ่อตายแล้วแม่พวยก็ใช้ชีวิตอยู่ลำพังกับแม่ของเธอและลูกชาย ส่วนสามียังมาหาบ้างแต่ละครั้งก็นานหลายเดือน จนแม่พวยคิดไม่ได้ว่าสามีจะมีผู้อื่น ความกลัดกลุ้มใจเมื่อไม่มีทางออกจึงหาทางระบายด้วยเหล้าซึ่งระหว่างนั้นแม่พวยก็เกิดตั้งท้องลูกคนที่สองพอดี และเมื่อสามีไม่ใยดีแม่พวยก็ยิ่งดื่มเหล้ามากขึ้นๆจนเด็กในท้องทนพิษร้ายของแอลกอฮอร์ไม่ไหวตายก่อนกำหนด
ตัวแม่พวยกว่าจะรู้ว่าลูกตายอยู่ในท้องก็สายไปเสียแล้ว เธอจึงต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดแสนสาหัสจนขาดใจตายตามลูกไปในที่สุด ส่วนแม่ของแม่พวยภายหลังก็ตรอมใจตายไปอีกคน เลยทำให้บ้านฝากระดานหลังใหญ่ริมแม่น้ำท่าจีนหลังนั้นกลายเป็นบ้านร้างจนเกิดตำนานความเฮี้ยนในกาลต่อมา
ถ้าเปรียบชีวิตดุจดังละคร ครอบครัวที่น่าสงสารครอบครัวนี้ก็แสดงให้เราเห็นหลายฉากของชีวิตที่โลดแล่นโดยเริ่มต้นและจบลงไปด้วย "แรงแห่งกรรม" ไม่มีใครสามารถคาดและหวังได้ว่าปลายทางตอนจบของชีวิตเราจะดำเนินไปอย่างไร เพราะทุกสิ่งในโลกล้วน "ไม่แน่นอน" ดังพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้
ความตายของ "แม่พวย" เกิดเป็นตำนานคล้ายนางนาคพระโขนง เพราะว่าตายขณะที่ยัง "ห่วง" โดยเฉพาะ "ตายทั้งกลม" นี่คนโบราณเขาว่าเฮี้ยนนัก คือตายขณะที่ยังไม่สิ้นอายุขัยและต้องทนเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหลือที่จะทนก่อนสิ้นใจ "จิตสุดท้ายก่อนตาย" สำคัญนัก อารมณ์นึกคิดถึงสิ่งใดก่อนตายเมื่อสิ้นลมไปแล้วจิตจะจดจ่อยึดติดแต่สิ่งนั้น ตัวแม่พวยก่อนตายเกิดความห่วงใยในลูกและสามีจนจิตหาความสงบไม่ได้เมื่อตายไปจึงกลายเป็นสัมภเวสีเที่ยวหลอกหลอนผู้คนจนอยู่ไม่เป็นสุข
ชาวบ้านเล่าว่าเมื่อตายใหม่ๆ "ผีแม่พวย" ก็เริ่มแสดงฤทธิ์ให้ผู้คนและเด็กเล็กตื่นกลัวคือบ้านแม่พวยเมื่อร้างลงก็ทิ้งผลหมากรากไม้ไว้นานาชนิดให้ออกดอกออกผลมากมายทั้งมะม่วง ขนุน ละมุด มะปราง ฯลฯ เด็กแถวนั้นรู้ทั้งรู้ว่าผีบ้านร้างนี้ดุ แต่เพราะความแก่นแก้วซุกซนจึงชักชวนพากันมาขโมยผลไม้ไปกิน โดยมีหัวโจกอยู่คนหนึ่งเป็นปีนขึ้นไปเก็บมะม่วงซึ่งสุกเหลืองน่ากินเต็มต้น ระหว่างกำลังป่ายปีนขึ้นไปสายตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีผู้หญิงผมยาวกำลังนั่งห้อยขาอยู่บนต้น เมื่อแหงนมองดูเต็มตาก็แทบช็อคเพราะบนนั้นคือ "แม่พวย" ซึ่งตายไปแล้วกำลังยิ้มให้อยู่ กองโจรเด็กเลยพากันวิ่งแน่บกระเจิงออกจากสวนร้างแทบไม่ทัน
ตั้งแต่นั้นข่าวผีแม่พวยก็แพร่ไปทั่วเพราะไม่ใช่แต่เด็กจะเจอเท่านั้นพวกเรือเมล์ที่แล่นผ่านหน้าบ้านแม่พวยก็เจอเหมือนกัน คนเจอคือนายท้ายเรือเมล์สมัยนั้นชาวบ้านบางปลาม้าถ้าต้องการจะเข้าสุพรรณหรือไปกรุงเทพฯเขาจะมาคอยขึ้นเรือที่หัวสะพานท่าน้ำ พอเรือแล่นใกล้เข้ามาก็จะส่งสัญญาณให้รู้เช่นใช้ตะเกียงหรือไฟฉายส่องไปมาให้เห็น
คืนนั้นเล่าว่าเป็นคราวเคราะห์ของนายท้ายชื่อว่า "ตากลิ่น" แกแล่นเรือมายามดึกเข้าเขตบางปลาม้าเกือบตี 3 เป็นเวลาที่เงียบสงัด ผู้โดยสารที่มาด้วยก็หลับกันหมด ตลอดทั้งลำจึงมีแต่ตากลิ่นและคนเรือแค่ 2 คนที่ตื่นเพื่อพาผู้โดยสารไปสู่จดหมายพอเรือแล่นมาใกล้บ้านหลังหนึ่งก็เห็นแสงไฟเหมือนมีคนแว่งเป็นสัญญาณให้เข้าไปรับที่หัวสะพานท่าน้ำมองเห็นรางๆว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโบกตะเกียงเรียกเรือ จึงให้คนเรือหันหัวเรือเข้าไปที่ท่าน้ำนั้นและเพราะมัวแต่หันหัวเรือเข้าเทียบสะพานนายท้ายก็เลยไม่ได้สนใจว่าผู้โดยสารเป็นใคร แต่พอเรือหยุดนิ่งก็แปลกใจว่าทำไมไม่มีคนก้าวขึ้นเรือ
มองไปที่สะพานเห็นแต่ตะเกียงเก่าๆสนิมเขรอะไม่มีโป๊ะไฟครอบแก้วกลิ้งอยู่ จึงรีบส่องไฟฉายดูตลอดบริเวณก็ไม่มีใครอยู่บนสะพานซักคน เลยสะพานท่าน้ำขึ้นไปก็เป็นเรือนร้างหลังใหญ่ไม่มีใครอยู่ นายท้ายเลยเพิ่งรู้สึกตัวขนลุกซู่ จำได้แล้วว่านี่คือบ้านร้างผีดุของ "แม่พวย" คราวนี้เลยรีบสั่งคนเรือเร่งเครื่องแล่นหนีห่างจากสะพานชนิดไม่เหลียวหลังเลยทีเดียวและคืนต่อไปพอแล่นเข้าเขตบางปลาม้า หากจวนจะถึงหน้าบ้านแม่พวยนายท้ายเรือทุกลำจะสั่งคนเรือเร่งเครื่องให้เร็วที่สุด หากว่าเห็นใครมาแกว่งตะเกียงเรียกให้จอดรับ เป็นตายร้ายดียังไงก็จะไม่มีเรือลำไหนหยุดรับเด็ดขาด เพราะกลัวจะเกิดเหตุซ้ำสองอีก
เรื่องของ "ผีแม่พวย" จึงถูกเล่าปากต่อปากเป็นที่ตื่นเต้น ปนขนหัวลุกเรื่อยมา
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
รามเทพ
รามเทพ
ออฟไลน์
เครดิต
8069
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2015-11-16 07:23
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความเฮี้ยนของ "ผีแม่พวย" นางนาคเมืองสุพรรณถูกเล่ากันปากต่อปากเป็นที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงของคนพัง แต่ก็อยากจะฟังแม้มันจะตื่นเต้นชวนขนหัวลุกบ้างก็ตาม
เรื่องของความเฮี้ยนไม่เลิกรานี้ว่ากันว่าในครั้งนั้นไม่มีใครกล้าเฉียดกรายไปใกล้บ้านร้างนั้นเลยเพราะหลายคนที่เจอมาเล่าตรงกันว่า เวลาเดินผ่านบ้านแม่พวยมักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้โหยหวนอย่างน่าสงสารดังลอดมาจากภายในบ้านร้างนั้น คล้ายกำลังร้องเรียกหาลูกและสามีที่ทอดทิ้งไปอยู่ไกล
กิตติศัพท์ของผีแม่พวยที่บ้านร้างยังปรากฏให้คนเห็นอยู่เนืองๆมีเรื่องเล่าถึงแม่ค้าพายเรือขายขนมหวานอยู่คนหนึ่งซึ่งแกเพิ่งมาอยู่ที่บางปลาม้าใหม่ๆก็ยังไม่ร็ถึงกิตติศัพท์ความเฮี้ยนของผีแม่พวยที่บ้านร้าง ทุกวันป้าแกก็พายเรือผ่านบ้าแม่พวยเพื่อไปขายขนม พอตกค่ำก็พายเรือกลับบ้าน วันหนึ่งขณะพายเรือมาใกล้สะพานท่าน้ำบ้านแม่พวยแกก็เห็นผู้หญิงผมยาวผิวขาวท้องแก่ มายืนกวักมือเรียกที่หัวสะพานเพื่อซื้อขนม แกก็ดีใจรีบเอาเรือเข้าไปเทียบ ถามว่า "จะรับขนมอะไรจ้ะ" ผู้หญิงคนนั้นก็ว่า "มีอะไรก็ห่อมาเถอะ ฉันไม่ได้กินขนมหวานมานานแล้ว" แม่ค้าขนมก็จัดแจงห่อขนมให้ แล้วยังได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นบอกอีกว่า "วางขนมไว้ที่ชันบันไดนั่นแหล่ะ เดี๋ยวจะลงไปเอา
"ป้าแม่ค้าขนมหันไปห่อขนมเรียบร้อยจัดวางเรียบไว้บนชั้นบันไดเสร็จจึงเงยหน้ามอง แต่กลับไม่เห็นมีใครอยู่บนหัวสะพาน แกก็ตะโกนเรียกให้มาเอาขนมแต่ก็เงียบ ผิดสังเกตเข้าแกจึงขึ้นบันไดไปดู พอเห็นสภาพบริเวณบ้านแกก็รู้สึกชาวูบไปทั้งตัว เพราะบ้านหลังใหญ่นั้นส่อว่าเป็นบ้านร้างที่ไม่มีคนอยู่มานาน มีหญ้าขึ้นรกแน่นขนัดบิดทางเดิน แล้วผู้หญิงท้องแก่ที่มายืนเรียกอยู่ที่ท่าน้ำนั้นจะอยู่ได้อย่างไร แล้วไม่รู้ว่าจู่ๆหายไปไหน คิดได้แล้วก็ขนหัวลุกตั้งรีบลนลานลงบันได จ้ำผีพายอ้าว ทิ้งขนมหวานซึ่งห่ออย่างเรียบร้อยไว้ตรงนั้น
ผีแม่พวยยังเที่ยวหลอกหลอนผู้คนไปทั่วจนบางรายถึงกับจับไข้หัวโกร๋นชาวบ้านจึงชักจะทนไม่ไหว ปรึกษาหารือกันว่าต้องหาใครมาจัดการให้วิญญาณสงบ ไม่เช่นนั้นคงต้องมีใครตายกันบ้าง ดังนั้นชาวบ้านบางปลาม้ากลุ่มหนึ่งจึงพากันไปหาหลวงปู่ไข่ วัดบางเลนซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ทางไสยเวทย์ผู้เก่งกาจรูปหนึ่งมาปราบ แต่หลวงปู่ไข่ไม่รับนิมนต์ ท่านบอกว่า "ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน ในเมื่อคนไปรุกรานถึงบ้านเขาแล้วยังจะให้อาตมาไปราบอึกมันถูกต้องแล้วรึ ถ้ามีคนมาไล่พวกโยมออกจากบ้านบ้าง โยมจะรู้สึกอย่างไรล่ะ"
ชาวบ้านจึงต้องลาหลวงปู่ไข่กลับเพราะจนปัญญาที่จะตอบจึงปล่อยให้ผีแม่พวยปรากฏตัวแสดงฤทธิ์ต่างๆนานาต่อไป จนข่าวดังขนาดหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์สมัยนั้นต้องส่งนักข่าวมาทำข่าว ทั้งยังชาวบ้านต่างจังหวัดไกลๆถึงกับดั้นด้นเดินทางมาดูบ้านร้างผีสิงกันอยู่เสมอๆความดังของผีแม่พวยล่วงรู้ไปถึงหูสามีของแม่พวยที่สมุทรสาคร จึงคิดที่จะขายบ้านร้างหลังนี้ในราคาถูกๆให้กับคหบดีคนหนึ่งเพื่อที่เรื่องวุ่นๆจะได้ยุติเสียที ซึ่งคหบดีรายนี้ก็สนใจแต่ขอดูบ้านก่อน คหบดีจึงเดินทางมาที่บ้านร้างพร้อมลูกน้อง
ระหว่างที่กำลังเดินสำรวจอยู่บนบ้านกลางวันเสกๆคหบดีกับลูกน้องก็ถึงกับตกตะลึงตัวแข็งทื่อเพราะรู้สึกว่าเรือนโยกทั้งหลังเหมือนเกิดแผ่นดินไหว พร้อมกับได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญครางคล้ายว่ากำลังได้รับความเจ็บปวดสาหัส เสียงดังออกมาจากที่ปิดประตูใส่กุญแจและมีฝุ่นละออหยากไย่จับเต็บไปหมด
เจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ทั้งคหบดีและลูกน้องจึงต้องวิ่งกลับมาอย่างไม่คิดชีวิต รีบลงเรือกลับอย่างรวดเร็วและไม่หวนกลับไปอีกเลย บ้านแม่พวยจึงถูกปล่อยให้ทิ้งร้างลงไปอีกกว่า 10 ปี จนกระทั่งลูกชายคนโตของแม่พวยโตขึ้นจึงได้กลับมาดูบ้านเนก่าของแม่ซึ่งลูกปล่อยทิ้งร้างให้ทรุดโทรมอย่างน่าสังเวช เมื่อเห็นแล้วจึงตัดสินใจรื้อไปถวายวัดบ้านด่าน เพื่อให้พระนำไปสร้างกุฏิแล้วอุทิศกุศลนี้ให้แก่แม่พวยและตายายผู้ล่วงลับไปแล้ว
ปัจจุบันเรือนร้างของแม่พวยหลังนั้นถูกสร้างขึ้นเป็นกุฏิหลังหนึ่งสำหรับพระภิกษุจำพรรษา ที่วัดบ้านด่าน วัดเล็กๆในอำเภอบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี และหลังจากถวายบ้านร้างให้วัดแล้ววิญญาณแม่พวยก็ไม่เคยปรากฏหลอกหลอนใครอีกเลย จึงคิดว่าแม่พวยคงจะได้รับกุศลผลบุญที่ลูกชายอุทิศให้ไปอยู่ในภาพภูมิที่ดีแล้วก็ได้ สำหรับกุฏิที่สร้างจากเรือนร้างของแม่พวยนั้นปัจจุบันถูกปิดตายเพราะไม่มีพระสงฆ์เข้าไปอยู่ บรรยากาศจึงดูเงียบเหงาวังเวง และอาจจะเป็นเพราะกลิ่นไอแห่งอาถรรพณ์ในอดีตที่ยังคงหลงเหลืออยู่เลยทำให้พระในวัดขยาดไม่กล้าที่จะเข้าไปอยู่ในเรือนหลังนั้นก็เป็นได้
การที่วิญญาณของ "แม่พวย" ยังคงวนเวียนยึดติดอยู่กับโลกมนุษย์โดยไม่ยอมไปสู่ที่ชอบหรือสถานที่ที่เหมาะสมกับเวรกรรมของตนนั้นอาจเป็นเพราะว่ามีวิบากกรรมที่ทำให้สลัดกิเลสไม่หลุดคือยังปลงไม่ตกกับคนข้างหลัง ยังห่วงใยทั้งลูกและสามี จึงต้องใช้หนี้กรรมให้เบาบางลง ความยึดติดถึงหมดไป
เรื่องวิญญาณที่ยังคงวนเวียนปรากฏร่างให้คนเห็นนี้ยังคงมีเรื่องเล่าอีกที่วัดบางซอ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เป็นวิญญาณของหญิงสาวและเด็กที่เสียชีวิตจากเรือล่มจนจมน้ำหายไปแล้วมาปรากฏตัวเป็นรูปร่างชัดเจนให้คนรักซึ่งบวชเป็นพระที่วัดบางซอนี้เห็น และไม่ใช่เห็นแค่พระรูปนั้นรูปเดียวแต่เด็กวัด พระและเณรหลายๆรูปก็เห็นกันหมด โดยวิญญาณตนนี้มาปรากฏร่างและก้มหน้านิ่งอยู่พักใหญ่แล้วจู่ๆก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา
นอกจากนั้นแล้วในบางคืนเมื่อพระ เณรจำวัดกันหมดแล้วก็จะได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาอยู่ใต้ถุนกุฏิ บางครั้งก็ใช้ไม้เคาะกุฏิหลังโน้นหลังนี้เล่น ทำเอาทั้งพระทั้งเณรไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะมีวิญญาณของผีสาวมาหลอกหลอน ชาวบ้านเล่าว่าผีสาวตนนี้พอหลอกพระในวัดได้สักพักก็คงจะเบื่อเลยไปหลอกคนนอกวัดบ้าง โดยวันดีคืนดีในยามดึกถ้าใครพายเรือผ่านหน้าวัดก็จะเห็นผู้หญิงกับเด็กกระโดดน้ำเล่นเป็นที่สนุกสนานแล้วชั่วพริบตาก็จะหายวับไป ทำเอาชาวบ้านที่ใช้เส้นทางสัญจรไปมายามดึกประสาทผวากันเป็นแถว
มีการเล่าต่อๆกันมาว่าต่อมาพระที่เป็นอดีตคนรักของผีสาวตนนั้นท่านได้บวชต่อโดยไม่สึกและได้ย้ายหนีไปจำพรรษาอยู่ที่วัดแถวๆ จ.นนทบุรีแล้ว
เรื่อง "ผี" ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของผู้ที่เคยสัมผัสจนเป็นเรื่องที่ถูกเล่าต่อๆกันมา โดยสถานที่เกิดเหตุก็ยังมีอยู่จึงพอจะเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า "วิญญาณ...แม้จะเป็นเรื่องเร้นลับ แต่ก็มีอยู่จริงแน่นอน
ที่มา : นิตรสารหญิงไทย
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
รามเทพ
รามเทพ
ออฟไลน์
เครดิต
8069
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2015-11-16 07:24
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หากจะพูดถึงวิญญาณผีตายทั้งกลมแน่นอนว่าทุ กคนย่อมรู้จักแม่นาคพระโขนง วิญาณผีสุดเฮี้ยนอย่างแน่นอน แต่วันนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับตำน านแม่นาคอีกตนหนึ่งของจังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีความเฮี้ยนไม่แพ้กันเรื่องราวของ...
ผ ีแม่พวย แห่งอำเภอบางปลาม้า
https://www.youtube.com/watch?v=PZEYZS8NNgI
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
4
#
โพสต์ 2015-11-16 18:26
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...